ราญใจไฟแค้น

23.0K · จบแล้ว
พันแสงจันทร์ /ลิลลี่ โจนส์/ ลิลเอง /กำไลแก้ว
17
บท
2.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

*คำเตือน! “ราญใจไฟแค้น” เป็นนิยายแนวโรมานซ์18 มีฉาก ncเป็นส่วนประกอบ เนี่ยๆ ข้างล่างนี้คือตัวอย่างบางช่วง ...... อูยส์....ใจจะขาดแล้ว! นุชวราครางคร่ำในอกด้วยความเสียวสยิว เมื่อรวิพลก้มลงตวัดเลียยอดบนเนินอวบที่กำลังไหวกระเพื่อมตามแรงสอดเสยเป็นจังหวะ เขาดูดงับแล้วส่ายหน้าขยี้แรง ร่างของหล่อนสั่นสะท้านไปหมด ยิ่งสั่นดิ้นยิ่งเสียวสุข ยิ่งร้อง รวิพลก็ยิ่งเร่งเร้าจังหวะกระทุ้งท่อนลำตามทำนองเพลงกาม ถาโถมส่งมอบตัวเองให้นุชวราไม่ยอมหยุด “นุชจะไม่ไหวแล้ว!” “อีก...นิด...คนดี” รวิพลพูดกระท่อนกระแท่น สาวตัวยาวก่อนกระทุ้งความแข็งแกร่งร้อนผ่าวกลับลงบนกลีบเนื้อแทบปลิ้น “ทนอีกนิด! อา...เยี่ยมอะไรอย่างนี้ แน่นไปหมด” ....................... ราญใจไฟแค้น ประเภท : นิยายโรมานซ์ เจ้าของลิขสิทธิ์ : โจอาคิม สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ห้ามหยิบยก คัดลอก หรือดัดแปลงส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งถ่ายทอด ถ่ายเอกสาร สแกน ในรูปแบบใดๆ ทั้งสิ้น เว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้ประพันธ์เป็นลายลักษณ์อักษร

นิยายปัจจุบันประธานแต่งงานสายฟ้าแลบนอกใจดราม่าโตมาด้วยแก้แค้นโรแมนติกพระเอกเก่ง

Chapter1

หญิงสาวที่เพิ่งลงจากรถแท็กซี่ยิ้มซุกซนเมื่อเห็นประตูบ้านเปิดแง้มอยู่ทว่าภายในบ้านกลับเงียบ

รอบๆ ตัวบ้าน ร่มครื้นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย สรรพเสียงที่ได้ยินมีแต่เสียงนกร้อง

นุชวราผลักประตูเข้าไปในบ้านด้วยมือเบาพอกับการย่องกริบๆ เพราะต้องการจะเซอร์ไพรส์ผู้ที่อยู่ในบ้านที่

ในห้องโถงด้านล่างไม่มีใครอยู่เลย หน้าต่างที่เปิดอ้าทิ้งไว้อย่างไม่กลัวขโมยเพียงสองบานในต่างทิศทางช่วยให้เห็นภายในได้ชัดเจนแม้จะไม่สว่างจ้าเช่นข้างนอก ที่เปลวแดดยามสายกำลังเริงระบำระริกระรี้

หล่อนรู้ว่าถ้าคนในบ้านไม่อยู่ในห้องโถงกลางก็น่าจะอยู่ที่สตูดิโอด้านหลัง มากกว่าขึ้นไปหลับอุตุในห้องนอนชั้นเพราะนอกจากประตูจะไม่ได้ล็อคยังเปิดหน้าต่างเอาไว้รอบ

เท้าเร็วพอกับความคิด นุชวราสาวเท้าก้าวเร็วๆ แต่ก็เป็นลักษณะย่องให้เกิดเสียงน้อยที่สุดอยู่ดี ตรงไปยังสตูดิโอที่อยู่ด้านหลัง

ก่อนหญิงสาวจะเอื้อมมือไปผลักประตูห้องทำงานของเจ้าบ้านออก เสียงประหลาดก็ดังออกมาให้ได้ยินเสียก่อน

“เบาค่ะดิศ...อุ๊ย...อย่าเพิ่ง...อูยยย ผกาใจจะขาดอยู่แล้วนะ”

ไม่ปรากฏเสียงฝ่ายชายตอบ

นุชวรานิ่งขึง หล่อนยังไม่อยากเดาว่าคนในห้องกำลังทำอะไรกัน

แต่เสียงที่ดังขึ้นอีก หลังจากมีเพียงเสียงหอบหายใจให้ได้ยินสักพัก

“อุ๊ย...โอ...ดิศจ๋า ผกาจะตายมั้ยเนี่ย”

เสียงนั้นเป็นเสียงครางก็ไม่ใช่ตัดพ้อต่อว่าก็ไม่เชิง

“รอผมก่อนนะผกา อย่าเพิ่ง...หนีขึ้นสวรรค์ไปก่อนล่ะ”

เสียงกระเส่าของผู้ชายพูดแทรกขึ้นทำเอานุชวราตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหินไปชั่วขณะ แต่สมองกลับประมวลภาพในห้องนั้นอย่างรวดเร็ว

ความอับอายเคียดแค้นที่พุ่งปรี่ขึ้นมาทำให้หล่อนผลักประตูออกโดยแรง

หญิงชายที่กำลังห้ำหั่นกันในลักษณะที่เปลือยทั้งคู่โดยที่ฝ่ายหญิงทาบทับร่างฝ่ายชายอยู่เบื้องบนกำลังแหงนหน้าส่งเสียงครางหงิงๆ ราวจะขาดใจ ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย

นุชวราตะลึง ภาพที่เห็นไม่ต่างจากหนังผู้ใหญ่

หล่อนไม่เคยดูหรอก แต่ไม่มีคำอธิบายใดเหมาะสมไปกว่านี้แล้วกับภาพที่เห็นเบื้องหน้าบนโซฟาตัวยาวใหญ่ที่จะปรับลงเป็นเตียงนอนก็ได้

บุคคลทั้งสองยังไม่รู้เนื้อตัวด้วยซ้ำว่ามีคนบุกรุก

หญิงสาวกำหมัดแน่น ความเคียดแค้นอัดแน่นในอกนั้นไม่ต้องพูดถึง

แต่หล่อนจะทำอย่างไรต่อไปดี

กลับออกไปแล้วทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไร หรือยืนรอจนคนทั้งสองสำเร็จกามกิจอยู่อย่างนี้ รอดูซิว่าจะพากันทำหน้าเช่นใด ในเมื่อฝ่ายหญิงนั้นคือญาติสาวผู้พี่ลูกสาวคนเดียวของป้าแท้ๆ ของหล่อน ส่วนฝ่ายชายคือว่าที่เจ้าบ่าวของหล่อน

นุชวราพยายามนับหนึ่ง สอง สาม... นับไปเรื่อยๆ ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องหยุดที่สิบ เพราะแค่นับหนึ่งถึงสิบไม่สามารถทำให้ความโกรธที่พุ่งขึ้นมากับภาพบาดตาบาดใจที่เห็นลดลงได้

หญิงสาวเลือกประการหลัง แม้เสียงครวญคราง เสียงหอบหายใจของคนทั้งสองจะบาดลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจแต่ก็ทนรอ

อยากดูน้ำหน้า อยากฟังคำแก้ตัวที่หล่อนตัดสินแล้วว่ายังไงก็ฟังไม่ขึ้น

ผู้ชายคนที่หล่อนรักและไว้ใจกำลังทรยศหักหลังคู่หมั้นคู่หมายตัวเองอย่างเลือดเย็น

แต่ที่ทวีความโกรธอันเยียบเย็นก็คือผู้หญิงที่เขาเลือกจะพามาสมสู่ในบ้านที่กำลังจะเป็นเรือนหอของหล่อนกับเขา คือสิริผกาญาติสาวผู้พี่ขี้อิจฉาของหล่อน

ดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปจนสิ้นสุดครรลองของมันแล้ว

เสียงหัวเราะระริกรื่นของสิริผกาบ่งถึงความพึงพอใจที่หล่อนได้เป็นผู้ควบคุมเกมกามและยังสามารถพาชายหนุ่มขึ้นถึงสวรรค์ได้สำเร็จ

ฝ่ายหญิงพลิกตัวลงเพื่อนอนข้างข้างชายหนุ่ม

“ว๊าย!”

เสียงร้องอย่างความตกใจของสิริผกาเมื่อสายตาก็ปะทะกับผู้ที่อุกอาจบุกรุกเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงเรียกชายหนุ่มลืมตาขึ้นโดยไว แม้จะเพิ่งปิดเปลือกตาลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรงเพราะกำลังวังชาของสิริผกานั้นช่างไม่ต่างอะไรกับม้าศึกสาวที่ฝึกมาช่ำยามออกศึก

“นุช!”

สองเสียงเรียกเป็นเสียงเดียวกัน พร้อมกัน

นุชวราคลี่ยิ้มเย็น แต่ดวงตาคู่สวยยิ่งกว่าลุกโรจน์ขณะเดินเข้าไปหาร่างเปลือยทั้งสองช้าๆ ก่อนก้มลงหยิบเสื้อผ้าของทั้งสองที่เกลื่อนอยู่บนพื้น ความจริงไม่เห็นอะไรเลยเพราะหูตากำลังอื้อลายด้วยโทสะ

“ใส่ซะ แล้วมาคุยกัน”

บอกเสียงกระด้างจัดก่อนโยนเสื้อผ้าที่ถือในมือไปบนร่างเปลือยของหนุ่มสาวที่ยังพากันนั่งตะลึง

รดิศได้สติก่อน รีบสวมเสื้อกางเกงลวกๆ ความตกใจนั้นอย่าได้พูดถึง สำหรับเขาแล้วไม่ต่างอะไรกับโลกทั้งโลกกำลังจะถล่มทลายลงตรงหน้าในเดี๋ยวนั้น

“ฉันจะไปรอข้างนอกหวังว่าคงไม่ทำให้ฉันต้องรอนานนะ ทั้งสองคน”

ถึงยังไงความสะเทือนใจในภาพที่เห็นก็มีอิทธิพลต่อจิตใจมากพอที่จะทำให้หางเสียงคนพูดสั่นสะท้านน้อยๆ

“นุช เดี๋ยว! ฟังพี่ก่อน”

รดิศรีบดึงกางเกงขึ้น รูดซิบพลางวิ่งตามไปพลาง ไม่สนใจว่าสิริผกาจะอยู่ในอากัปกิริยาอย่างไร สนก็แต่ว่าจะพูดยังไงไม่ให้คู่หมั้นโกรธขอถอนหมั้น และจะอธิบายเช่นไรหล่อนถึงจะยอมเข้าใจ ว่าสำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้ง่าย ถ้าหากมีผู้หญิงสวยๆ สักคนมาแบะให้ท่าอยู่ตรงหน้า ก็เหมือนการที่มีคนเอาจานขนมหวานมาวางล่อนั่นแหละ ถ้าเขาไม่กินเขาก็คือไอ้บื้อ

“นุช ช่วยฟังพี่นิดนะคนดี”

“พอเถอะ”

นุชวราสะบัดแขนที่มือของรดิศแตะอยู่ ก่อนหันมาเผชิญหน้าหลังจากเดินออกมาถึงห้องโถงที่ใช้เป็นห้องรับแขก

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รอให้คู่ขาของคุณออกมาก่อนแล้วเราค่อยพูดกันทีเดียว”

“นุช”

รดิศได้แต่เรียกชื่อนั้น หน้าคมสันเผือดเห็นได้ชัด

นุชวราอ่อนกว่าเขาห้าปีเต็มเคยเรียกขานเขาว่าพี่ดิศมาตลอด

เมื่อบิดามารดาของเขาเสียชีวิตพร้อมกันจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก พนัสกับภรรยา เพื่อนสนิทบิดามารดาของเขา ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือลูกชายกำพร้าของเพื่อนรัก เฉพาะลูกคนเล็กที่เวลานั้นอายุสิบสี่พนัสกับรับเป็นบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนลูกชายคนโต ที่อายุมากกว่าน้องชายเจ็ดปี แม้ว่าจะไม่ได้จดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมพนัสก็ไม่ได้ทอดทิ้ง

แต่รวิพลในวัยยี่สิบเอ็ดดูเหมือนจะโตเป็นใหญ่เกินวัยหลังสูญเสียบิดามารดา เขาพยายามจะยืนหยัดอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง และก็ทำได้สำเร็จ ด้วยวัยเพียงยี่สิบต้นๆ สามารถเปิดร้านอาหารเล็กๆ ก่อนขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาต่อมา เวลานี้กลายเป็นภัตตาคารชั้นนำที่ชิคาโกที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ

รวิพลใช้นามสกุลบิดามารดาตามกำเนิด ขณะน้องชายของเขาที่ใช้นามสกุลบิดาเพื่อนรักของบิดาที่รับเขาเป็นบุญบุตรบุญธรรมเพราะต้องการทายาทชายสืบสกุล

สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รวิพลกับน้องชายยังคงติดต่อกันเสมอ แม้ว่าภายหลังพนัสจะย้ายครอบครัวจากเมืองไทยไปใช้ชีวิตอยู่ที่มิชิแกน แต่ก็ยังเก็บบ้านที่เมืองไทยเอาไว้ กระทั่งสองปีก่อน บุตรชายบุญธรรมคิดจะกลับมาลองใช้ชีวิตในเมืองไทย โดยคิดจะทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นจิตรกร เขียนภาพขาย งานที่เขาถนัดและทำได้ดี พนัสจึงสั่งเปิดบ้าน ภายหลังเมื่อลูกสาวสายเลือดแท้ๆ กับบุตรชายบุญธรรมรักกัน และได้ทำการหมั้นหมายกันต่อหน้าพ่อแม่