Chapter2
พนัสตั้งใจจะยกบ้านที่เมืองไทยให้เป็นของลูกบุญธรรมที่กำลังจะกลายมาเป็นลูกเขย
รดิศอยู่บ้านที่เมืองไทยขณะรอเจ้าสาวให้เรียนจบและกลับมาแต่งงานกันที่เมืองไทย ฤกษ์ยามที่กำหนดเอาไว้ก็รออยู่แค่เดือนหน้านี้เอง
นึกไม่ถึงจริงๆ ขณะรอหล่อนเรียนจบ ใช้ชีวิตโดยลำพังในบ้านที่เมืองไทย เขาไม่ได้รออยู่เฉยๆ ดูเหมือนเขาจะไม่เคารพในพันธะที่เขากับหล่อนมีต่อกันขณะที่หล่อนนั้นถนอมเนื้อถนอมตัวไว้สำหรับคนเดียว
นานแค่ไหนแล้วที่คู่หมั้นของหล่อน กับญาติผู้พี่ของหล่อน กระทำการหยามเกียรติหล่อนด้วยการลักลอบมีอะไรกันอย่างที่หล่อนมาพบเห็นเข้าด้วยตา
นุชวราคิดด้วยความขมขื่น
ภายในห้องรับแขกมีแต่ความอึมครึม สิริผกาตามออกมาสีหน้าตกอกตกใจสงบลงแล้ว
บางทีเจ้าหล่อนอาจจะมองเห็นหนทางที่จะได้รดิศมาครองจริงๆ แล้วก็ได้
“มีอะไรก็ว่าไปสินุช”
นุชวรากัดฟัน เมื่อสิริผกากระแทกตัวลงนั่งข้างๆ รดิศ แล้วพูดเสียงเฉยหน้าเฉย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แน่ใจว่าพร้อมที่จะฟัง”
“มีอะไรก็รีบๆ พูดเข้าพี่ต้องไปธุระต่ออีกสองสามที่” สิริผกายังพูดสียงเรียบอย่างไม่รู้สึกผิด
“พอที ต่อแต่นี้ไปเธอไม่ใช่พี่สาวฉันอีกแล้ว ฉะนั้นเลิกแทนตัวเองว่าพี่ได้กับฉันได้ เราจะเป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกัน คุณเหมือนกันคุณรดิศ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ ฉันอภัยให้แต่จะไม่อะไรเหลือระหว่างความสัมพันธ์ของเรา จบสิ้นกันที!”
รดิศหน้าซีดลงไปอีก
“นุชจ๋าใจเย็นๆ สิ”
ชายหนุ่มวิงวอนขณะสิริผกายิ้มซ่อนความพึงใจ
“นี่ฉันก็ใจเย็นแล้วนะ เธออยากได้ผู้ชายคนนี้มากใช่มั้ยผกา เอาเป็นว่าฉันยกให้ แต่เธอควรระวังเอาไว้ให้ดีละกัน ในเมื่อเขาไม่ซื่อต่อฉันที่เป็นคู่หมั้นของเขา สักวันเขาก็ต้องทรยศต่อความรักของเธอได้เหมือนกัน”
แหวนที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายถูกรูดออก
“ความจริงแหวนวงนี้มันก็แหวนของแม่ฉัน แต่เอาเถอะ ฉันยกให้ เผื่อว่าคุณจะได้ใช้หมั้นสิริผกาหรืออาจเป็นผู้หญิงอื่นต่อ และบ้านนี้”นุชวราหยุดกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอก่อนพูดต่อด้วยเสียงที่พยายามจะไม่ให้สั่น
“ฉันยกให้ อย่างน้อยคุณก็ทำตัวเป็นพี่ที่ดี เป็นลูกชายที่ดีของพ่อแม่ฉันมานาน ท่านคงไม่ว่าถ้าจะต้องยกบ้านที่เคยคิดจะยกให้เป็นเรือนหอของลูกสาวตัวเองกับลูกเขยในอนาคต ให้กับลูกชายบุญธรรม ฉันคงมีคำพูดแค่นี้ ลาก่อนทั้งสองคน”
รดิศผวาตาม
“นุช... ได้โปรด อย่าทำอย่างนี้กับพี่”
“บอกแล้วไงว่าคุณไม่ใช่พี่ฉันอีกต่อไป และยิ่งไม่ใช่คนที่ฉันจะแต่งงานด้วย มันจบแล้วคุณรดิศ คุณก่อเรื่องขึ้นมาเอง ก็คงสมใจเธอเหมือนกันใช่มั้ยสิริผกา?”
สิริผกาหน้าเข้มขึ้น แต่พูดไม่ออกเพราะที่นุชวราพูดมาคือความจริงที่ยากจะปฏิเสธ
“ฉันคงไม่มีคำอวยพรให้ ถ้าจะให้พูดก็คงบอกได้แค่...ไปลงนรกเสียทั้งสองคน!”
ท่อนแขนของรดิศตกลงแนบตัว สิ้นหวังเมื่อสบกับสายตาของคนที่รักใคร่กันมาก่อน บัดนี้มีแต่ความเย็นชา ไร้ซึ่งความเป็นมิตร
“พอแล้วนุช”
รวิพลตัดสินใจเดินเข้าไปหยุดมือเรียวบางที่กำลังจะยกแก้วขึ้นพร้อมที่จะสาดน้ำสีเหลืองทองลงคอเป็นแก้วที่ห้า
“ไม่...ปล่อยฉาน...ฉาน...จาดื่ม”
ร่างโปร่งโงนเงนเล็กน้อย แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามตั้งให้ตรง
ความไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อนนอกจากไวน์ไม่เคยเกินแก้วสองแก้วเป็นอย่างมากทำให้ตาคู่สวยหรี่ปรือ ทว่าความงามแห่งเรือนร่างโปร่ง ใบหน้าได้รูปรับเครื่องหน้าเหมาะเจาะทั้งปากคอ คาง จมูกรั้นๆ ก็ยังคงความงามหาที่ติไม่ได้
“พอแล้วน่ะ ฉลองอะไรนักหนา”
ความจริงคนถามย่อมรู้แก่ใจ เช้าตรู่วันนี้เองที่รวิพลได้รับโทรศัพท์จากน้องชาย จากนั้นไม่นานก็รับอีกสายจากพนัส บิดาของหญิงสาวที่กำลังใช้เครื่องดองของเมาดับอารมณ์โกรธแค้นขณะนี้
รดิศพูดอะไรมากมาย ทำให้เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
น้องชายเขาสารภาพผิด เพ้อถึงความผิดหวังของคนถูกถอนหมั้นกะทันหัน เพราะบังเอิญว่าที่เจ้าสาวไปเห็นเขากำลังเล่นรักอยู่กับญาติสาวข้างฝ่ายมารดาของหล่อน
รวิพลอยากจะสมน้ำหน้าน้องชาย มีเพชรอยู่ในมือแล้วยังไม่รู้ค่า หนำซ้ำกลับไปคว้าเอาแก้วสีฉูดฉาดบาดตาแต่หาค่ามิได้มาแทน ขณะที่บิดาของนุชวราชายสูงวัยที่เขานับถือประดุจญาติผู้ใหญ่ที่ขณะนี้พำนักอยู่คนละรัฐ รู้เรื่องเข้าก็รีบโทรมาฝากฝังให้เขาช่วยดูแลบุตรสาวหากหล่อนแวะมาหาเขา
พนัสคาดการณ์ไม่ผิด
นุชวรามาหาเขาจริงๆ มานั่งดื่มตั้งแต่ร้านเปิด
รวิพลรู้จักนุชวรา รวมถึงครอบครัวของหล่อน แต่เขากลับไม่สนิทกับหล่อนเช่นน้องชายของเขาที่พนัสขอไปเป็นบุตรบุญธรรม เพื่อให้รดิศสืบทอดนามสกุลปุญญาพัฒน์ เนื่องจากมีแต่ลูกสาวเพียงคนเดียว
รวิพลอาจจะเคยพบนุชวราหลายครั้ง แต่นับครั้งได้ที่เคยพูดคุยกันยาวๆ อาจจะเป็นเพราะเขากับหล่อนจัดว่าเป็นคนละรุ่น
นุชวราอายุยี่สิบสอง ขณะที่เขาสามสิบสอง ห่างกันสิบปี
“ปล่อยฉัน” นุชวราพูดเสียงอ้อแอ้
รวิพลทำให้หล่อนหยุดดื่มแค่แก้วที่ห้าไม่ได้
นุชวราสะบัดข้อมือก่อนรีบสาดเหล้าเข้าปากและพอเหล้าแก้วที่ห้าลงถึงกระเพาะ ใบหน้าที่แดงอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งเข้มขึ้น
“ขออีก”
“พอแล้ว” รวิพลปรามเสียงหนัก
ชายหนุ่มรู้ว่าหล่อนเป็นเด็กดีของพ่อแม่ แต่พิษรักทำให้กลายสภาพมาเป็นหญิงสาวขี้เมาอย่างที่เห็น
ก็นี่ล่ะที่พอกลับมาถึงแทนที่จะอยู่บ้านกับบิดามารดา นุชวราก็บอกทางบ้านว่าจะมาหาเขา อาจจะมาทำงานในร้านอาหารด้วยสักพักเพื่อจะได้ไม่ต้องหมกมุ่นกับเรื่องราวที่เป็นอดีต
อันที่จริงฐานะอย่างหล่อนที่มีพ่อแม่รวยในระดับเศรษฐีไม่จำเป็นต้องรีบหางานทำในทันทีที่เรียนจบออกมาก็ได้ แต่เมื่อนุชวรามีเจตจำนงเช่นนี้ พนัสก็ไม่อยากขัดบุตรสาว
“ฉันมีตังค์จ่ายน่า”
หล่อนบอกเสียงคนลิ้นไก่สั้น แต่ไม่ถึงกับไม่รู้เรื่อง
“รู้ล่ะว่ามีเงินจ่าย แต่บอกก่อนว่าที่นี่ไม่ชอบพนักงานขี้เมา”
“คราย...พนักงานขี้เมา?”
“นุชน่ะสิจะมีใคร ไหนคุณอาพนัสบอกว่านุชจะมาทำงานที่นี่ไม่ใช่หรือ”
ยามที่รวิพลพูดคุยกับนุชวราเขาไม่เคยใช้สรรพนามแทนตัวเอง อาจจะเป็นเพราะน้อยครั้งที่จะสนทนากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ขณะที่นุชวรานั้นโดยส่วนใหญ่หล่อนเรียกแทนตัวเองว่านุชกับทุกคน สำหรับเขาหล่อนก็ใช้อย่างเดียวกัน
