Chapter1
หญิงสาวที่เพิ่งลงจากรถแท็กซี่ยิ้มซุกซนเมื่อเห็นประตูบ้านเปิดแง้มอยู่ทว่าภายในบ้านกลับเงียบ
รอบๆ ตัวบ้าน ร่มครื้นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย สรรพเสียงที่ได้ยินมีแต่เสียงนกร้อง
นุชวราผลักประตูเข้าไปในบ้านด้วยมือเบาพอกับการย่องกริบๆ เพราะต้องการจะเซอร์ไพรส์ผู้ที่อยู่ในบ้านที่
ในห้องโถงด้านล่างไม่มีใครอยู่เลย หน้าต่างที่เปิดอ้าทิ้งไว้อย่างไม่กลัวขโมยเพียงสองบานในต่างทิศทางช่วยให้เห็นภายในได้ชัดเจนแม้จะไม่สว่างจ้าเช่นข้างนอก ที่เปลวแดดยามสายกำลังเริงระบำระริกระรี้
หล่อนรู้ว่าถ้าคนในบ้านไม่อยู่ในห้องโถงกลางก็น่าจะอยู่ที่สตูดิโอด้านหลัง มากกว่าขึ้นไปหลับอุตุในห้องนอนชั้นเพราะนอกจากประตูจะไม่ได้ล็อคยังเปิดหน้าต่างเอาไว้รอบ
เท้าเร็วพอกับความคิด นุชวราสาวเท้าก้าวเร็วๆ แต่ก็เป็นลักษณะย่องให้เกิดเสียงน้อยที่สุดอยู่ดี ตรงไปยังสตูดิโอที่อยู่ด้านหลัง
ก่อนหญิงสาวจะเอื้อมมือไปผลักประตูห้องทำงานของเจ้าบ้านออก เสียงประหลาดก็ดังออกมาให้ได้ยินเสียก่อน
“เบาค่ะดิศ...อุ๊ย...อย่าเพิ่ง...อูยยย ผกาใจจะขาดอยู่แล้วนะ”
ไม่ปรากฏเสียงฝ่ายชายตอบ
นุชวรานิ่งขึง หล่อนยังไม่อยากเดาว่าคนในห้องกำลังทำอะไรกัน
แต่เสียงที่ดังขึ้นอีก หลังจากมีเพียงเสียงหอบหายใจให้ได้ยินสักพัก
“อุ๊ย...โอ...ดิศจ๋า ผกาจะตายมั้ยเนี่ย”
เสียงนั้นเป็นเสียงครางก็ไม่ใช่ตัดพ้อต่อว่าก็ไม่เชิง
“รอผมก่อนนะผกา อย่าเพิ่ง...หนีขึ้นสวรรค์ไปก่อนล่ะ”
เสียงกระเส่าของผู้ชายพูดแทรกขึ้นทำเอานุชวราตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหินไปชั่วขณะ แต่สมองกลับประมวลภาพในห้องนั้นอย่างรวดเร็ว
ความอับอายเคียดแค้นที่พุ่งปรี่ขึ้นมาทำให้หล่อนผลักประตูออกโดยแรง
หญิงชายที่กำลังห้ำหั่นกันในลักษณะที่เปลือยทั้งคู่โดยที่ฝ่ายหญิงทาบทับร่างฝ่ายชายอยู่เบื้องบนกำลังแหงนหน้าส่งเสียงครางหงิงๆ ราวจะขาดใจ ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย
นุชวราตะลึง ภาพที่เห็นไม่ต่างจากหนังผู้ใหญ่
หล่อนไม่เคยดูหรอก แต่ไม่มีคำอธิบายใดเหมาะสมไปกว่านี้แล้วกับภาพที่เห็นเบื้องหน้าบนโซฟาตัวยาวใหญ่ที่จะปรับลงเป็นเตียงนอนก็ได้
บุคคลทั้งสองยังไม่รู้เนื้อตัวด้วยซ้ำว่ามีคนบุกรุก
หญิงสาวกำหมัดแน่น ความเคียดแค้นอัดแน่นในอกนั้นไม่ต้องพูดถึง
แต่หล่อนจะทำอย่างไรต่อไปดี
กลับออกไปแล้วทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไร หรือยืนรอจนคนทั้งสองสำเร็จกามกิจอยู่อย่างนี้ รอดูซิว่าจะพากันทำหน้าเช่นใด ในเมื่อฝ่ายหญิงนั้นคือญาติสาวผู้พี่ลูกสาวคนเดียวของป้าแท้ๆ ของหล่อน ส่วนฝ่ายชายคือว่าที่เจ้าบ่าวของหล่อน
นุชวราพยายามนับหนึ่ง สอง สาม... นับไปเรื่อยๆ ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องหยุดที่สิบ เพราะแค่นับหนึ่งถึงสิบไม่สามารถทำให้ความโกรธที่พุ่งขึ้นมากับภาพบาดตาบาดใจที่เห็นลดลงได้
หญิงสาวเลือกประการหลัง แม้เสียงครวญคราง เสียงหอบหายใจของคนทั้งสองจะบาดลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจแต่ก็ทนรอ
อยากดูน้ำหน้า อยากฟังคำแก้ตัวที่หล่อนตัดสินแล้วว่ายังไงก็ฟังไม่ขึ้น
ผู้ชายคนที่หล่อนรักและไว้ใจกำลังทรยศหักหลังคู่หมั้นคู่หมายตัวเองอย่างเลือดเย็น
แต่ที่ทวีความโกรธอันเยียบเย็นก็คือผู้หญิงที่เขาเลือกจะพามาสมสู่ในบ้านที่กำลังจะเป็นเรือนหอของหล่อนกับเขา คือสิริผกาญาติสาวผู้พี่ขี้อิจฉาของหล่อน
ดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปจนสิ้นสุดครรลองของมันแล้ว
เสียงหัวเราะระริกรื่นของสิริผกาบ่งถึงความพึงพอใจที่หล่อนได้เป็นผู้ควบคุมเกมกามและยังสามารถพาชายหนุ่มขึ้นถึงสวรรค์ได้สำเร็จ
ฝ่ายหญิงพลิกตัวลงเพื่อนอนข้างข้างชายหนุ่ม
“ว๊าย!”
เสียงร้องอย่างความตกใจของสิริผกาเมื่อสายตาก็ปะทะกับผู้ที่อุกอาจบุกรุกเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงเรียกชายหนุ่มลืมตาขึ้นโดยไว แม้จะเพิ่งปิดเปลือกตาลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรงเพราะกำลังวังชาของสิริผกานั้นช่างไม่ต่างอะไรกับม้าศึกสาวที่ฝึกมาช่ำยามออกศึก
“นุช!”
สองเสียงเรียกเป็นเสียงเดียวกัน พร้อมกัน
นุชวราคลี่ยิ้มเย็น แต่ดวงตาคู่สวยยิ่งกว่าลุกโรจน์ขณะเดินเข้าไปหาร่างเปลือยทั้งสองช้าๆ ก่อนก้มลงหยิบเสื้อผ้าของทั้งสองที่เกลื่อนอยู่บนพื้น ความจริงไม่เห็นอะไรเลยเพราะหูตากำลังอื้อลายด้วยโทสะ
“ใส่ซะ แล้วมาคุยกัน”
บอกเสียงกระด้างจัดก่อนโยนเสื้อผ้าที่ถือในมือไปบนร่างเปลือยของหนุ่มสาวที่ยังพากันนั่งตะลึง
รดิศได้สติก่อน รีบสวมเสื้อกางเกงลวกๆ ความตกใจนั้นอย่าได้พูดถึง สำหรับเขาแล้วไม่ต่างอะไรกับโลกทั้งโลกกำลังจะถล่มทลายลงตรงหน้าในเดี๋ยวนั้น
“ฉันจะไปรอข้างนอกหวังว่าคงไม่ทำให้ฉันต้องรอนานนะ ทั้งสองคน”
ถึงยังไงความสะเทือนใจในภาพที่เห็นก็มีอิทธิพลต่อจิตใจมากพอที่จะทำให้หางเสียงคนพูดสั่นสะท้านน้อยๆ
“นุช เดี๋ยว! ฟังพี่ก่อน”
รดิศรีบดึงกางเกงขึ้น รูดซิบพลางวิ่งตามไปพลาง ไม่สนใจว่าสิริผกาจะอยู่ในอากัปกิริยาอย่างไร สนก็แต่ว่าจะพูดยังไงไม่ให้คู่หมั้นโกรธขอถอนหมั้น และจะอธิบายเช่นไรหล่อนถึงจะยอมเข้าใจ ว่าสำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้ง่าย ถ้าหากมีผู้หญิงสวยๆ สักคนมาแบะให้ท่าอยู่ตรงหน้า ก็เหมือนการที่มีคนเอาจานขนมหวานมาวางล่อนั่นแหละ ถ้าเขาไม่กินเขาก็คือไอ้บื้อ
“นุช ช่วยฟังพี่นิดนะคนดี”
“พอเถอะ”
นุชวราสะบัดแขนที่มือของรดิศแตะอยู่ ก่อนหันมาเผชิญหน้าหลังจากเดินออกมาถึงห้องโถงที่ใช้เป็นห้องรับแขก
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รอให้คู่ขาของคุณออกมาก่อนแล้วเราค่อยพูดกันทีเดียว”
“นุช”
รดิศได้แต่เรียกชื่อนั้น หน้าคมสันเผือดเห็นได้ชัด
นุชวราอ่อนกว่าเขาห้าปีเต็มเคยเรียกขานเขาว่าพี่ดิศมาตลอด
เมื่อบิดามารดาของเขาเสียชีวิตพร้อมกันจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก พนัสกับภรรยา เพื่อนสนิทบิดามารดาของเขา ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือลูกชายกำพร้าของเพื่อนรัก เฉพาะลูกคนเล็กที่เวลานั้นอายุสิบสี่พนัสกับรับเป็นบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนลูกชายคนโต ที่อายุมากกว่าน้องชายเจ็ดปี แม้ว่าจะไม่ได้จดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมพนัสก็ไม่ได้ทอดทิ้ง
แต่รวิพลในวัยยี่สิบเอ็ดดูเหมือนจะโตเป็นใหญ่เกินวัยหลังสูญเสียบิดามารดา เขาพยายามจะยืนหยัดอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง และก็ทำได้สำเร็จ ด้วยวัยเพียงยี่สิบต้นๆ สามารถเปิดร้านอาหารเล็กๆ ก่อนขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาต่อมา เวลานี้กลายเป็นภัตตาคารชั้นนำที่ชิคาโกที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ
รวิพลใช้นามสกุลบิดามารดาตามกำเนิด ขณะน้องชายของเขาที่ใช้นามสกุลบิดาเพื่อนรักของบิดาที่รับเขาเป็นบุญบุตรบุญธรรมเพราะต้องการทายาทชายสืบสกุล
สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รวิพลกับน้องชายยังคงติดต่อกันเสมอ แม้ว่าภายหลังพนัสจะย้ายครอบครัวจากเมืองไทยไปใช้ชีวิตอยู่ที่มิชิแกน แต่ก็ยังเก็บบ้านที่เมืองไทยเอาไว้ กระทั่งสองปีก่อน บุตรชายบุญธรรมคิดจะกลับมาลองใช้ชีวิตในเมืองไทย โดยคิดจะทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นจิตรกร เขียนภาพขาย งานที่เขาถนัดและทำได้ดี พนัสจึงสั่งเปิดบ้าน ภายหลังเมื่อลูกสาวสายเลือดแท้ๆ กับบุตรชายบุญธรรมรักกัน และได้ทำการหมั้นหมายกันต่อหน้าพ่อแม่
