4. สวดไล่
“ตา ยาย เฟินเฟิน! มาๆ” เพียงประโยคนั้นประโยคเดียว ทำให้ท่านหมอเจียงและฮูหยิน รีบไปจัดเตรียมของเซ่นไหว้สำหรับวิญญาณไร้ญาติที่อยู่ในเรือนทันที
เทศกาลจงหยวนตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา จึงมีของเซ่นไหว้เพิ่มมาอีกสองสามชุด ทั้งยังมีเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันสวยงามอีกด้วย แน่นอนว่าย่อมเป็นผลดีต่อไป่เฟินเฟิน
เสื้อผ้าของนางบัดนี้เปลี่ยนเป็นชุดในยุคสมัยนี้ อย่างที่เคยอยากใส่ แต่ก็มิใช่ผ้าเนื้อดีเท่าใดนัก ทั้งยังเป็นสีเหลืองที่นางใส่แล้ว ไม่ขับผิวให้ขาวผ่องเลยแม้แต่น้อย
ส่วนพลังวิญญาณของนางก็มากขึ้น เดินทางออกนอกเขตเรือนได้แล้ว แต่ก็ไปได้ไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งลี้เท่านั้น (500 เมตร)
“ท่านแม่จะไปดูตาข่ายดักปลาที่คลองมิใช่หรือเจ้าคะ”
“ใช่ แต่แม่รอท่านพ่อกับพี่ชายเจ้ากลับมาก่อน เจ้าจะได้มีเพื่อนเล่น” เล่อหลันเอ่ยเสียงหวาน บัดนี้บุตรชายของนางอายุสิบสามหนาวแล้ว สามีจึงอยากให้ร่ำเรียนวิชาแพทย์ เลยพาไฉ่ชุนออกไปรักษาคนไข้ด้วย
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ ข้าอยู่คนเดียวได้ กว่าท่านพ่อจะมาคงมืดค่ำไปเสียแล้ว”
“…เช่นนั้นเจ้าอย่าออกไปที่ใด ลงกลอนให้แน่นหนา อย่าเปิดให้ผู้ใดเด็ดขาด” มารดาลูกสองก็กลัวจะมืดค่ำอย่างที่บุตรสาวว่า หากเป็นเช่นนั้นคงนำปลามาทำมื้อเย็นไม่ทัน
“ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ไปเถิด”
เมื่ออยู่เพียงคนเดียวในห้อง เจียงจินผิงก็หันมายิ้มให้เฟินเฟินที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ผิงเอ๋อร์ของข้าชักจะเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวัน ช่างคิดหาเหตุผลเสียจริง”
“เป็นเพราะพี่เฟินเอ๋อร์สอนเจ้าค่ะ แล้วท่านตากับท่านยายไปไหนหรือเจ้าคะ ข้ามองหาไม่พบ” เด็กน้อยถาม พลางยิ้มให้ผีที่สถาปนาตนเองเป็นพี่สาว
“คงจะออกไปเยี่ยมเยือนสหายกระมัง ว่าแต่วันนี้แม่เจ้าสอนให้มีน้ำใจใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้านำเสื้อผ้าที่ตัวเล็กแล้ว ไปให้ทารกที่พึ่งเกิดท้ายหมู่บ้านด้วย” มือเล็กตบอกอย่างภาคภูมิใจ
“ดีแล้ว แต่ว่าเจ้าต้องพิจารณาด้วย เราควรมีน้ำใจให้ถูกคน ถูกเวลา”
“…”
“อย่ามีน้ำใจมากเกินไป จนตัวเองเป็นทุกข์ และต้องมีน้ำใจให้ถูกคน ผู้ใดไม่ดีต่อเจ้า เจ้ามิจำเป็นต้องดีต่อเขา” เฟินเฟินพูดไป เจียงจินผิงก็พยักหน้า ราวกับไก่จิกข้าวสาร
ไป่เฟินเฟินมักจะหาเวลาพูดคุยกับเด็กหญิงทุกวัน สอบถามว่ามารดาสอนสิ่งใด และพยายามปรับไม่ให้ผิงเอ๋อร์กลายเป็นคนดี จนยอมให้ผู้อื่นมารังแก ซึ่งการกระทำดังกล่าวท่านตาและท่านยายก็เห็นด้วย
เพราะผู้อาวุโสทั้งสองก็คิดว่าพวกเขาสอนให้บุตรสาวอ่อนแอเกินไป หากว่าได้สามีไม่ดี เล่อหลันคงต้องถูกรังแกเป็นแน่ ผีชราทั้งสองจึงสนับสนุนในสิ่งที่เฟินเฟินสอนให้กับหลานสาว
ตั้งแต่ที่รู้ว่าจินผิงสามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ สองตายายก็ดูจะสดชื่นขึ้น คงเพราะได้พูดคุยกับหลานสาวตัวน้อย แน่นอนว่าเจียงจินผิงเอ่ยบอกเรื่องนี้กับพี่ชายด้วย ทำให้ไฉ่ชุนเองก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของดวงวิญญาณทั้งสาม
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไม่มีน้ำใจต่ออาฟู่ เพราะเขาชอบแกล้งข้า” เสียงพูดคุย หัวเราะของผีและคนยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้เลยว่าทั้งเจียงฝูฉือ เล่อหลัน และไฉ่ชุนยืนฟังอยู่ด้านนอก
“ผิงเอ๋อร์พูดคนเดียวอีกแล้ว เห็นที่เราคงต้องจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดแล้วเจ้าค่ะ”
“ได้ วันพรุ่งพี่จะรีบจัดการให้”
ได้ยินบิดาพูดดังนั้น ไฉ่ชุนก็เบิกตาโพลง ไม่รู้ว่าท่านพ่อคิดจะทำสิ่งใด ตัวเขาเองก็รับรู้มาโดยตลอดว่าน้องสาวสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ เพราะนางเคยบอก และเขาก็เชื่อน้องสาวจนหมดใจ ว่าวิญญาณตนนั้นมิได้เป็นวิญญาณร้าย
หวังว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะไม่ทำสิ่งใดรุนแรง
แต่แล้วคำภาวนาของไฉ่ชุนก็ไม่เป็นจริง เพราะวันรุ่งขึ้นบิดาของเขา เชิญนักพรตเข้ามาถึงในเรือน แน่นอนว่าเรื่องที่ท่านพ่อ ท่านแม่คิดจะทำอะไรบางอย่าง ไฉ่ชุนได้นำไปปรึกษาน้องสาวแล้ว แต่เด็กอายุเพียงสิบสามหนาวกับแปดหนาวมิอาจทำสิ่งใดได้
“ทะ ท่านผู้นี้คือใครหรือเจ้าคะ”
“ท่านเป็นนักพรตชื่อดังในเมืองเฉวียนของเรา ท่านจะมาทำพิธีชำระล้างให้กับเรือนของเรา” ท่านหมอเจียงว่าเพียงเท่านั้น ก็เชิญนักพรตชราเข้าไปในเรือน
แต่เพียงแค่ก้าวเข้าไปในห้องโถงของเรือน นักพรตผู้นั้นก็ทำไม้ทำมือปัดป่ายไปทั่ว จนครอบครัวสกุลเจียงต่างตกอกตกใจ
“เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ ท่านนักพรต”
“วิญญาณร้าย ที่นี่มีวิญญาณร้าย” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน
ด้านเฟินเฟินและดวงวิญญาณบรรพบุรุษทั้งสอง ที่อยู่ในห้องโถง ต่างก็ทำหน้าเหลอหลา พวกเขาไม่เคยคิดร้ายต่อครอบครัว เช่นนี้จะกล่าวว่าเป็นวิญญาณร้ายได้อย่างไรกัน
“ใช่จริงๆ หรือเจ้าคะ ละ แล้วบุตรสาวข้าจะเป็นอันตรายหรือไม่ นางมักพูดคนเดียวอยู่บ่อยครั้ง”
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามิได้เป็นอันใดเสียหน่อย” แม้เจียงจินผิงจะเอ่ยขัด แต่กลับไม่มีผู้ใดฟังคำของนางเลย
“แล้วบุตรสาวพวกเจ้าพูดคุยคนเดียวมานานหรือยังเล่า”
“นานแล้วขอรับ ตั้งแต่อายุเพียงหนึ่งหนาวแล้ว” ที่พวกเขาปล่อยเวลามานานถึงเพียงนี้ เพราะนักพรตชื่อดังมีค่าศรัทธาถึงสิบตำลึงเงิน
“เช่นนั้นต้องรีบปัดเป่าวิญญาณชั่วออกไป เท่าที่ข้านั่งนิมิตดู วิญญาณตนนี้มีความอาฆาตแค้นยิ่งนัก” ท่าทางหลับตา พลางกวาดมือไปทั่วของนักพรตชรา ทำเอาท่านตาฉุนขาด ถึงขั้นเข้าไปเตะต่อย แต่วิญญาณจะทำร้ายคนเป็นได้อย่างไรกัน
“ข้าไม่ทำเจ้าค่ะ”
“ผิงเอ๋อร์ แม่มิเคยสอนให้ลูกพูดจาแทรกผู้ใหญ่เช่นนี้”
“ขะ ขออภัยเจ้าค่ะ แต่ข้ามิอยากทำ” จินผิงก้มหน้างุด
“อย่างไรก็ต้องทำ ไฉ่ชุนเองก็เข้ามาทำด้วย” เมื่อบิดายื่นคำขาด ทั้งไฉ่ชุนและจินผิงก็ปฏิเสธไม่ได้ จำใจต้องเข้าไปนั่งตรงหน้านักพรตชรา ที่หน้าตาไม่น่าไว้วางใจ
เสียงสวดและพิธีการต่างๆ ดำเนินไปตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น แต่พิธีการเหล่านั้น มิได้ทำให้ดวงวิญญาณทั้งสามเกิดความระคายเคือง หรือปวดแสบปวดร้อนใดๆ ทั้งสิ้น ฟังคล้ายเป็นเพลงกล่อมเสียด้วยซ้ำ
“เสร็จสิ้นพิธีแล้ว พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
“เอ่อ ข้ามิได้รู้สึกอันใดขอรับ” ไฉ่ชุนตอบออกไปตามตรง เขามิได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
“ข้าเองก็ไม่รู้สึกเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดี ถือว่าบิดามารดาของพวกเจ้า เรียกข้ามาได้ทันเวลา…ต่อไปข้าจะนำน้ำมนต์นี้ไปพรมทั่วบ้าน” น้ำมนต์ที่นักพรตชราทำพิธีเมื่อครู่ ถูกนำออกมา
“…”
“หากว่าวิญญาณตนใดโดนน้ำมนต์นี้ เป็นอันต้องดับสลายไป”
“แล้ววิญญาณบรรพบุรุษเล่าขอรับ” เจียงฝูฉือถามด้วยน้ำเสียงตกใจ
“มิเป็นไร วิญญาณบรรพบุรุษที่อาศัยในเรือนมานานแล้ว ย่อมไม่ทุกข์ร้อน แต่หากเป็นวิญญาณเร่ร่อน เข้ามาสิงสถิตที่นี่ย่อมต้องแตกดับ”
ได้ยินเพียงเท่านั้น ไป่เฟินเฟินก็ตื่นตระหนก จากที่ง่วงนอนอยู่ ก็ตื่นขึ้นเต็มตา ในหัวเริ่มประมวลสิ่งที่นักพรตผู้นั้นกล่าวมา
นางมิได้เป็นวิญญาณบรรพบุรุษของที่นี่ หากโดยน้ำมนต์จะเป็นอันใดหรือไม่ แล้วหากวิญญาณแตกดับไปจริงๆ นางก็อาจจะได้ไปเกิดใหม่ นั่นเป็นผลดีมิใช่หรือ
“เฟินเอ๋อร์ เจ้ารีบหลบออกไปก่อนเถิด” เมื่อเห็นว่าวิญญาณสาวตกอยู่ในภวังค์ ผีชราทั้งสองจึงรีบเอ่ยทัก
“พี่เฟินเอ๋อร์ หนีไปเร็วเข้า!” เจียงจินผิงเองก็หันมาตะโกนบอก นั่นทำให้เจียงฝูฉือรู้ตำแหน่งของผีสาว
“ทางนั้นขอรับ”
“ท่านพ่อ อย่านะเจ้าคะ พี่เฟินเอ๋อร์มิใช่วิญญาณร้าย นางช่วยดูแลข้านะเจ้าคะ” ไป่เฟินเฟินเห็นเด็กสาวทำท่าจะร้องไห้ ทั้งยังยื้อแย่งขันน้ำมนต์จากผู้เป็นบิดา นางก็คิดได้ทันทีว่า มิอาจปล่อยให้ผิงเอ๋อร์ต้องพบเจอกับความลำบากได้
แม้ว่านางจะต้องเป็นวิญญาณเช่นนี้ไปตลอด ก็จะขอติดตามดูแลน้องสาวตัวน้อยของนางให้มีความสุข
ดังนั้น…นางจะมาแตกดับไปเพราะน้ำมนต์นี้ไม่ได้
คิดได้ดังนั้น เฟินเฟินก็รีบลุกพรวดขึ้น ทว่านางกลับช้าไป เพราะบัดนี้น้ำมนต์ทั้งขัน ถูกสาดมาตรงที่นางยืนอยู่จนเปียกชุ่ม
“พะ พี่เฟินเอ๋อร์”
