บท
ตั้งค่า

3. กิจวัตรของผีไร้ร่าง

ไป่เฟินเฟินนอนเกลือกกลิ้งอยู่กับเด็กน้อยวัยห้าเดือน ที่ตอนนี้หลับปุ๋ย ไม่ได้สนใจความโศกเศร้าของนางแม้แต่น้อย

“ข้าจะทำอย่างไรดีผิงเอ๋อร์ เฮ้อ!” หลายวันมานี้เฟินเฟินพยายามอย่างหนัก เพื่อทดลองว่าตนเองจะสามารถออกไปที่อื่นได้หรือไม่

แต่อาณาเขตของนางก็อยู่ได้เพียงในเรือนสกุลเจียงเท่านั้น ออกไปนอกรั้วแม้เพียงครึ่งก้าวก็ทำไม่ได้

ท่านตา ท่านยายเอ่ยว่า คงเป็นเพราะพลังวิญญาณของเฟินเฟินมีไม่มากพอ หากว่าได้รับส่วนกุศลก็จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างง่ายดาย

“ในเมื่อไปที่ใดไม่ได้ ข้าก็คงต้องอยู่ที่นี่ คอยเฝ้ามองเจ้าเติบใหญ่อยู่อย่างนี้” นิ้วเรียวแตะเบาๆ ลงบนแก้มกลม รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นทุกครั้งยามที่เด็กน้อยขมุบขมิบปาก คล้ายว่าจะดูดนม แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผิงเอ๋อร์จะพบเจอในอนาคต ก็พลันทำให้จิตใจของเฟินเฟินห่อเหี่ยวลง

ไม่ได้การแล้ว!เห็นทีนางจะต้องสั่งสอนเด็กหญิงตัวน้อย ให้รู้จักรักตัวเองเสียบ้าง มิใช่ว่ารักแต่สามี ยอมผู้อื่นไปเสียทุกเรื่อง

“โตขึ้นอย่าให้ผู้ใดมาทำร้ายเข้าใจหรือไม่ อย่าให้แก้มขาวๆ นี่ถูกรังแก” แม้จะรู้ว่าเด็กน้อยคงไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด แต่เฟินเฟินก็คิดว่าดีกว่าไม่ทำสิ่งใดเลย ได้แต่หวังว่าเสียงวิญญาณเร่ร่อนตนนี้ จะดังเข้าหูเล็กบ้าง

“อื้อ แอ้”

“โอ๊ะ ตื่นแล้วหรือ อย่าพึ่งร้องนะ มารดาของเจ้ากำลังซักล้างอาภรณ์อยู่ เจ้านอนเล่นไปก่อน”

“แอ้!” ทารกร่างอวบดีดดิ้นไปมาอยู่บนที่นอน ไม่ได้ร้องไห้งอแงแต่อย่างใด

“เด็กดีๆ ตอบรับข้าด้วยหรือ” เฟินเฟินอดหัวเราะกับความคิดของตนเองไม่ได้ นางรู้สึกว่าเด็กน้อยจ้องมาที่นางตาแป๋ว ทั้งยังส่งเสียงอ้อแอ้ราวกับกำลังพูดคุยกับนาง

แต่ก็คงเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น เพราะความเป็นจริงไป่เฟินเฟินเป็นเพียงแค่ดวงวิญญาณ จะสื่อสารกับคนเป็นได้อย่างไร

หลังจากตัดสินใจว่าจะเฝ้าดูการเติบโตของเจียงจินผิง ไป่เฟินเฟินก็จัดตารางกิจวัตรของนางไว้อย่างชัดเจน ตื่นเช้ามาวิ่งออกกำลังกาย ฝึกวิชาป้องกันตัวที่เคยร่ำเรียนมา จากนั้นก็ไปสนทนากับวิญญาณป้าจูเมิ่ง ที่อาศัยอยู่เรือนข้างๆ แล้วจึงเข้าไปเล่นกับเด็กน้อยทั้งสอง

“แฮก! เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะพลังวิญญาณน้อยสินะ” หญิงสาวฝึกการป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อของเฟินเฟินเปิดโรงเรียนสอนวิชาป้องกันตัว จะใช้อาวุธหรือไม่ใช้อาวุธ นางย่อมชำนาญทั้งสิ้น

แต่หลังจากที่พ่อและแม่เสียไปด้วยอุบัติเหตุ เฟินเฟินก็ยกกิจการให้ลูกศิษย์ของพ่อเป็นคนดูแล ส่วนนางก็รับเพียงส่วนแบ่งเล็กน้อยเท่านั้น

“ท่านป้าจู ทำสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ” เฟินเฟินที่พึ่งจะออกกำลังกายเสร็จ เดินมาทักทายจูเมิ่งอย่างที่นางเคยทำอยู่ทุกวัน

“เฟินเอ๋อร์ มาๆ ป้าเพิ่งได้ข่าวมาจากวิญญาณท้ายหมู่บ้าน”

“มีอันใดหรือเจ้าคะ” เห็นท่าทีตื่นตระหนกของป้าจู เฟินเฟินก็รีบขยับเข้าไปเกาะกำแพง เอียงหูฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะเล่า

“เจ้าอย่าเอาไปเล่าต่อเชียว ป้าได้ยินมาว่าแม่นางเหอที่สามีพึ่งตายไป ระริกระรี้อยากมาเป็นเมียรองท่านหมอ”

“หมายถึงท่านหมอเจียงหรือเจ้าคะ”

“ก็ใช่น่ะสิ นางถึงขั้นแกล้งป่วย เพื่อเรียกท่านหมอไปดูอาการเชียวนะ” สตรีวัยทองจีบปากจีบคอพูด แต่ยังไม่ทันที่เฟินเฟินจะตอบสิ่งใด เสียงของท่านตา ท่านยายก็ดังขึ้นพร้อมกัน

“แล้วบุตรเขยเล่นด้วยหรือไม่!”

“ท่านหมอน่ะหรือจะทำเช่นนั้น เห็นว่าทุกครั้งที่ไป ก็พาคนอื่นเข้าไปด้วย ระมัดระวังตัวมากเชียว”

“โล่งอกไปที บุตรสาวข้ายิ่งไม่สู้คนอยู่ด้วย หากว่ามีเมียรอง คงถูกกดขี่เป็นแน่” ท่านยายลูบอกตนเองด้วยความเบาใจ

“แต่อย่างไรข้าว่า เราควรเตือนฮูหยินไว้นะเจ้าคะ”

“เฟินเอ๋อร์ เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าเราเป็นเพียงวิญญาณ” ชายชราใช้มือเคาะศีรษะของหญิงสาวเบาๆ

“จริงด้วยเจ้าค่ะ แหะๆ”

“เอาเถิดๆ วันนี้ข้าจะตามบุตรชายขึ้นเขา อย่างไรก็ฝากพวกท่านดูแลเรือนให้ข้าที” ท่านป้าจูเมิ่งผู้นี้มีบุตรชายเพียงคนเดียว จึงไม่แปลกที่แม้จะตายเป็นผีแล้ว ก็ยังคงตามดูแลบุตรไม่ห่าง

“ได้ๆ พวกข้าจะช่วยดูให้” ดวงวิญญาณสังกัดสกุลเจียงทั้งสามตน พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะพากันแยกย้ายเข้าเรือนไป

สองสามีภรรยาพากันไปนั่งพลอดรักที่ศาลา เฟินเฟินไม่อยากไปเป็นก้าง จึงพาตนเองเข้าไปหาไฉ่ชุนกับจินผิงในเรือนแทน

ยามที่ผีสาวพูดคุยกับสองพี่น้อง นางจะคอยบอก คอยสอนทุกครั้ง ว่าอย่ายอมให้ผู้ใดรังแก ทำอย่างนั้นประจำโดยที่นางไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าเด็กทั้งคู่จะได้ยินสิ่งที่นางพูดหรือไม่

“วันนี้ข้าจะสอนพวกเจ้าตอบโต้คนให้เป็น อะแฮ่ม! ถ้ามีคนมาบอกว่าเจ้าไร้ค่า”

“…”

“ให้เจ้าปรายตามอง แล้วตอบกลับไปว่า เจ้าพูดภาษาคนได้หรือไม่ เห่าเช่นนี้ข้าฟังไม่รู้เรื่อง” เฟินเฟินทำท่าปรายตามอง ก่อนจะจีบปากจีบคอพูดออกมา

แต่สิ่งหญิงสาวได้กลับมา ยังคงเป็นเพียงความว่างเปล่าเช่นเคย ไฉ่ชุนยังคงยิ้มหัวเราะอยู่กับน้องสาว เจียวจินผิงเองก็สนใจแต่พี่ชาย

กระนั้นเฟินเฟินก็ไม่คิดจะกล่าวโทษพวกเขา นางยังคงทำกิจวัตรของตนเช่นนี้อยู่ตลอด

จนกระทั่งเจียงจินผิงอายุครบหนึ่งหนาว

“อีกสิบวันข้างหน้าก็จะเป็นเทศกาลจงหยวนแล้ว เห็นทีเราต้องเข้าเมืองไปซื้อของไหว้แล้วเจ้าค่ะ” เล่อหลันเอ่ยบอกสามีที่กำลังนั่งเล่นกับบุตรสาวและบุตรชายอยู่

คืนนี้อากาศเย็นสบาย พอทานมื้อเย็นเสร็จ ครอบครัวสกุลเจียงจึงพากันออกมานั่งรับลมที่ศาลาหน้าเรือน แน่นอนว่ารวมถึงผีทั้งสามตนด้วย

“เจ้าอยากไปเลือกซื้อที่ตลาดเอง หรือจะให้พี่ไปซื้อมาให้”

“เราพาเด็กๆ ไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”

“ดีเช่นกัน ช่วงนี้พี่มีคนไข้มากเหลือเกิน มิมีเวลาดูแลเจ้ากับลูกเลย” ท่านหมอเจียงจะตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ หากว่าเรือนใดมีคนป่วยก็จะเรียกท่านหมอเข้าไปรักษา บางวันถ้าไม่มีคนป่วยก็มิได้เงินสักแดง ทั้งยังต้องเหนื่อยเปล่า

แต่ที่ต้องทำเช่นนั้น ก็เพราะเรือนสกุลเจียงคับแคบทั้งยังอยู่ชานเมือง จึงไม่ค่อยมีผู้ใดมารักษาในที่ห่างไกล

“เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าปีนี้ เราซื้อของไหว้เพิ่มอีกสักชุดสองชุดเถิดเจ้าค่ะ”

“หืม เหตุใดต้องซื้อของไหว้เพิ่มด้วยเล่า” ไม่เพียงแต่เจียงฝูฉือที่งงงวย แต่เหล่าดวงวิญญาณทั้งสามตนก็มีสีหน้าสงสัยไม่ต่างกัน

เพราะครอบครัวสกุลเจียงไม่ได้มิเงินทองมากมาย ทุกปีจึงซื้อของมาเซ่นไหว้เพียงบรรพบุรุษของพวกเขาเท่านั้น

“เอ่อ ข้าเพียงคิดว่า ท่านพี่ทำงานกับชีวิตคน มีมากมายที่ตายตกไปขณะที่ท่านกำลังรักษา ข้าเลยคิดว่าควรซื้อของมาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณเร่ร่อนบ้าง” ใบหน้าของเล่อหลันที่มักยิ้มอ่อนโยน บัดนี้กลับไม่เหมือนเดิม รอยยิ้มที่นางส่งไปให้สามี เป็นรอยยิ้มแห้ง จนท่านหมอเจียงรู้สึกถึงความผิดปกติ

“เจ้ารับรู้ถึงบางอย่างหรือ”

“มิได้เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้ามักเห็นผิงเอ๋อร์ปักตามองบางอย่าง แต่ข้ากลับไม่เห็นสิ่งใดที่น่าสนใจ” ได้ยินฮูหยินของเรือนว่าเช่นนั้น เฟินเฟินก็สะดุ้ง นางมิได้คิดไปเองคนเดียวว่าผิงเอ๋อร์มองมาทางนาง

“เจ้าคงจะคิดมากเกินไป เด็กๆ ก็เป็นเช่นนั้น แต่เพื่อความสบายใจ เราก็ซื้อของมาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณเร่ร่อนสักสองสามชุดเถิด ช่วงนี้พี่เองก็ได้เงินมาพอควร” เจียงฝูฉือขยับเข้าไปโอบหลังภรรยา หวังให้นางคลายความกลัว

วิญญาณทั้งสามตนได้ยินสิ่งที่เจ้าของเรือนพูดคุย ต่างก็ตกใจ ไม่รู้ว่าการที่เด็กหญิงตัวน้อยมองเห็นดวงวิญญาณจะเป็นไปได้หรือไม่

“ผิงเอ๋อร์จ้องมองพวกเราจริงๆ หรือ ตาแก่ เฟินเอ๋อร์ รู้สึกตัวบ้างหรือไม่” ที่ท่านยายถามเช่นนั้น เป็นเพราะนางไม่เคยรู้สึกว่าหลานสาวตัวน้อยจ้องมอง

“ข้าก็พอจะรู้สึกตัวอยู่บ้างเจ้าค่ะ ยามที่ข้าพูดคุยกับผิงเอ๋อร์ นางมักจะหันมาจ้องทางที่ข้านั่งอยู่ แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานนางก็หันไปทางอื่น”

“เช่นนั้น ตาว่าคงจะเป็นเรื่องบังเอิญกระมัง”

“ข้าก็คิดเช่นเดียวกับท่านตาเจ้าค่ะ” เฟินเฟินว่าไปตามที่รู้สึก แม้บางครา เหมือนว่าเด็กน้อยจะเห็นและได้ยินนาง แต่พอนางเรียก อีกฝ่ายก็ไม่หันมาหา อย่างตอนนี้ เจ้าเด็กตัวกลมก็สนใจแต่พี่ชาย ที่ยื่นแมลงปอสานให้

เห็นภาพครอบครัวที่แสนสุขเช่นนี้ เฟินเฟินก็สบายใจ ถึงชีวิตที่นี่จะน่าเบื่อไปบ้าง แต่การได้เฝ้าดูเด็กน้อยทั้งสองเติบใหญ่ ก็มีความสุขไปอีกแบบ เหมือนได้มีลูกน้อย โดยที่ไม่ต้องตั้งท้องเอง ฮ่าๆ

“ท่านพ่อขอรับ! น้องกินแมลงปอสานของข้า ฮื่อออ” ไฉ่ชุนไม่กล้าแม้แต่จะแย่งน้องสาว เพราะกลัวว่าหากยื้อแย่งกัน น้องน้อยจะเจ็บเอาได้

“หม่ำๆ หม่ำ”

“ผิงเอ๋อร์ นี่เป็นของเล่นพี่ชาย เจ้าจะกินไม่ได้…เฮ้อ! ทานทุกอย่างที่ขวางหน้าเช่นนี้ พ่อจะหาเงินเลี้ยงเจ้าไหวหรือ”

ทั้งคนทั้งผี ต่างพากันหัวเราะ เพราะแม้แมลงปอสานจะถูกดึงออกจากมือแล้ว แต่จินผิงยังอ้าปากไล่ตามหาแมลงปอ จนไฉ่ชุนต้องวิ่งหนี

“พอแล้วๆ ผิงเอ๋อร์มาหาแม่เถิด เจ้าคงจะหิวนมแล้วใช่หรือไม่”

“หิว หม่ำ หม่ำๆ”

ครอบครัวสกุลเจียงกำลังจะพากันเดินกลับเข้าเรือน แต่ดวงวิญญาณทั้งสาม ยังคงนอนกินลมชมวิวกันอยู่ด้านนอก เฟินเฟินจึงโบกมือส่งเด็กน้อยทั้งสองอย่าที่เคยทำ

แต่ทันใดนั้น กลับมีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น…

“มาๆ มา” เจียงจินผิงที่ถูกมารดาอุ้มพาดบ่า ยังคงจ้องมองมาทางศาลา แล้วกวักมือเรียก

“ผะ ผิงเอ๋อร์ เจ้าเรียกหาผู้ใดหรือ” เจียงฝูฉือหันมองไปตามทิศทางที่บุตรสาวกวักมือ พลันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“ตา ยาย เฟินเฟิน! มาๆ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel