บท
ตั้งค่า

5. เรื่องราวที่ควรรู้

“พะ พี่เฟินเอ๋อร์”

“เฟินเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ดวงวิญญาณอาวุโสทั้งสองรีบเข้ามาดูอาการของผีสาว ที่พึ่งจะถูกน้ำมนต์สาดใส่

“นั่นสิ เจ็บปวดที่ใดหรือไม่” มือเหี่ยวย่นของท่านยายเขย่าตัวหญิงสาวเบาๆ เพื่อให้ได้สติ

ตอนที่ถูกสาดน้ำมนต์ ไป่เฟินเฟินก็คิดไว้แล้วว่า ต้องเกิดเหตุการณ์เลวร้ายบางอย่าง ทว่านางกลับไม่รู้สึกอันใด ไม่ปวดแสบปวดร้อน ไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังจะดับสลายอย่างที่นักพรตผู้นั้นว่า

“ขะ ข้าไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ข้าสบายดีผิงเอ๋อร์” เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงเอื้อนเอ่ยบอกเด็กหญิงที่ทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“แน่ใจนะเจ้าคะว่าไม่เป็นอันใด”

เจียงฝูฉือ เล่อหลัน และนักพรตต่างก็หันมองไปยังมุมห้อง พอได้ยินจินผิงพูดคุยกับดวงวิญญาณ เรียวขนก็ลุกขึ้นเป็นเกลียว

นักพรตแก่ กระแอมไอสองสามที ก่อนจะรีบเก็บข้าวเก็บของ แล้วจ้ำอ้าวออกไปจากเรือนโดยไม่รั้งรอ กระทั่งเงินค่าจ้างยังไม่คิดจะเอา

“ท่านพ่อกับท่านแม่ใจร้ายนัก พี่เฟินเอ๋อร์หาใช่วิญญาณร้ายไม่” ว่าเพียงเท่านั้น เด็กหญิงวัยแปดหนาวก็ปาดน้ำตา วิ่งกลับเข้าไปในห้องของตน

“ครานี้ท่านพ่อ ท่านแม่ทำเกินไปจริงๆ ขอรับ แม้พวกท่านจะเป็นห่วง แต่อย่างไรก็ควรไถ่ถามเรื่องนี้กับน้องให้ถี่ถ้วนก่อน เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิญญาณที่น้องเอ่ยถึง ปฏิบัติต่อน้องอย่างไร แต่พวกท่านกลับตัดสินใจไปเสียแล้วว่านางเป็นวิญญาณร้าย” ไฉ่ชุนว่า ก่อนจะเดินออกไปอีกคน

แม้เด็กหนุ่มจะไม่มีท่าทีโกรธเคือง แต่แววตาผิดหวัง กลับทำให้ดวงใจของผู้เป็นบิดามารดาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม

“ฮึก! ข้าคิดว่าพี่เฟินเอ๋อร์จะตายเสียแล้ว” จินผิงเบะปากร้องไห้ออกมาต่อหน้าพี่ชายและดวงวิญญาณทั้งสาม

“ข้ามิเป็นไร เจ้ามิต้องร้อง…อีกอย่างข้าตายไปแล้วรอบหนึ่ง คงไม่ตายอีกกระมัง ฮ่าๆ”

“ยังจะหัวเราะอีกหรือเจ้าคะ” เฟินเฟินไม่ได้หยุดหัวเราะแต่อย่างใด นางยังคงยิ้มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซึ้งใจ ตั้งแต่พ่อแม่ตายไป ก็ไม่เคยมีใครเป็นห่วงนางขนาดนี้มาก่อน

“เอ่อ พะ พี่เฟินเอ๋อร์ของเจ้าอยู่ในนี้ด้วยหรือ” ไฉ่ชุนแม้จะชินชาที่น้องสาวพูดคุยกับผี แต่เขาก็ยังรู้สึกขลาดกลัวทุกครา ยามที่จินตนาการว่ามีผีหน้าตาน่ากลัวนั่งอยู่ข้างๆ

“อยู่เจ้าค่ะ นั่งอยู่ด้านหลังท่านพี่เลย ท่านตา ท่านยายก็ด้วย”

“หา!!!” ไฉ่ชุนรีบกระโดดหนีไปด้านหน้า ท่าทีระแวดระวัง ทำเอาทั้งผีทั้งคนหัวเราะกันจนปวดท้อง

แต่แล้วความครึกครื้นภายในห้องนอนของเจียงจินผิงก็ถูกขัด โดยเสียงเคาะประตู

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“ผิงเอ๋อร์ อาชุน เปิดประตูให้พ่อกับแม่ทีเถิด พ่ออยากสนทนากับพวกเจ้า” น้ำเสียงของเจียงฝูฉือหม่นลงจนคนฟังรู้สึกได้ คงจะรู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้บุตรสาวร้องไห้ แต่กระนั้นจินผิงก็ยังใจแข็ง ห้ามไม่ให้พี่ชายเปิดประตู

“ผิงเอ๋อร์ เราฟังสิ่งที่ท่านพ่อกับท่านแม่จะพูดก่อนดีหรือไม่ ไม่แน่ว่าหากเราอธิบายให้ท่านฟัง พวกท่านอาจจะเข้าใจก็เป็นได้”

“ท่านพี่มิได้อยู่ข้างข้าหรือ”

“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไหนเลยจะมีแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หากมีเรื่องเข้าใจผิด เราควรพูดคุยปรึกษากันมิใช่หรือ” เฟินเฟินพยักหน้าเห็นด้วย กับคำของไฉ่ชุน ไม่ต่างจากสองวิญญาณเฒ่า ที่บัดนี้ยกมือขึ้นปาดน้ำตา เพราะภูมิใจในตัวหลานชาย

“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”

บรรยากาศในห้องนอนของจินผิงเงียบลงทันที เมื่อสองสามีภรรยาเข้ามาหาบุตร ต่างฝ่ายต่างไม่มีผู้ใดยอมพูดคุยกัน ขนาดผีทั้งสามตนยังรู้สึกอึดอัดไปด้วย

“อะฮึ่ม! พ่อรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ถูกต้อง แต่พ่อกับแม่เพียงเป็นห่วงเจ้า”

“ข้าทราบดีว่าท่านพ่อเป็นห่วง แต่ท่านพ่อเจ้าคะ พี่เฟินเอ๋อร์มิใช่วิญญาณร้าย ท่านก็เห็นแล้วว่าน้ำมนต์พวกนั้นทำสิ่งใดนางไม่ได้” จินผิงยังคงทำหน้างอ

“เช่นนั้นเจ้าเล่าเรื่องของนางให้แม่ฟังได้หรือไม่ นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วต้องการสิ่งใดจากครอบครัวเรา” ก่อนจะมาหาบุตรสาว เล่อหลันและสามีปรึกษากันแล้ว ว่าจะรับฟังเรื่องราวจากบุตรก่อน

“ได้เจ้าค่ะ ข้าเห็นพี่เฟินเอ๋อร์มาตั้งแต่จำความได้ นางบอกว่าจู่ๆ นางก็ตื่นมาที่ศาลาหน้าเรือนเรา แล้วก็ออกไปที่ใดไม่ได้…” จินผิงเล่าความเป็นมาของเฟินเฟิน ทั้งเรื่องที่โดนเจ้าเสี่ยวหู่ไล่กัดแล้วท่านตาไปพบเข้า เรื่องที่ขออนุญาตท่านตาอยู่ที่เรือนหลังนี้ และเรื่องที่เฟินเฟินมักมาพูดคุย สั่งสอน และอยู่เฝ้ายามที่นางนอนไม่หลับ

แต่แน่นอนว่าเรื่องที่ไป่เฟินเฟิน ทะลุเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่อง วาสนาครองคู่ ยังไม่มีผู้ใดรู้ กระทั่งเจียงจินผิง

“จะ เจ้าเอ่ยว่าท่านตา ท่านยายเป็นผู้อนุญาตอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินของเรือนถามขึ้น นางเองก็เคยได้ยินเรื่องโลกหลังความตาย ที่ถูกเล่าขานต่อกันมา แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง นึกว่าเป็นเพียงความเชื่อมาตลอด

“ใช่เจ้าค่ะ อะไรนะเจ้าคะ อ่อ…ท่านตามีไฝใต้ปาก ท่านยายเองก็มีอยู่ที่ใบหู พวกเขากลัวท่านแม่จะไม่เชื่อ ว่าข้าเห็นดวงวิญญาณจริงๆ” เฟินเฟินยกนิ้วให้กับคำพูดของน้องสาวนอกไส้

“…ชะ ใช่จริงๆ เจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาหันหน้ามองกันด้วยความตกตะลึง เพราะทั้งบุตรชายและบุตรสาวของพวกเขา ไม่มีผู้ใดเคยพบตายายมาก่อน เช่นนี้เรื่องที่บุตรสาวเอ่ยคงจะเป็นจริง

เมื่อเอ่ยเล่าทุกอย่างจนหมด ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ นายท่านและฮูหยินของเรือน ต่างนั่งนิ่ง พิจารณาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วน ไม่นานท่านหมอเจียงก็ถอดถอนหายใจออกมา

“เฮ้อ! เจ้ายืนยันใช่หรือไม่ ว่าดวงวิญญาณตนนั้น มิได้คิดจะมาทำลายครอบครัวของเรา”

“ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ เพียงแค่อยากติดตามดูแลผิงเอ๋อร์เท่านั้น” เฟินเฟินตะโกนออกมา ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน

“พี่เฟินเอ๋อร์เอ่ยว่า นางเพียงต้องการติดตามดูแลข้าเจ้าค่ะ”

“หากเจ้าว่าเช่นนั้น พ่อก็มิมีสิ่งใดจะขัด ต่อไปก็ขอให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขเถิด” เจียงฝูฉือกวาดสายตามองไปทั่ว ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นวิญญาณดี ไม่ได้คิดร้ายตระกูลเจียง เขาก็ไม่ติดใจอันใด

“แล้วท่านแม่ว่าอย่างไรขอรับ” ไฉ่ชุนทวงถาม

“แม่เองก็ไม่ติดอันใด…เฟินเอ๋อร์ จากนี้ก็ฝากจินผิงให้เจ้าช่วยดูแลอีกแรง…และช่วยบอกท่านพ่อกับท่านแม่ที ว่าข้าคิดถึงพวกท่านเหลือเกิน”

“ท่านตากับท่านยายได้ยินแล้วเจ้าค่ะ พวกท่านเองก็เฝ้ามองเราอยู่ตลอด” เจียงจินผิงหันไปมองผีทั้งสาม พลางส่งยิ้มไปให้

“…”

“อ่อ ท่านตาบอกว่าอยากดื่มสุราที่ท่านพ่อหมักด้วยนะเจ้าคะ”

“ฮ่าๆ เช่นนั้นพ่อจะหมักไว้ตั้งแต่พรุ่งนี้ จะได้ทันเทศกาลจงหยวน” พอได้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน บรรยากาศภายในเรือนก็เริ่มดีขึ้น ไม่ได้คุกรุ่นเช่นเคย

แม้คนในเรือนจะรับรู้ว่ามีวิญญาณอาศัยอยู่ด้วย แต่ชีวิตประจำวันของพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพียงแต่ท่านหมอเจียงขอให้จินผิงไม่พูดคุยกับดวงวิญญาณ ยามที่มีผู้อื่นอยู่ด้วย เพราะมิอยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมา

อย่างที่เขาว่า มากคน ก็ยิ่งมากความ

วันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้เจียงจินผิงอายุได้สิบสองหนาวแล้ว นางเติบใหญ่มาอย่างงดงาม ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและจิตใจ แม้ว่าเด็กสาวจะถูกมารดาสั่งสอนให้เป็นสตรีเรียบร้อย อ่อนหวาน แต่นางก็แสดงกิริยาเหล่านั้นกับผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือเท่านั้น

“พอเท่านี้ก่อนเถิด ข้ามีบางสิ่งจะเล่าให้เจ้าฟัง”

“มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะพี่เฟินเอ๋อร์” จินผิงวางดาบไม้ที่ใช้ฝึกซ้อมลง ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งเล่นบนต้นไม้หลังเรือน

หลังจากที่ไป่เฟินเฟินเฝ้าอบรมสั่งสอน และเป่าหูเด็กสาวทุกวัน จนมาวันนี้นางรู้สึกได้ว่า ผิงเอ๋อร์มีจิตใจที่เข้มแข็งและรักตนเองมากพอ เฟินเฟินจึงคิดว่าถึงเวลา ที่นางจะเล่าความจริงเรื่องนิยาย วาสนาครองคู่ ให้น้องสาวฟัง

“เจ้าเคยถามใช่หรือไม่ ว่าข้ามาจากที่ใด”

“เจ้าค่ะ ตอนนั้นท่านตอบข้าว่าไม่รู้” มือเล็กเด็ดเอาผลผิงกั่ว (แอปเปิ้ล) ขึ้นมาทานไปพลาง

“อันที่จริงข้ารู้ทุกอย่าง เจ้ารู้จักนิยายประโลมโลกหรือไม่เล่า…” เรื่องราวที่ไป่เฟินเฟินถูกยิง แล้วหลุดเข้ามาในนิยายเรื่องวาสนาครองคู่ ถูกเล่าออกมาจนหมดเปลือก แน่นอนว่านางพูดถึงเนื้อหาของนิยายเรื่องนั้นด้วยเช่นกัน

“เจ้าถูกฮูหยินเอกของสามี สั่งโบยจนแทบจะพิการ”

“หา!!! ข้าน่ะหรือเจ้าคะ ยอมให้ผู้อื่นทุบตี” จินผิงโวยวาย ทั้งยังขว้างผลผิงกั่วที่กินแล้วจนสุดแรง ยิ่งฟังเรื่องราวมากเท่าใด ใบหน้าของเด็กสาวก็ยิ่งมืดครึ้มลง แม้จะยังไม่เห็นหน้าหานเหลียงอี้ผู้นั้น แต่จินผิงก็รู้สึกเกลียดชังจนอยากจะเอาเท้าเหยียบมูลกระบือ ไปขยี้หน้าอีกฝ่าย

“พอ- พอก่อนเจ้าค่ะ ข้ารับไม่ได้ ตัวข้าโง่งมถึงเพียงนั้นเลยหรือ”

“หึ! ตอนข้าอ่าน ก็อยากตีเจ้าสักสองสามที แต่ที่น่าถีบมากกว่าคือหานเหลียงอี้”

“จริงเจ้าค่ะ เป็นบุรุษที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย คิดจะมีภรรยามากแต่กลับทิ้งขว้าง ดูแลไม่ทั่วถึง” เฟินเฟินเห็นสีหน้าโกรธเคืองของจินผิง ก็อดเอ่ยเย้าออกไปไม่ได้

“ให้มันจริงเถิด มิใช่ว่าเห็นเขาหล่อเหลา แล้วหลงจนโงหัวไม่ขึ้น”

“โถ่! พี่เฟินเอ๋อร์เจ้าคะ รูปงามแต่ต่ำช้า ข้าไม่เอาด้วย”

“หากเจ้าคิดเช่นนั้น เราก็ต้องหาทางแก้กันตั้งแต่ตอนนี้” เฟินเฟินถอนหายใจด้วยความกังวล วาสนาของพระนางเรื่องนี้ถือกำเนิดขึ้นเพราะบุญคุณ นางไม่รู้ว่าจะขัดขวางได้หรือไม่

“ตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือเจ้าคะ”

“อืม เพราะเจ้ารับของหมั้นจากสกุลหาน ตอนอายุสิบสองหนาว…ซึ่งก็คือปีนี้”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel