
บทย่อ
ไป่เฟินเฟินหลุดเข้ามาในนิยายน้ำเน่า ที่พระเอกออกแนวหลัวชั่ว จากที่คิดว่าตนเองจะได้เป็นคุณหนูสกุลใหญ่สักคนในเรื่อง เพื่อจะช่วยพลิกชะตาชีวิตนางเอก ทว่านางกลับเป็นเพียงวิญญาณไร้ร่าง แล้วนางจะทำสิ่งใดได้ เรื่องย่อ : ไป่เฟินเฟินถูกยิงตาย เพราะดันไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องที่ไม่ควร แต่แล้วสวรรค์ยังเข้าข้าง ให้นางได้มาใช้ชีวิตในยุคจีนโบราณ จากที่คิดว่าจะได้เป็นองค์หญิงแสนสวย นางกลับเป็นเพียงดวงวิญญาณไร้กายหยาบ ทั้งยังเข้ามาอยู่ในนิยายที่พระเอกเป็นหลัวชั่วโดยแท้ มีเมียมาก ละเลยนางเอก จนคนอ่านตั้งหน้าตั้งตารอสมน้ำหน้า ไม่เว้นแม้แต่ไป่เฟินเฟิน ทว่านางกลับไม่ทันได้อ่านเสียอย่างนั้น ครั้งนี้ล่ะ!!! ไป่เฟินเฟินผู้นี้ จะพานางเอกหนีให้ห่างจากพระเอกนิสัยเสียคนนั้น หาสามีให้เสียรู้แล้วรู้รอดไป ว่าแต่...มีสิ่งใดที่วิญญาณไร้ร่างพอจะทำได้บ้างนะ (ไป่เฟินเฟิน x หานเฉิงหมิง) "ฉะ เฉิงหมิง ข้าร้อนไปทั้งตัว กำยานคือสิ่งใดหรือ" "กำยานปลุกกำหนัด ผู้ใดได้กลิ่นจะมีความต้องการ อยากเสพสังวาส" "ฮะ!!!? ละ แล้วแก้อย่างไร" "มันมียาแก้ แต่เราเป็นวิญญาณ" นั่นหมายความว่า ต้องให้จินผิงเซ่นไหว้มาให้ หญิงสาวรู้ดังนั้นก็แทบจะร้องไห้ "อือ ข้าร้อน เจ้าทำอะไรสักอย่างเถิด" "จะให้ข้าทำสิ่งใดเล่า! อดทนเอาไว้ จนกว่าฤทธิ์ยาจะเสื่อม" ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อใด "ไม่ไหว ข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว" (เจียงจินผิง x หานเหลียงอี้) "คิกๆ" "หัวเราะอันใดของเจ้า ยังไม่รับปากอีก" "ที่แท้ท่านไม่ได้โกรธ แต่ตั้งใจใช้เรื่องนี้หลอกกินเต้าหู้ข้าใช่หรือไม่ ดูที ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากสะโพกของข้าอีก" ได้ยินเช่นนั้น บุรุษในชุดเจ้าบ่าวก็ลุกพรวดขึ้น เดินถอยห่างจากเตียงใหญ่ทันที ใบหน้าคมเข้มของอดีตนักรบร้อนเห่อ อับอายที่มือไม่รักดีของตนเลื่อนไปสัมผัสก้นนุ่ม "เจ้าคิดเข้าข้างตนเองเกินไปแล้ว เจ้ามิมีส่วนใดน่าจับเลยแม้แต่น้อย" "แน่ใจหรือว่าไม่ได้ตั้งใจหลอกกินเต้าหู้ข้า หรือที่จริงท่านคิดจะบังคับให้ข้าเข้าหอด้วย" "หึ! แม้แต่เฉียดกายเข้าไป ข้ายังคิดหนัก ไหนเลยจะอยากให้เจ้าเข้าหอด้วย"
1. ไม่ยินยอม
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังขึ้น พร้อมกับร่างเล็กของหญิงสาวที่ล้มลงไปกองกับพื้น ความเจ็บปวดเริ่มกัดกินไปทั่วร่าง ไม่ต่างจากเลือดสีแดงฉานที่เจิ่งนองเต็มพื้นถนน
ไป่เฟินเฟิน ได้ยินคำเตือนมาทั้งชีวิต ว่าการสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านจะทำให้เธอไม่ตายดี แต่หญิงสาวกลับไม่เคยเชื่อ ถึงขนาดมุ่งมั่นร่ำเรียน จนได้เป็นนักข่าวสายการเมือง
กระทั่งมาวันนี้ เธอเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ว่าความขี้เสือกมันฆ่าคนได้จริงๆ
“อึก ถ้ารู้ว่าจะตาย เมื่อคืนน่าจะอ่านให้จบ” เสียงแหบพร่าพึมพำออกมา ก่อนถอนหายใจด้วยความเสียดาย
ชีวิตของเธอไม่มีเรื่องใดให้ห่วงหรือเป็นกังวล พ่อแม่ตายจากไปแล้ว ญาติมิตรก็ไม่มี กิจการของครอบครัว เธอก็ยกให้ลูกศิษย์ของพ่อสานต่อ จะมีก็แต่นิยายเรื่องหนึ่ง ที่เฟินเฟินยังไม่ได้อ่านตอนจบ
คงจะไม่ได้อ่านแล้วสินะ…วาสนาครองคู่
ความรู้สึกหนาวเหน็บกัดกินไปทั่วทั้งร่าง ทำเอาคนที่นอนหลับใหลอยู่ ไม่อาจข่มตานอนต่อได้ เปลือกตาสีสวยค่อยๆ เปิดขึ้น
สิ่งแรกที่ไป่เฟินเฟินเห็น คือคานไม้วางซ้อนกันเป็นโครงสร้างของศาลาไม่ผิดแน่ แม้จะดูเก่า แต่กลับสะอาดสะอ้านเหมือนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
“เฮ้อ! ฝันว่าทะลุมาในยุคจีนโบราณอีกแล้วหรือ” ริมฝีปากกระตุกยิ้มขำกับความช่างฝันของตนเอง แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ตนเองถูกยิง เฟินเฟินก็ลุกพรวดขึ้นมาลูบคลำสำรวจเนื้อตัว แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย
นัยน์ตาสีน้ำตาลพลันเหลือบมองโดยรอบอย่างตื่นตระหนก แต่จากที่กลัวว่าจะมีคนลอบทำร้าย บัดนี้กลับต้องตกตะลึงในสิ่งที่เห็นแทน
“นะ นี่ อย่าบอกนะว่ายังไม่ตื่น” ศีรษะได้รูปหันมองไปทั่วบริเวณ ที่นางนั่งอยู่เป็นศาลาไม้เก่าๆ เบื้องหน้าของนางมีเรือนไม้ตั้งอยู่ พื้นดินโดยรอบปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน
“อะไรกันเนี่ย เอาจริงดิ หึ!” หญิงสาวแค่นหัวเราะ ยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
แต่จากที่คิดว่าสตรีผู้นี้จะร้องห่มร้องไห้เสียใจ หรือไม่ก็หวาดกลัว ทุกสิ่งกลับพลิกผันโดยสิ้นเชิง
“ฮะ ฮ่าๆ ยุคโบราณ! จีนโบราณของแท้” ไป่เฟินเฟินวิ่งลงไปโกยหิมะขึ้นมาโยนเล่น ด้วยความบันเทิงใจ
นางอ่านนิยายจีนโบราณมานับไม่ถ้วน เรื่องใดที่นางเอกโง่งม ก็คิดอยากจะมุดเข้าไปในนิยาย แล้วตบกระบาลสักสองฉาด
อย่างเรื่อง วาสนาครองคู่ ที่เฟินเฟินยังอ่านไม่จบ นางก็อยากจะเข้าไปถีบพ่อลูกเขยสักทีสองที แล้วหอบลูกสาวกลับบ้าน
เฮ้อ คิดแล้วก็หงุดหงิดที่ไม่ได้อ่านตอนจบ แต่ก็ช่างเถิด ตอนนี้นางต้องสนใจชีวิตของตัวเองก่อน คึๆ
“ซี๊ด! หนาวๆ” ว่าแล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปบนศาลาหลังเดิม พลางมองสำรวจไปทั่วด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ฮื้อ ดีอ่ะ แล้วเรามาเกิดเป็นอะไรเนี่ย องค์หญิง คุณหนูสกุลใหญ่ หรือเป็นฮูหยินผู้ช้ำรัก” ทว่าดูจากสภาพของเรือนที่อยู่ตรงหน้า คงตัดเรื่องที่เป็นองค์หญิงกับคุณหนูสกุลใหญ่ไปได้เลย
แต่จะเป็นอะไรก็ช่าง ไป่เฟินเฟินผู้นี้รับได้ทั้งหมด ใบหน้าน่ารักของสาวลูกครึ่งไทย-จีน แจ่มใสที่สุดในรอบปี ปากบางฉีกยิ้มจนเห็นฟันครบทุกซี่
“อะแฮ่มๆ ท่านพี่รับชาหรือไม่เจ้าคะ ฮึก น้องเจ็บปวดเหลือเกิน คึ!” คำพูดที่เข้ากับยุคสมัยถูกเอื้อนเอ่ยออกมา ประโยคแล้วประโยคเล่า ประกอบกับท่าทางเกินจริงที่หญิงสาวแสดง หากผู้ใดพบเห็นเข้าก็เป็นอันต้องรีบหนีห่าง แต่เจ้าตัวกลับรู้สึกปีติยินดียิ่งนัก
กระทั่งมีเสียงเด็กร้องงอแงดังขึ้นภายในเรือน ไป่เฟินเฟินจึงได้ก้าวออกจากทุ่งหญ้าเขียวขจีของตน เพื่อจะไปสอบถามเกี่ยวกับตัวตนของนางในตอนนี้
เท้าขาวที่ไม่มีสิ่งใดหุ้ม เหยียบลงไปบนหิมะสีขาวโพลน มันเย็นจนไป่เฟินเฟินรู้สึกได้ นางจึงรีบสาวเท้าให้ไวขึ้น ตรงดิ่งไปยังเรือนขนาดกลาง
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น…
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! สุนัขสีน้ำตาลตัวใหญ่ที่นอนเฝ้าอยู่หน้าประตูเรือน จ้องมองมาที่นางเขม็ง ทั้งยังเห่าเสียงดัง จนเฟินเฟินต้องหยุดชะงัก
“อะฮึ่ม! เจ้าหมา ข้าขอเข้าไปด้านในทีเถิด หลบให้ข้าก่อน” ประโยคคำพูดต่างๆ ถูกดัดแปลงมาใช้อย่างคล่องแคล่ว
โฮ่ง! คื่อ!
“อึก อันใดกันเจ้าหมา เจ้ามิคุ้นหน้าข้าหรือ” เฟินเฟินคิดว่า การที่นาง
ตื่นมาที่นี่ ก็แสดงว่านางตาย แล้วมาเข้าร่างใครบางคนที่อยู่ที่นี่มิใช่หรือ
แล้วทำไมเจ้าหมานี่ถึงไม่รู้จักนาง
โฮ่ง!
นอกจากจะไม่เชื่อฟังแล้ว เจ้าสุนัขตัวโตยังกระโจนเข้าใส่นาง จนต้องรีบวิ่งหนีสุดชีวิต เรือนหลังนี้มีพื้นที่โดยรอบไม่มากนัก จึงเป็นเรื่องยากลำบากที่เฟินเฟินจะหาที่ซ่อนตัวได้
“ย๊ากกกก เจ้าหมา หยุดนะ!” แน่นอนว่าสุนัขตัวนั้นไม่ละความพยายามง่ายๆ ทั้งไล่เห่า ทั้งไล่กัด จนเฟินเฟินที่วิ่งโร่ไปมาเริ่มจะหมดเรี่ยวแรง
“แฮก ข้าเหนื่อยแล้วนะเจ้าหมา ข้า- แฮก” เหมือนสวรรค์มาโปรด เพราะก่อนที่ไป่เฟินเฟินจะถอดใจ ยอมให้เจ้าสุนัขตัวโตกัดตูดเสียสองสามที นางก็หันไปเจอเห็นต้นไม้ที่ตั้งอยู่หลังเรือน
ขาเรียวที่ไม่ยาวนัก วิ่งจ้ำอ้าวไปยังต้นไม้ ก่อนจะปีนป่ายขึ้นไปอยู่ด้านบนอย่างทุลักทุเล แน่นอนว่าท่าทางเหล่านั้นช่างขัดกับหน้าตาน่าเอ็นดูยิ่งนัก
“ไปๆ ชิ่ว!”
แม้เฟินเฟินจะขึ้นมาอยู่บนต้นไม้แล้ว แต่เจ้าหมาก็ยังคงไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ ทั้งเห่าทั้งกระโดดกัด จนหญิงสาวต้องตัดสินใจร้องเรียกคนในเรือนให้ออกมาช่วย
“ช่วยด้วย ฉัน- ข้าโดนหมาไล่กัด ช่วยข้าที!” เสียงร้องตะโกนดังไปทั่วบริเวณ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดออกมา เจ้าหมายังเดินวนเวียนอยู่ด้านล่าง ทั้งยังเห่าและขู่ตลอดเวลา หากว่านางลงไปเมื่อใด คงไม่แคล้วถูกเจ้าขนฟูกัดเป็นแน่
“เสี่ยวหู่เจ้าเห่าสิ่งใดกัน เสียงดังจนหลานข้างอแง” ชายชราเครายาวเดินออกมาดูสถานการณ์ภายนอก ไป่เฟินเฟินเห็นดังนั้นก็กู่ร้องด้วยความดีใจ
“ท่านตาๆ ช่วยข้าทีเถิด เจ้าหมานี่มันจะกัดข้า”
“ไอ้หยา! เจ้าเป็นผู้ใดกัน เข้ามาอยู่ในเรือนข้าได้อย่างไร” ชายแก่หน้าตาตื่นทันทีที่เห็นคนแปลกหน้า
“…” แต่เฟินเฟินกลับงงเป็นไก่ตาแตก มิใช่ว่านางเป็นคนของเรือนนี้หรือ
“เอาเถิดๆ เจ้าลงมาเสียก่อน แล้วค่อยพูดคุยกัน” ชายชราเห็นสีหน้ามึนงงของหญิงสาวที่แต่งกายแปลกประหลาด ก็ไม่ได้เร่งรัดเอาความ
“ท่านมาไล่สุนัขให้ข้าก่อนเถิด มันจะกัดข้า”
“ฮ่าๆ ลงมาๆ มันกัดเจ้ามิได้ดอก”
“ไม่เจ้าค่ะ เมื่อครู่มันจะกัดข้าจริงๆ”
“ข้ารู้ว่ามันกัดจริง แต่เสี่ยวหู่กัดเจ้ามิได้” ชายชรายังคงยืนยัน จนคนที่กอดต้นไม้อยู่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เจ้าของคงคิดว่าสุนัขของตนไม่ดุร้ายกระมัง
“กัดได้สิเจ้าค่ะ”
“กัดมิได้ สุนัขจะกัดวิญญาณเช่นเจ้าได้อย่างไรกันเล่า”
“วะ วิญญาณ!!?”
“อาโย่ว นี่เจ้าคงจะยังไม่รู้ว่าตนเองตายแล้วสิหนา น่าเวทนาเสียจริง” เห็นสายตาเศร้าหมองที่ชายผมขาวมองมา ไป่เฟินเฟินก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมิได้พูดปด
ปากเล็กเริ่มเบะออกอย่างขัดใจ แม้ก่อนหน้านางจะเอ่ยว่าจะเกิดใหม่เป็นผู้ใดก็ช่าง แต่เป็นวิญญาณเร่ร่อน ไร้กายหยาบเช่นนี้ไม่ได้! นางไม่ยินยอม อย่างไรก็ไม่ยินยอม! ฮื่ออออ
