2. วาสนาครองคู่
ดวงวิญญาณที่พึ่งจะรับรู้ว่าตนเองไร้กายหยาบ เดินเข้ามาในเรือนตามคำเชิญของชายชราผมขาว แม้มิอยากจะเชื่อในสิ่งที่ท่านตาผู้นี้พูด แต่นางกลับต้องจำใจยอมรับ เพราะขนาดกำแพงไม้ นางยังเดินทะลุผ่านเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
“เฮ้อ” ไป่เฟินเฟินเดินไหล่ตก จากที่คิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณอย่างเฉิดฉาย ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูตกอับ ขอทานน้อย หรือแม้แต่สตรีไร้ค่า นางก็คิดว่าตนเองสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปได้
แต่นี่ ให้นางเป็นผี เป็นเพียงวิญญาณไร้ร่าง นางจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า
“นั่นผู้ใดกัน นี่เจ้าพาอนุภรรยาเข้าเรือนหรือ ตาแก่!” เพียงแค่เฟินเฟินก้าวเข้ามาในห้องเก็บป้ายวิญญาณ ก็ได้ยินเสียงโวยวายของสตรีแก่ผู้หนึ่ง
“ฮูหยิน ข้าหาใช่ชายมักมาก ข้าพบแม่นางน้อยผู้นี้ที่ต้นไม้หลังเรือน นางยังไม่รู้ว่าตนเองได้ตายตกกลายเป็นวิญญาณ ข้าเลยพาเข้ามา” ท่านตาผู้นั้นตอบอย่างเอาใจ ทำให้เฟินเฟินเข้าใจว่าทั้งสองคงเป็นสามีภรรยากัน
“เรื่องเป็นเช่นนี้หรือ นั่งลงก่อนเถิด จะได้พูดคุยกัน”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” หญิงสาวนั่งลงตรงข้ามทั้งคู่ พอก้มสำรวจตนเองอย่างถี่ถ้วน จึงเห็นว่านางยังสวมใส่เสื้อยืดและกางเกงยีนแบรนด์ดัง คงเพราะก่อนหน้านางตื่นเต้นดีใจเกินไป เลยไม่รู้ว่าตนเองยังอยู่ในชุดเดิม
แต่ยิ่งเห็นตัวเองในสภาพนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำว่านางไม่ได้เกิดใหม่เป็นคนของยุคสมัยนี้ มีเพียงดวงวิญญาณที่หลุดลอยเข้ามาในยุคจีนโบราณแห่งนี้เท่านั้น
“ข้ามีนามว่าซูเฉียว ส่วนสามีของข้า นามว่าเล่อฟ่ง เราทั้งสองเป็นบิดาและมารดาของฮูหยินเรือนนี้”
“ข้านามว่าไป่เฟินเฟินเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้ามาจากที่ใดเล่า เหตุใดแต่งกายประหลาดพิกล” คำถามของท่านยายทำเอาเฟินเฟินนิ่งค้างไปชั่วขณะ นางไม่รู้ว่าจะบอกท่านตากับท่านยายอย่างไร
“เอ่อ ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ข้ารู้สึกตัวขึ้นมา ก็อยู่ที่ศาลาหน้าเรือนแล้ว”
“น่าเวทนาเสียจริง” สองผู้อาวุโสต่างมองมาที่เฟินเฟิน ด้วยแววตาสงสาร
“เรื่องที่ท่านว่าข้าเป็นวิญญาณ เป็นจริงหรือเจ้าคะ ท่านตา ท่านยาย”
“เป็นเรื่องจริง เจ้าทำใจเสียเถิด คนเราเกิดมาก็ต้องตายกันทั้งนั้น” เล่อฟ่งจำใจต้องพูดออกไปตามตรง พลันส่งยิ้มบางไปให้
การที่แม่นางน้อยผู้นี้ ไม่รู้ว่าตนเองตาย นั่นย่อมหมายความว่า นางไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีแม้กระทั่งป้ายวิญญาณ
“ตะ แต่ทำไมข้ายังรู้สึกหนาวเจ้าคะ แล้วข้าก็ยังเจ็บด้วย” นิ้วเล็กลองบิดเนื้อที่แขนของตน ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเช่นเคย
“เจ้ามิเคยได้ยินเกี่ยวกับโลกหลังความตายหรือ”
“โลกหลังความตาย!!?” ในโลกเดิมของนาง ก็มีผู้คนศึกษาเรื่องนี้มากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน
หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเป็นปมของสตรีตรงหน้า ทำให้ดวงวิญญาณอาวุโสตัดสินใจอธิบายเรื่องต่างๆ ให้นางฟัง
“หลังจากที่หมดสิ้นอายุขัยในโลกของคนเป็นแล้ว ดวงวิญญาณไร้กายหยาบจะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกหลังความตายนี้ต่อไป…”
ไป่เฟินเฟินนั่งฟังเรื่องเล่าจากท่านตาและท่านยายอย่างใจจดใจจ่อ จนได้ความว่า ดวงวิญญาณทุกดวงจะต้องดำเนินชีวิตอยู่ในโลกหลังความตาย อาศัยอยู่ร่วมกับคน บ้างก็ยังคงอยู่อาศัยกับลูกหลาน แต่ก็มีวิญญาณบางตนติดอยู่ในบริเวณที่ตาย เพียงแต่คนเป็น จะไม่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้
ดวงวิญญาณยังคงมีความคิด ความรู้สึก เฉกเช่นตอนเป็นคน เศร้าได้ ดีใจได้ แน่นอนว่ารับรู้ถึงสภาพอากาศโดยรอบเช่นกัน แต่กระนั้นสิ่งที่ทำให้ดวงวิญญาณแตกต่างจากคนเป็น คือการใช้ชีวิต
“ดวงวิญญาณเช่นพวกเรา มิต้องไปทำมาหากินเอง” ความเป็นอยู่ของดวงจิต จะขึ้นอยู่กับความดีที่สร้าง ความเลวที่ก่อ
หากตอนเป็นคน ทำแต่เรื่องน่าสรรเสริญ ดวงวิญญาณก็จะแข็งแกร่ง ไม่เจ็บปวด ทุกข์ทรมานกับความหิวโหย หรือความหนาวเย็น
แต่กระนั้นก็ขึ้นอยู่กับญาติมิตรของดวงวิญญาณเช่นกัน ว่าจะทำพิธีอุทิศส่วนกุศลมาให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นหรือไม่ หากว่าทำตามประเพณีความเชื่อเก่าก่อน ดวงจิตก็จะอยู่ดีกินดี
“อย่างพวกข้าก็มีบุตรหลานนำของไหว้มาเซ่นไหว้ทุกปี ดวงจิตก็พอจะแข็งแกร่งอยู่บ้าง”
“เช่นนั้นท่านตากับท่านยายก็ทำให้พวกเขาเห็นได้หรือ”
“ทำได้ แต่ก็ต้องสูญเสียพลังวิญญาณไปมากโข ทั้งยังปรากฏกายได้เพียงพริบตาเท่านั้น ไม่ทันให้ผู้ใดได้เห็นด้วยซ้ำ พวกข้าจึงไม่คิดจะทำ” ท่านยายเล่าต่อว่า มีน้อยคนนักที่สามารถมองเห็นวิญญาณได้
“เป็นที่รู้กันว่าคนมิอาจจับต้องวิญญาณได้ แต่วิญญาณด้วยกันสามารถสัมผัสกันได้”
“ใช้แล้ว ข้าและภรรยาก็กอดกันได้”
“โอ๊ย! ตาแก่ ไม่อายเด็กมันบ้างหรือไร”
“คิๆ ข้าไม่ถือเจ้าค่ะ” เฟินเฟินหัวเราะขำกับท่าทีเขินอายของท่านยาย
“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร จะมาอยู่ที่นี่ด้วยกันหรือไม่”
“แล้วแต่ท่านตา ท่านยายจะกรุณาเจ้าค่ะ” สองสามีภรรยามองหน้ากัน
“เช่นนั้นเจ้าก็มาอยู่ด้วยกันที่นี่ก่อนเถิด ดูท่าแล้วจะยังไม่รู้ความ ไปที่อื่นจะลำบาก จากนี้ก็ถือเสียว่า ข้าเป็นยายของเจ้าก็แล้วกัน”
“อืม ข้าเองก็จะเป็นตาของเจ้าด้วย”
“ขะ ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านตา ท่านยาย” ไป่เฟินเฟินก้มคำนับ นางซึ้งใจไม่น้อยที่ทั้งสองยอมให้นางอยู่ด้วย
“ดีๆ เช่นนั้นมาทางนี้เถิด ตาจะแนะนำครอบครัวของเราให้รู้จัก แต่พวกเขามิใช่ดวงวิญญาณดอกหนา” ว่าแล้วชายหญิงผมขาว ก็เดินนำเฟินเฟินเข้ามาในห้องโถงของเรือน
ร่างกายสูงใหญ่ รวบผมเรียบตึง นั่งสอนบุตรชายอายุห้าหนาวท่องตำราอย่างแข็งขัน ข้างกันก็มีสตรีใบหน้าอ่อนหวานโอบอุ้มเด็กหญิงไว้ในอก แก้มขาวๆ ของทารกน้อยดึงดูดสายตาของเฟินเฟินไปจนหมด
น่ารักจัง
“นี่เป็นบุตรเขยของยาย นามว่าเจียงฝูฉือ” ไป่เฟินเฟินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อ
“ส่วนนี่ เล่อหลัน บุตรสาวตาเอง” หืม!!? คะ คงบังเอิญ สวรรค์คงไม่ส่งนางมาเป็นผีในนิยายที่ยังอ่านไม่จบกระมัง
“เจียงไฉ่ชุน หลานชายคนเดียวของตระกูล” เริ่มชัด…
“และสุดท้าย เจียงจินผิง นางพึ่งอายุได้เพียงห้าเดือน” ชัดเจน!!! มากันทั้งครอบครัว
“นะ นายท่านเจียงผู้นี้ เป็นหมอใช่หรือไม่เจ้าคะ ละ แล้วที่นี่ใช่เมืองเฉวียนหรือไม่” เฟินเฟินกลืนน้ำลายลงคอ รอลุ้นคำตอบจากดวงจิตทั้งสอง
“ใช่แล้วล่ะ บุตรเขยเป็นหมอที่เก่งกาจและมีจิตใจดีมากทีเดียว”
บัดซบ!
ไป่เฟินเฟินแทบอยากจะกรีดร้องออกมาให้รู้แล้วรู้รอด นางหลุดเข้ามาในนิยายเรื่องวาสนาครองคู่จริงๆ ทั้งตัวละคร ทั้งสถานที่ ตรงกับเรื่องราวที่นางเคยอ่านมาทั้งหมด
อย่างที่นางเคยว่าไว้ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางอยากมุดเข้าไปถีบพระเอก แล้วพานางเอกหนี
หากจะให้พูดถึงเนื้อเรื่องโดยรวมก็คงไม่พ้น เรื่องของชายหญิง ที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมีวาสนาต่อกัน
เจียงจินผิง หญิงสาวที่เกิดในครอบครัวหมอยากจน ทว่ากลับได้รับความรักและการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดี ต่างจากหานเหลียงอี้ ที่เติบโตมาในสกุลขุนนางใหญ่ ที่ทั้งถือตัว และอารมณ์รุนแรง
วาสนาของทั้งคู่เริ่มต้นขึ้น เมื่อท่านหมอเจียงฝูฉือได้เข้าไปช่วยชีวิตเสนาบดีหานที่ถูกพิษ ระหว่างมาตรวจราชการ ท่านเสนาจึงได้ให้สัญญาว่า หากจินผิงพ้นวัยปักปิ่น จะมารับไปเป็นสะใภ้ของสกุลหาน ด้วยความที่อยากให้บุตรสาวอยู่สุขสบาย เป็นสะใภ้สกุลใหญ่ ท่านหมอเจียงจึงได้ตอบตกลง
พอจินผิงถึงวัยปักปิ่น ก็มีเกี้ยวมารับถึงเรือน สินสอดทองหมั้นทางสกุลหานก็จัดมามิให้เสียหน้า แต่จากที่หวังว่าจินผิงจะได้อยู่อย่างสุขสบาย กลับกลายเป็นว่า นางมีตำแหน่งเป็นเพียงอนุภรรยา ที่แม่สามีไม่ยอมรับ สามีก็มิได้รักใคร่ เห็นนางเป็นเพียงที่ระบายความใคร่เท่านั้น
แต่กระนั้นจินผิงก็ยังคงปรนนิบัติครอบครัวสามี เป็นอย่างดี ตามที่ผู้เป็นมารดาเคยสอนสั่ง แน่นอนว่านางรักและเคารพสามีด้วยใจจริง จึงมิได้คิดว่าตนเองลำบากอันใด หากจะต้องหาบน้ำ ทำกับข้าว หรือแม้แต่ซักล้างอาภรณ์ให้สามีด้วยตนเอง
แต่แล้วเมื่อสามีแต่งฮูหยินเอกเข้ามา สถานการณ์ก็ยิ่งย่ำแย่ลง นานครั้งสามีจึงจะแวะเวียนมาหา ทั้งยังสั่งให้นางย้ายออกไปอยู่เรือนเล็กด้านหลัง
จินผิงถูกฮูหยินเอกกลั่นแกล้งและใส่ร้ายนับครั้งไม่ถ้วน แม้สามีจะไม่เข้าข้างจนต้องถูกลงโทษอยู่เสมอ จินผิงก็ไม่คิดจะปริปากบอกเรื่องนี้กับพ่อสามี ที่เอ็นดูนางเหมือนลูก ยอมปิดปากเงียบ กระทั่งมารู้ว่าตนเองตั้งครรภ์
หญิงสาวจึงเริ่มเป็นห่วงบุตรในครรภ์ คิดว่าหากอยู่ในเรือนนี้ต่อไป คงมิอาจรักษาชีวิตลูกน้อยเอาไว้ได้ ลำพังตัวนางจะโดนโบยสักกี่ไม้ก็ไม่หวั่น แต่เด็กน้อยที่อยู่ในครรภ์คงมิอาจทนได้
นางจึงตัดสินใจไปขอร้องอ้อนวอนกับพ่อสามี ให้ช่วยพานางกลับไปเยี่ยมครอบครัว แต่เรื่องราวทั้งหมดกลับรู้ไปถึงหูฮูหยินเอก นางจึงจ้างโจรชั่วให้ไปสังหารจินผิงระหว่างทาง
และเรื่องราวหลังจากนั้น เฟินเฟินก็มิอาจล่วงรู้ได้
ดวงตาสีน้ำตาลของไป่เฟินเฟินจ้องไปยังเด็กน้อยตัวขาวที่ร้องอ้อแอ้ ด้วยสายตาเจ็บปวด เหตุใดสวรรค์จึงให้นางเป็นเพียงวิญญาณเล่า หากว่านางเป็นคน คงจะช่วยให้จินผิงไม่ต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายพวกนั้นได้
