5
“โอ๊ย วิ่งแล้วยังต้องมาร้องโอว...อะไรนี่อีก เหนื่อยชิบหาย ขอน้ำเปล่าสักสามขวดมาเผื่อหน่อยละกัน” ดวงชีวาว่าพร้อมตักข้าวราดแกงแห่งครัวหลวงมณฑลเข้าปากอย่างหิวโหย หลังจากที่วิ่งครบ 50 รอบแล้ว
ยังต้องมาร้องเสียงครวญครางกับเพื่อนๆ ต่อ เพราะหน้าตาเข้าข่ายผู้ต้องสงสัย
“เออๆ เดี๋ยวเอามาเผื่อ” บุญใหม่ว่าอย่างเห็นใจ พร้อมเดินไปซื้อน้ำ พอดีกับที่ปิ่นวลีกลับมาจากรั้วบ้านอีกฝั่งเข้าพอดี
“อ้าว นวดเสร็จแล้วเหรอปิ่น มาๆ มานั่งนี่” ดวงชีวารีบขยับกระเป๋าออก เพื่อให้เพื่อนได้นั่งร่วมโต๊ะด้วย
“อื้อ คุณท่านให้ของกินมาเพียบเลย พวกเธอกินได้หมดเลยนะ” ตอบดวงชีวาพร้อมบอกเพื่อนๆ ที่ร่วมโต๊ะอยู่อีกหลายคนให้ร่วมรับประทานด้วย
“ฉันขอเยอะๆ โคตรเหนื่อยเลย หิวชิบหาย” ดวงชีวารีบคว้าถุงขนมมาเลือกก่อนใคร อย่างตะกุยตะกาม
“แล้วแกทานมาแล้วเหรอ” แต่ก็ยังมีน้ำใจถามไถ่เพื่อนรัก
“อื้อ เรียบร้อยละ ที่บ้านใหญ่เขามีเลี้ยงพวกคนสวนน่ะ ยายผันก็เลยแบ่งให้ฉันทานด้วยก่อนจะมาเนี่ย”
“เฮ้อ เกิดเป็นแกนี่มันบุญวาสนาจริงจริ๊ง อะไรก็ได้รับการยกเว้นไปหมด ทำไมฉันไม่เกิดมาเรียบร้อย มากความสามารถแบบแกมั่งวะ” พร่ำบ่นแบบไม่ได้คิดอะไรจริงจัง มีแต่ยอมรับในความเป็นจริงในสิ่งที่ตัวเองเป็น
“แล้ว...ตกลง อาจารย์แม่รู้รึยัง ว่าเป็นเสียงของใคร” ถามอย่างระแวดระวังเชิงลุ้น
“เหอะ วิธีปัญญาอ่อนแบบนั้น คงจะได้รู้อยู่หรอก” บุญใหม่ผู้เดินกลับมาพอดี ว่าพร้อมวางขวดน้ำให้ดวงชีวา และทรุดนั่งลงที่ของตัวเอง ข้างๆ ปิ่นวลีและตอบแทนให้
“จริง โคตรปัญญาอ่อน ครางกันอยู่สามสี่ชั่วโมง จนท้องร้องโครกประท้วงเนี่ย ถึงได้หลุดมาได้” ดวงชีวาเสริมให้อย่างเห็นด้วย
“แล้วอาจารย์แม่จะทำยังไงต่อไปเหรอ?” พยายามถามแบบไม่ให้น่าสงสัยที่สุด เท่าที่จะทำได้
“ไม่รู้สิ แต่ถ้าจะให้มาร้องครางอะไรนี่อีก...คงจะไหวละ”
“แหม นึกว่าจะเป็นงานถนัดแกซะอีกนะ ไอ้เรื่องร้องครางอะไรเนี่ย” คนที่เพิ่งจะถือจานอาหารมานั่งลงข้างๆ ได้อย่างกวางตุ้ง เอ่ยแซวขึ้นอย่างสอดรู้สอดเห็น
“มันแน่อยู่แล้ว แต่ครางแห้งแบบนี้ ใครมันจะไปครางได้วะ”
“อ้าว ก็ทำไมไม่คิดซะว่า...ครางเอาใจผู้ชาย แบบที่ต้องทำๆ กันล่ะ จะได้ง่าย” เกวลินผู้มาถึงทีหลังคนอื่น เอ่ยบ้าง จนพากันขำตามกันทั้งโต๊ะ
“เออว่ะ ปกติก็ทำแบบนั้นนี่นะ...ลืมคิดไปเลย!” แล้วดวงชีวาก็หัวเราะลั่นโรงอาหาร จนทุกคนส่ายหน้า
“แต่จะว่าไป...แกก็ไม่ใช่ ฉันก็ไม่ใช่ ไอ้ด้วงก็ไม่ใช่ แล้วแกคิดว่าจะเป็นใครวะเกว?” บุญใหม่วิเคราะห์ขึ้นอย่างคนฉลาด และถามความน่าจะเป็นจากคนที่เคยทำเรื่องแบบนี้มาแล้ว
“ไม่รู้ว่ะ ฉันกับคุณเล็กไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันตั้งนานแล้วนะ”
“จริงเปล่า...วัวเคยค้ามาเคยขี่ มีหรือที่จะไม่หิว” กวางตุ้งนักแซวผู้ยิ่งใหญ่รีบว่าอย่างเหมือนรู้ทัน จนต้องถูกตีเข้าที่แขน
“รู้ดี อย่างกับเคยขี่อย่างนั้นแหละไอ้กวาง” ดวงชีวาว่าเข้าให้พร้อมส่ายหัว
“ถ้าไม่ใช่ไอ้เกว แล้วใครที่พอจะทำให้ผู้ชายบ้านนั้นสนใจได้อีกวะ...”
“แต่ถึงจะมี คุณเล็กก็ไม่น่าทำให้ร้องได้ขนาดนั้นหรอกฉันว่า” เกวลินพูดขึ้นเชิงขำเล็กน้อย ไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่
จนคนที่พากันเข้าใจหัวเราะคิกคัก
“อย่าบอกนะ...ว่าคุณเล็ก เล็กสมชื่อ!” ดวงชีวาถูกเกวลินเอามือคว้าปิดปากไว้ทันที
“อย่าโวยวายดิ นี่มันความลับสุดยอดเลยนะ”
“ถึงว่า...ไม่อยากจะกลับไปขี่อีก” และขาแซวประจำแก๊งอย่างกวางตุ้ง ก็แซวต่อขึ้นมา จนบุญใหม่ต้องเอามือไปตบด้วยเชิงชอบใจ
“เดี๋ยวๆ ถ้าคุณเล็ก เล็กสมชื่อ คนที่ใหญ่ที่สุดก็ต้องเป็น...” ดวงชีวาผู้ไม่เข็ดหลาย รีบวิเคราะห์ต่อทั้งๆ ที่ถูกมือป้องปากอยู่ จนคนที่แอบฟังเงียบๆ ไม่ออกความเห็นอะไรเกือบจะสำลักน้ำ
“แค่กๆ”
“เป็นอะไรไอ้ปิ่น อย่าบอกนะ...ว่าแกคิดไม่ดีไปแล้วอ่ะ” กวางตุ้งรีบชี้หน้าจนทุกคนหันไปมองปิ่นวลีเป็นตาเดียว
“เปล่า แค่กๆ ฉันสำลักน้ำเฉยๆ” รีบแก้ต่างให้ตัวเองแบบไม่ยอมสบตาใคร
“ก็ไปแซวมัน มันรับไม่ได้ที่พวกเราพูดจาลามกกันมากกว่าแหละ คนอย่างไอ้ปิ่นมันจะไปรู้อะไร” บุญใหม่ช่วยชีวิตปิ่นวลีเอาไว้อย่างหวุดหวิด เพราะเชื่อว่าคนเรียนเก่งที่สุด เรียบร้อยที่สุดและมีภาษีเหนือทุกคนเพราะเป็นลูกรักของบ้านมณฑลไพศาล ไม่มีวันที่จะฝักใฝ่เรื่องพวกนี้เหมือนพวกตัวเองแน่
“ใครจะไปรู้ มันอาจจะเป็นน้ำนิ่งไหลแรงก็ได้นะ” นักขาแซวผู้ไม่ล่าถอย ก็ยังคงแซวต่อจนทุกคนส่ายหน้า
“คนอื่นฉันเชื่อ ว่าอาจจะเป็นไปได้...แต่อย่างไอ้ปิ่นเนี่ย ไม่มีทาง 100 เปอร์เซ็นต์!” บุญใหม่ยืนยันอย่างหนักแน่น
“จริง! ฉันอยู่กับมันมานะ วันๆ มันไม่ทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือ ความฝันของมันเนี่ยคือการได้เป็นพนักงานดีเด่นของเครือ M-Group มีเงินเยอะๆ ได้ค่าภาษา...มีแค่นี้เลย เรื่องอื่นมันไม่สน” เสริมด้วยดวงชีวา
คนดวงดีอย่างปิ่นวลี...ก็เลยได้แต่แอบถอนหายใจ
ความเชื่อเรื่องการวางตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง จากนวนิยายเรื่อง ‘ติดใจ-เทพีปรัมปรา’ นักเขียนที่เธอโปรดปราน ไม่ได้ผิดไปเลยสักนิด
เมื่อน้อมนำมาปฏิบัติ...มักก็ได้ผลเช่นนั้น เฮ้อ โล่งอกไปที
“กลับมาที่เรื่องคุณเล็ก คุณใหญ่อะไรกันก่อนดีกว่า มันน่าสนใจจริงๆ นะ...คุณเล็กก็เล็กสมชื่อ คุณใหญ่ก็ต้อง...” ดวงชีวาว่าอย่างตื่นเต้น ทุกคนพากันหัวเราะคิกคักตาม ยกเว้นบุญใหม่ที่ได้แต่ยิ้มและส่ายหน้า
คนที่มีความฝันและมุ่งมั่นไปสู่เส้นทางของตัวเองไม่แพ้ปิ่นวลี ก็คงจะมีแต่เธอ...เด็กกำพร้าที่ดิ้นรนและทะเยอะทะยาน เพื่อจะมีชีวิตที่ดีกว่า สอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งนี้ได้ก็คือบุญใหม่
แม้ว่าจะรู้เรื่องพวกนี้ดีแค่ไหน แต่เธอก็ไม่เคยที่จะเกี่ยวข้อง...ไม่เคยมีแฟนและไม่คิดที่จะมีด้วย!
“ซะบะเฮิ่ม...!” กวางตุ้งต่อให้อย่างรู้งาน จนเกวลินส่ายหน้าในความสู่รู้ของเพื่อนคนนี้
“ไม่รู้สิ จะมีใครได้เห็นขาอ่อนคุณใหญ่บ้าง ตั้งแต่อยู่ที่นี่มา ไม่เคยได้ข่าวว่าคุณใหญ่พาผู้หญิงมาบ้าน หรือคบหาใครเลยนะ หรือว่า...” ดวงชีวาพาวิเคราะห์ต่อ ตามประสาคนปากสว่างก็ใคร
“จะเป็นเกย์!” และกวางตุ้งก็ต่อให้อย่างรู้งานเช่นกัน
“อันนี้ไม่น่าใช่นะ เพราะคุณเล็กเล่าให้ฟังตลอด...ว่าคุณใหญ่เป็นผู้ชายทั้งแท่ง แต่แค่เลือกเยอะ มีผู้หญิงเข้าหาเยอะแยะแต่ก็ไม่เอา” เกวลินเฉลยให้ตามข้อมูลที่มี แต่ดันไปทำให้ใครบางคนแอบอมยิ้มอยู่เงียบๆ
“ก็ดูเพอร์เฟค เย็นชา ขรึมซะขนาดนั้น...ยังไงก็น่าจะต้องเลือกเยอะบ้างแหละ” บุญใหม่เสริมให้อย่างเห็นตาม เพราะจากที่เคยเห็นผ่านๆ ตา คนอย่างเขาไม่น่าจะใช่เกย์แน่ๆ
“แล้วคุณกลางล่ะ แกเคยมะ?” กวางตุ้งสะกิดเกวลินอย่างมีเลศนัย
“จะบ้าเหรอ จะให้ฉันได้ทั้งพี่ทั้งน้องเลยหรือไง”
“ใครจะไปรู้ล่ะ เพราะได้ข่าวมาว่าคุณกลางก็มั่วใช่ย่อย...แต่แค่ไม่เคยมีประวัติกับเด็กในรั้วก็เท่านั้น” คำวิเคราะห์ของกวางตุ้งทำเอาทั้งหมดพากันพยักหน้า
“คุณกลางก็น่าจะกลางๆ จะทำให้ร้องโอดโอยได้ขนาดนั้นไหมนะ...” ดวงชีวารีบวิเคราะห์ต่อแบบติดขำ
“มันเกี่ยวจริงๆ เหรอวะ ไอ้ใหญ่ไม่ใหญ่เนี่ย” บุญใหม่ถามเชิงไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยมาก่อนเหมือนกัน แต่ทฤษฎีแน่น!
“ตามทฤษฎีเขาก็บอกว่าไม่เกี่ยว แต่เคยเจอมา...ก็ไม่เห็นว่า เล็กๆ จะทำให้ร้องได้สักที” เกวลินตอบตามตรง เพราะผ่านผู้ชายมาหลายคนตั้งแต่เรียนม.ปลาย
“ต้องเชื่อเขานะ เขาช่ำชอง”
“อี กวาง เดี๋ยวเอาจานยัดปาก” เมื่อทนไม่ไหว เกวลินก็เลยทำท่าจะทำแบบนั้นใส่เพื่อนทันที แต่ไม่ได้จริงจัง เพราะต่างก็รู้นิสัยกันและกันดี
“มันก็อาจจะจริงนะ ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับลีลา...จริงไหมวะไอ้ปิ่น” เมื่อเห็นว่าปิ่นวลีไม่ยอมพูดอะไรเลย ดวงชีวาก็หาเรื่องไปแกล้งเข้า
“ฮื้อ ว่าไงนะ”
“สะดุ้งอะไรขนาดนั้นยะ แค่แซวขำๆ เอง เหม่อลอยนะเราช่วงนี้ เป็นอะไรรึเปล่า” ดวงชีวาว่าอย่างห่วงใย เพราะนานๆ จะเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้ที
“หรือว่าถูกคนในบ้านดุ” บุญใหม่ถามไถ่อย่างห่วงใย เพราะเธอเองก็ความสามารถเข้าตา จนต้องเข้าไปบ่อยๆ ไม่แพ้กัน
แต่เป็นงานทั่วไป เช่นเล่นเปียโน ไม่ได้ใกล้ชิดคนสำคัญของบ้านอย่างปิ่นวลี
“โอ๊ย เรื่องนั้นไม่น่าเป็นไปได้ นี่ใคร...หลานสาวยายผัน คนโปรดของบ้าน แถมยังทำตัวดีมาตั้งแต่เด็ก ใครจะมาดุมัน ไม่มีหรอก” ดวงชีวาว่าอย่างรู้ดีกว่าใครและมั่นใจสุดๆ
“เปล่าหรอก ฉันแค่เครียดเรื่องที่บ้านน่ะ ช่วงนี้พ่อไม่ค่อยสบาย” ปิ่นวลีไม่ได้โกหก บิดาของเธอต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ ในช่วงนี้ จากการทำงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก...
แต่ก็ขอเอามาอ้างหน่อยละกัน
จนทุกคนพากันถามไถ่อย่างห่วงใยและสิ้นสงสัยในอาหารเหม่อลอยของเธอไปด้วย
“งั้นมาวิเคราะห์กันต่อเถอะ ว่าน่าจะเป็นใครไปได้บ้าง...คนที่น่าสงสัยก็น่าจะคุณกลางกับคุณใหญ่ เราจะทำยังไงให้ได้รู้ ว่าใครใหญ่พอที่จะมาทำให้เกิดเสียงโอดโอยนั่น” กวางตุ้งรีบดึงทุกคนกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง อย่างนึกสนุกปาก
“แหม เอาใหญ่ละนะแกเนี่ย” เกวลินหันไปว่าเชิงไม่จริงจัง
“ก็ฉันอยากช่วยอาจารย์แม่นี่หว่า เห็นตอนที่คุณน้องอะไรนั่นมาไหม ข่มอาจารย์แม่ของพวกเราสุดๆ เอาจริง...ฉันเห็นใจแกนะเว้ย ถึงแกจะโหดแค่ไหน แต่แกก็ช่วยดูแลพวกเราเป็นอย่างดีมาตลอด”
“หรา...ฟังดูดีนะ” คนถูกแขวะก่อน ลองแขวะแบบไม่ปล่อยบ้าง
“ฉันพูดจริงเว้ยเกว ฉันรักอาจารย์แม่เหมือนแม่ ใครก็ไม่มีสิทธิมาหยามเกียรติของแกทั้งนั้น!”
“มันก็จริงนะเว้ย เอาจริงๆ ฉันไม่ชอบคุณเหมยแก้วกาญจน์อะไรนั่นเลย มาทีไรก็มาแต่ข่มเหงจิตใจอาจารย์แม่” บุญใหม่ว่าอย่างรักความยุติธรรม ผิดก็ว่าไปตามผิด เป็นเรื่องๆ ไป แม้จะไม่ชอบใจเหมยลดาในหลายๆ เรื่องก็ตาม
“แล้วพวกเราจะทำยังไงดีล่ะ จะช่วยยังไงดี? เพราะต่อให้รู้ว่าของใครใหญ่หรือเล็ก ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นหลักฐานแน่นหนาพอได้” ดวงชีวาว่าขึ้นอย่างจนปัญญา แล้วทุกคนก็ต้องถอนหายใจออกมาเชิงหมดปัญญา
รวมถึง...คนที่แอบลอบพ่นลมหายใจ เมื่อรู้ว่าทุกคนหมดปัญญากันแล้ว
