3
การเรียกพบด่วนในยามเช้าตรู่ของเหล่านักศึกษาปี 4 แห่งรั้วอุปถัมภ์ของบ้าน ‘มณฑลไพศาล’ ทำให้เกิดเสียงจอแจวุ่นวาย เมื่อทราบว่าถูกเรียกรวมเพื่อการใด
“ใครวะ...ทำไมฉันไม่ได้ยินเลย แถวห้องที่เท่าไหร่” กวางตุ้ง บริสุทธิ์รัก ผู้มีรูปร่างผอมสูง สีผิวเข้มรีบเอ่ยกระซิบกระซาบด้วยความอยากรู้
“ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อคืนฉันหลับเป็นตาย ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น” คำหวาน มารวย สาวร่างอวบอ้วนรีบว่าอย่างนึกเสียดายไม่แพ้กัน
“คุยอะไรกัน!” แล้วทั้งแถวก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อผู้คุมหอพักอย่าง เหมยลดา มณฑลไพศาล ตวาดขึ้น
“ฉันให้โอกาสแล้วนะ...ให้โอกาสได้สารภาพ ก็รีบสารภาพมา” พร้อมกับเดินผ่านหน้าไปแบบไม่ได้คิดสงสัย เพราะภาพลักษณ์ภายนอกของคนในแถวนี้ ไม่น่าจะพาผู้ชายมานอนที่ห้องได้
“เพราะว่าถ้าฉันทราบเอง...ฉันจะไม่เอาไว้!” แล้วก็มาหยุดอยู่ที่ใบหน้าขาวผ่อง ของเรือนร่างสมส่วน ที่มีส่วนเว้าโค้งชัด...ดวงตากลมโตเป็นประกายไหวระริกเล็กน้อยเชิงตกใจ แต่ก็ต้องรีบก้มหน้า
“ว่ายังไงเกวลิน...ตัวสั่นขนาดนี้ ยังจะคิดปฏิเสธอีกรึ” เกวลิน เดชพิไสย รีบส่ายหน้า
“หนูเปล่านะคะ”
“วัวเคยค้าม้าเคยขี่...ฉันเข้าใจ สารภาพมาซะดีๆ อย่าให้ฉันได้รู้เอง!” หญิงสาวรีบส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ ถึงเธอจะเคยมีประวัติเรื่องนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ก็ทำเอาเธอไม่กล้าที่จะทำอีก
“หนูใกล้จะเรียนจบแล้วนะคะอาจารย์แม่...หนูจะทำแบบนั้นเพื่อตัดอนาคตตัวเองไปทำไม” เหตุผลและแววตาใสที่แสดงความบริสุทธิ์ ทำเอาเหมยลดาสะดุดเล็กน้อย ก่อนเชิดหน้าหันไปทางอื่น
“ใคร! ใครที่เป็นคนกรีดร้องเสียงโหยหวนแบบนั้น...ยอมรับมาซะดีๆ ร้องมาได้ยังไง เสียงน่าเกลียด!” แล้วก็เดินตรวจต่อไป ในสองแถวที่มีนักศึกษาเรียงอยู่ แถวละ 10 คน
มีแค่ 2 แถว...แต่เดินวนไม่รู้จบ แบบไม่ยอมที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ลอยนวล!
มณฑลไพศาลเป็นตระกูลที่ทำธุรกิจครบวงจรครอบจักรวาลในไทยและประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ นอกจากจะผลิตสินค้ามากมาย สนับสนุนฐานการผลิตจากภาคเกษตรกร มีฐานการผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นของตัวเองและมีบริษัทเครือข่าย ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ ภายใต้ชื่อ ‘M-Group’
และยังมีมหาวิทยาลัยมณฑลบัณฑิตที่เป็นฐานสำคัญในการผลิตบุคลากรคุณภาพ เพื่อทำงานในเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ
ซึ่งมหาวิทยาลัยนี้...เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียง มีหลายคณะให้เลือกหลากหลาย มีทุนการศึกษาและที่สำคัญคือการคัดนักศึกษาที่เหมาะสมที่สุด เข้ามาอยู่ในหอพักฟรี ที่อยู่บนเนื้อที่ในรั้วเดียวกันกับบ้านหลังใหญ่ แม้จะอยู่คนละส่วนแต่ก็สามารถเดินผ่านเชื่อมต่อมาหากันได้
โดยชั้นปีที่จะได้เข้ามาอยู่ในรั้วแห่งนี้ คือชั้นปีที่ 3และ4 เพื่อฝึกอย่างเข้มข้น ก่อนนำไปเลือกเครือข่ายที่จะไปอยู่ โดยต้องมีผลการเรียนและความประพฤติดี พร้อมความสามารถอันโดดเด่น
ใครๆ ก็อยากจะมาอยู่ที่นี่...เพราะอยากจะเรียนภาษาที่หลากหลาย และได้อภิสิทธิ์มากมายที่ทางมหาวิทยาลัยจะยกเว้นให้
แต่ก็ต้องแลกมากับการอยู่ในกฎระเบียบอันเข้มงวด...ที่มหาวิทยาลัยไหนก็ไม่อาจเทียบเทียมได้!
“ปิ่นวลี!”
“ค่ะ...คะ?” ใบหน้าเนียนเกลี้ยง ผิวขาวซีดติดไปทางหม่น สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อถูกเรียกชื่อดังๆ และเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“เย็นนี้เข้าไปหาคุณแม่ด้วย ท่านอยากจะให้ไปนวดให้ซะหน่อย” แล้วก็เดินผ่านไป อย่างรู้ว่าคนเรียบร้อยและแสนดีอย่างเด็กปั้น ที่เห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด ไม่น่าจะทำเรื่องเสียหายพรรค์นี้แน่ๆ
“ค่ะอาจารย์แม่” ตอบรับออกมาอย่างโล่งใจ จนคนที่สังเกตเห็นได้ต้องสะกิด
“ทำไมต้องทำทีท่าโล่งใจขนาดนั้น...เป็นแกเหรอที่ร้องเสียงแบบนั้นน่ะ?” ดวงชีวา มาหยัน ทำสีหน้าตกใจเชิงแซวแบบไม่ได้จริงจังนัก เพราะไม่เชื่อเหมือนกันว่าคนอย่าง ปิ่นวลี ดวงน้อย จะมีปัญญาหาผู้ชายมานอนด้วยได้
“เป็นแกสิ ฉันตกใจต่างหาก...สถานการณ์กดดันขนาดนี้”
“เออฉันรู้ ว่าแต่...แกสงสัยใครไหมวะ ใครที่น่าจะทำเรื่องพวกนี้ได้ ฉันว่านะ..ยังไงก็ต้องเป็นคนใน เพราะไม่น่าจะมีผู้ชายคนไหนผ่านรั้วเข้ามาได้ เพราะรั้วสูงขนาดนั้นน่ะ ปีนไปแล้วพลาดตกลงมา ก็คอหักตายกันพอดี” ดวงชีวาว่าอย่างวิเคราะห์สงสัย มองไปยังเพื่อนร่วมหอ 20 ราย ที่พากันหน้าเจื่อนไปตามๆ กัน
“คนที่เคยทำไปแล้วอย่างไอ้เกว...ไม่น่าจะทำอีกแน่” ยังคงวิเคราะห์ต่อ โดยที่ไม่ได้สังเกตหน้าตาเพื่อนรัก
“ดวงชีวา! คุยอะไร!” เมื่ออาจารย์แม่ของใครๆ ได้เดินวนกลับมาอีกครั้ง คนที่มีรูปร่างหน้าตาดีอย่างดวงชีวาก็ต้องยืดตัวขึ้น ลดระดับสายตาลงอย่างรู้สึกผิด
“หรือว่าเป็นเธอ...ฮะ!”
“ไม่ใช่แน่นอนค่ะอาจารย์แม่ ปกติ...หนูไม่ร้องค่ะ หนูกัดหมอน ไม่หลุดลอดเสียงแน่นอน!” คนที่ตรงไปตรงมาจนน่าปวดหัวอย่างเธอ ทำเอาทุกคนพากันหัวเราะคิกคัก
“น่าเกลียด! มาตอบแบบนี้ได้ยังไง! น่าเกลียดตาย...นี่แหนะ!” แล้วเธอก็ถูกฟาดเข้าที่ไหล่ไปสองสามทีเชิงลงโทษ
“เอาล่ะ เมื่อไม่มีใครยอมรับ...ฉันก็ต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด” เสียงของคนที่โหดแต่บางทีก็รั่ว...เอ่ยเสียงต่ำลง จนทุกคนรู้สึกตัวเย็นวาบ
“จากที่ฉันวิเคราะห์เสียงนั่นดูแล้วเนี่ย...แสดงว่าจะต้องโดนของใหญ่มาก...” แล้วทุกคนก็พากันหลุดขำพรืดกันออกมา
“หัวเราะอะไร!” แล้วก็รีบเม้มริมฝีปากกลั้นเสียงกันอัตโนมัติ
“โทนทำนองของการกรีดร้อง มันคือความสุขจนล้นพ้น..จนเก็บเอาไว้ไม่อยู่ โอว...” แล้วสาวโสดที่ห่างหายเรื่องพวกนี้ไปนานแสนนานอย่างเหมยลดา ก็พรรณนาออกมาอย่างนึกโหยหา
จนเหล่านักศึกษาพากันหลุดยิ้ม...กลั้นเสียงที่จะหัวเราะเอาไว้
“มันคือความสุขที่แสดงว่าผู้ชายคนนั้นจะต้องเก่งมากๆ ...หัวเราะอะไรดวงชีวา!” แล้วเสียงหัวเราะเล็กๆ ในลำคอของคนเสียงใหญ่ ก็ทำให้อาจารย์แม่หลุดออกจากภวังค์ได้
“เปล่าค่ะอาจารย์แม่”
“เปล่าได้ยังไง ฉันได้ยินว่าเธอหัวเราะ!” จ้องหน้าลูกศิษย์เชิงคาดคั้น แต่ไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิดสำหรับคนดื้อด้านอย่างดวงชีวา
“พูดได้เหรอคะอาจารย์แม่...”
“พูดมา หัวเราะอะไร!”
“ก็...” เธอว่าพร้อมหันไปมองหน้าเพื่อนๆ ที่ส่งสายตาเชิงห้ามพูดมาให้
“อาจารย์แม่พูดอย่างกับว่า ‘เคย’ มาก่อนน่ะค่ะ...หนูยังไม่เคย ก็เลยคิดตามไม่ออกเลยล่ะค่ะ” คำตอบของคนตรงไปตรงมา ทำเอาใบหน้าของสาวใหญ่วัยห้าสิบต้นๆ ร้อนขึ้น ก่อนรีบทำหน้าเคร่งขรึมเข้มจัดกลบเกลื่อน
“อย่างเธอน่ะเหรอจะไม่เคย! น้อยไปสิ!” และเบี่ยงประเด็นที่จะตอบว่าตัวเองเคยหรือไม่
“แหมอาจารย์แม่ขา..ไอ้เคยมันก็เคยอยู่หรอก แต่เคยแบบเด็ดๆ จนต้องร้องออกมา แล้วก็ใหญ่ๆ อย่างที่อาจารย์ว่า ยังไม่เคยเจอสักทีเลยค่ะ...”
“ดวงชีวา! หยุดเดี๋ยวนี้! อย่ามาพูดอะไรแบบนี้กับอาจารย์นะ! น่าเกลียด! บัดสีบัดเถลิง!” ดวงชีวาหัวเราะคิกคัก
“แล้วทำไมอาจารย์จะต้องหนีบขาด้วยล่ะคะ...มันน่าเกลียดยังไง”
“พอได้แล้วไอ้ด้วง” ปิ่นวลีรีบสะกิดเพื่อนเชิงห้ามปรามเอาไว้ เพราะกลัวว่าเรื่องมันจะไปกันใหญ่
“ดวงชีวา! ไปวิ่งรอบสนามห้าสิบรอบแบบไม่พัก ตอนนี้!” และมันก็เป็นอย่างที่ปิ่นวลีคาด บทลงโทษของเหมย ลดาน่าขยาดเสมอ
“ค่า! อาจารย์แม่!” แล้วดวงชีวาก็รับคำหน้ามุ่ย พร้อมวิ่งออกไป
“ปากพาซวยได้ตลอดเลยไอ้ด้วง” บุญใหม่ พยศลาภ หนึ่งในสาวสวยประจำชั้นปี เอ่ยขึ้นพร้อมส่ายหัว หลังจากที่ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่มา เพราะเป็นเพื่อนสนิทกับดวงชีวาเหมือนกัน แต่แค่ไม่ได้ยืนใกล้
“นางสาวบุญใหม่!”
“ขาอาจารย์แม่!” รีบยืดอก เชิดใบหน้ารับคำอย่างไม่ยอมผิดระเบียบ
“หรือว่าจะเป็นเธอ...สวยๆ แบบเธอน่ะ มันเป็นที่ต้องตาต้องใจคนที่ชอบกินใกล้ๆ เป็นเธอรึเปล่า!” คำถามของเหมยลดา เป็นคำตอบให้กับใครหลายๆ คน
อ๋อ...ที่แท้ก็สงสัยว่าเป็นคนในจริงๆ นี่เอง
“หลานชายผู้มักง่ายของบ้านใหญ่...มันอยากจะชิมเธออยู่ตลอดนี่!”
“อยากชิม ก็ไม่ได้แปลว่าจะได้ชิมนี่คะ” คนที่รักศักดิ์ศรีตัวเองเป็นที่หนึ่งอย่างคนหน้าเหวี่ยงตอบแบบตรงไปตรงมา จนหน้าผู้ถามเข้มจัดขึ้น
“ยอกย้อนฉันเหรอ!”
“เปล่าค่ะ หนูแค่อธิบาย” นึกแล้วก็รู้สึกเจ็บใจ ที่ไม่น่าพูดอะไรขึ้นมาให้เข้าตัวเลย!
“บ้านมณฑลมีชายหนุ่มอยู่ 3 คนและเมื่อคืนก็อยู่บ้านแค่ 2 คน...ซึ่งก็คือตากลางกับตาเล็ก แน่นอนคนที่มันเคยกินขี้อย่างตาเล็ก ฉันสงสัยมันแน่ๆ ส่วนตากลาง...ฉันไม่แน่ใจ เพราะถึงมันจะมั่วแค่ไหน แต่มันก็เลือก ส่วนตาใหญ่ถึงจะอยู่ด้วยฉันก็ไม่สงสัย เพราะตาใหญ่ไม่มีทางมาทำเรื่องพวกนี้แน่”
“จะให้ฉันเชื่อเหรอ ว่าเธอไม่ได้คิดที่จะจับสักคนมาทำผัว จะได้สุขสบายไปทั้งชาติ!”
“เชื่อเถอะค่ะ ว่าหนูไม่เคยคิดอย่างนั้นแน่” คนตรงไปตรงมาไม่แพ้ดวงชีวัน สวนกลับทันทีจนต้องเม้มริมฝีปาก
“เหอะ ไม่เคยคิดที่จะจับผู้ชายบ้านนี้เลย ว่างั้นเถอะ”
“หนูหมายถึง...การได้ผู้ชายบ้านนี้เป็นผัวแล้วจะสบายไปทั้งชาติน่ะค่ะ” แล้วคนอื่นๆ ก็พากันหัวเราะ หลุดขำออกมาจนเหมยลดาต้องตวาดอีกครั้ง!
“ฉันไม่คุยกับเธอแล้ว นางสาวบุญใหม่!” แล้วก็ก้าวเดินฉับๆ ต่อไป เพราะรู้สึกเสียหน้า
“แต่ยังไงฉันก็จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด!” และพอตั้งหลักได้ ก็เริ่มทำเสียงคุมโทนทรงพลังอีกครั้ง
“ยังไงเหรอคะคุณพี่ดา” เหมยแก้วกาญจน์ วิสุทธิวงศ์ น้องสาวคนเล็กของบ้านมณฑลไพศาล ผู้มีความรับผิดชอบในการดูแลหอนี้อีกคน ก็เดินเข้ามาด้วยทีท่าสง่างามและมีรอยยิ้มเยือนอยู่เป็นนิจ
นักศึกษาที่เหลืออยู่ทั้ง 19 คน รีบยกมือไหว้ทำความเคารพอย่างนอบน้อมทันที
