บทที่ 4.1 คลุมถุงชน
ทางด้านบ้านไม้หลังเล็กที่อบอุ่น สองสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการตกแต่งอาหารฝีมือตนเองก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมารดาเดินเข้ามาบอกกล่าวให้รับรู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีว่าที่เจ้าบ่าวในอนาคตที่ไม่ต้องการกำลังจะเดินทางมาถึง กุลธิดาถึงกับทรุดตัวนั่งอย่างหมดแรงหัวใจที่ไหวหวั่นสั่นระรัว หญิงสาวไม่อยากจะเจอหน้าคนๆ นั้นเลยถึงจะรู้ว่าเป็นลูกชายของเพื่อนรักของมารดาก็ตาม แต่เธอไม่เคยรู้จักจิตใจเขาเลยซักนิด
“ทำใจดีๆ ไว้นะพี่อิงมันต้องมีทางออกสิคะ”
“พี่ไม่รู้จะทำยังไง คุณพ่อกับคุณแม่จะว่าอะไรพี่มั้ยถ้าพี่จะปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้”
“เอยไม่รู้ค่ะ ยังไงเอยก็ไม่ยอมให้พี่สาวของเอยต้องไปตกระกำลำบากกับผู้ชายที่ไม่ดีหรอกค่ะ”
“พี่ยังไม่รู้จะทำยังไงเลย สงสารคุณพ่อกับคุณแม่ด้วย” สองพี่น้องถอนหายใจพร้อมกัน
กุลธิดาและกุลนรีนั่งปรับทุกข์ที่ได้รับจากการตัดสินใจของมารดาอยู่หลายนาที ใบหน้าเรียวสวยก็ยังคงซีดเซียวแทบไม่มีสีเลือดเช่นเดิม ทำเอาน้องสาวอดที่จะเห็นใจไม่ได้
“พี่อิง พี่เอย ขาคุณแม่ให้มาตามแล้วค่ะ” เสียงเจื่อนแจ่วของน้องนุชสุดท้องที่อายุห่างกันถึงยี่สิบปีดังกังวานก่อนที่ร่างเล็กตุ้ยนุ้ยจะโผล่เข้ามาในครัว เด็กน้อยมองพี่สาวทั้งสองคนสลับกันไปมา
“อุ๊ย”
“เป็นอะไรยัยเอิง” เด็กน้อยเกาศีรษะแก้เก้อพร้อมเบ้ปากเล็กน้อย
“คนไหนพี่อิง คนไหนพี่เอยคะเนี่ยหนูงงไปหมดแล้ว”
“คริคริ ยัยหมูน้อยของพี่ เมื่อไหร่จะแยกออกซักทีคะ”
“ก็พี่สองคนเหมือนกันอย่างกับแกะ หนูแยกไม่ออกค่ะ”
“ช่างเถอะ ว่าแต่คุณแม่ให้มาตามทำไม”
“อ่อเกือบลืมเลย คุณแม่บอกให้ไปอาบน้ำแต่งตัวค่ะ เพราะว่าจะพาออกไปทานอาหารข้างนอก คุณแม่นัดเพื่อนเอาไว้คะ” คำบอกเล่าของเด็กน้อยทำให้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มสลดลง กุลธิดามองน้องสาวที่ยืนข้างๆ เธอเองก็ตบไหล่เบาๆ เพื่อปลอบใจพี่สาว
ห้องอาหารหรูสไตล์ล้านนาต้อนรับครอบครัวจิระโชติ อย่างนอบน้อม พนักงานเดินนำไปยังห้องที่จองเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว กนิษฐ์นำหน้าภรรยาไปถึงโต๊ะ เขาเลื่อนเก้าอี้ให้ภรรยาสุดที่รักก่อนจะหันไปมองลูกสาวทั้ง 3 คน
“ให้หนูนั่งตรงนี้นะคะ”
“ตามสบายจ้ายัยลูกหมู” กุลนรีบอกพลางดันก้นเด็กน้อยให้ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้
“เดี๋ยวบ้านโน้นคงจะมา อย่าทำอะไรให้แม่ขายหน้านะยัยอิง ยัยเอย”
“หนูไม่ทำหรอกค่ะ” เด็กน้อยชิงตอบแทนพี่สาวทั้งสองคน
“แม่ไม่ได้หมายถึงหนูนะยัยเอิง แม่บอกพี่ๆ เค้า”
“ก็หนูไม่รู้นี่คะ...พี่อิงกับพี่เอยไม่ดื้อหรอกค่ะ” กุลณัฐตอบอย่างไร้เดียงสา เด็กน้อยมองพี่สาวที่กำลังชะเง้อออกไปนอกประตูห้องด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะกลัวมารดาจะตำหนิเอาอีก
“สั่งอาหารกันก่อนมั้ยคุณกนิษฐ์”
“ตามใจคุณเลย ผมยังไงก็ได้”
“หนูสั่งค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยเอื้อมหยิบเมนูที่วางตั้งอยู่กลางโต๊ะ
“มานี่แม่สั่งเอง”
“คุณแม่” กุลณัฐเรียกมารดาเสียงอ่อย เมื่อนางหยิบเมนูอาหารจากมือเธอไป สายตาละห้อยมองเห็นเพียงปกด้านหลังของเมนูเท่านั้น
หลังจากสั่งอาหารได้ครู่เดียวบุคคลที่นัดหมายเอาไว้ก็เดินเข้ามา คุณหญิงปราณีตเดินนำหน้าถือกระเป๋าคล้องแขนใบใหม่เอี่ยมที่เดาไม่ยากว่านางเพิ่งสั่งซื้อมาแน่ๆ
“มากันแล้ว” กานดาลุกขึ้นต้อนรับเพื่อนรักด้วยอาการตื่นเต้น
“เป็นไงบ้างคะพี่ปราณีตสบายดีมั้ย”
“สบายดีจ้า คิดถึงจังเลยน้องรัก” ทั้งสองเดินเข้าไปโอบกอดทักทาย ก่อนที่ปราณีตจะหันไปยิ้มให้กนิษฐ์
“สวัสดีค่ะคุณกนิษฐ์”
“ครับ...โอ้ สวัสดีครับคุณบัญชา เชิญนั่งครับ” บัญชาเหลียวกลับไปที่ทางเดิน เขายังไม่เห็นลูกชายตามซักที
“อย่าไปสนใจเลยคุณเดี๋ยวก็เข้ามาเองนั่นแหละ”
“อะ เอ่อนี่ยัยหนูสวัสดีคุณลุงคุณป้าสิจ๊ะ” หญิงสาวทั้งสองยกมือไหว้พร้อมกัน ทั้งปราณีตและบัญชามองหน้าหญิงสาวทั้งสองสลับกันไปมา ใบหน้าสะสวยจิ้มลิ้มของทั้งคู่เหมือนกันจนนางไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร
