บท
ตั้งค่า

บทที่ 4.2 คลุมถุงชน

“อุ๊ย ตายแล้วโตเป็นสาวกันหมด แถมสวยไม่มีที่ติอีกด้วยนะคุณบัญชา” บัญชายิ้มพร้อมพยักหน้ารับด้วยความชื่นชม

“หน้าเหมือนกันจนลุงไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คนไหนหนูอิง แล้วคนไหนหนูเอยกันล่ะเนี่ย”

“ลองเดาดูสิคะคุณลุง” ชายสูงวัยเลิกคิ้วสูงมองหญิงสาวทั้งสองสลับกัน แต่ก่อนที่บัญชาจะเดาออกร่างสูงโปร่งกำยำก็เดินเข้ามาขัดจังหวะ ดวงตาคมสีเทาเข้มมองบุคคลที่นั่งอยู่ใกล้ประตูที่สุด เขาจับจ้องใบหน้านั้นอยู่นาน เรียวปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อพวงแก้มที่เต็มรับใบหน้าเรียวจิ้มลิ้ม ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มมองจ้องหน้าเขาตอบเช่นกัน

“อะ แฮ่ม ปราการเข้ามาสิลูก” เสียงเรียกของมารดาทำให้เขาหลุดจากภวังค์ความงามของหญิงสาว

“สวัสดีครับคุณน้าทั้งสอง”

“แหมโตขึ้นหล่อคมเข้มดีจริงๆ นี่น้ากนิษฐ์ แล้วน้ากานดาจ้า จำได้มั้ย” ปราการนึกถึงครั้งที่ยังเป็นเด็กเข้าเคยวิ่งเล่นในบ้านของทั้งสองคนมาแล้ว ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งตรงกันข้ามกับหญิงสาวอีกคนที่ทำให้เขาตาลุกวาวมองใบหน้าของเธอไม่ละวาง

“นี่น้องอิงกับน้องเอย ที่ลูกเคยเล่นด้วยตอนเด็กๆ ไงจ๊ะ” ปราการหันมองหน้ามารดา เขาไม่เคยรู้เลยว่าหญิงสาวที่จะมาเป็นคู่หมั้นของเขาสวยถึงเพียงนี้ แต่แววตาที่เธอจ้องมองเขาทำไมไม่เหมือนคนที่กำลังชื่นชมผู้ชายหล่อเข้มเลยซักนิด

“คงจะจำกันไม่ได้เพราะไม่ได้เจอกันนาน ป้าเองก็ยังจำไม่ได้เลย”

“ค่ะ ไม่เจอกันนานมาก พี่ปราการเปลี่ยนไปเยอะเลย ถ้าเจอกันข้างนอกหนูก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นคนที่เคยรู้จัก” หญิงสาวที่นั่งตรงกันข้ามกับเขาเป็นคนเอ่ย ส่วนอีกคนก็ได้นั่งนิ่งมองใบหน้าเขาสลับกับการหลบสายตาเมื่อเขาหันมา

“เราเข้าเรื่องเลยดีกว่านะกานดา”

“ก็ดีจ้ะ” กานดาตอบลังเล นางหันมองหน้าลูกสาวทั้งสองคน

“ฉันดีใจที่สุดเลยรู้มั้ยที่จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับเธอ ดูสิลูกสาวสวยขนาดนี้ถ้าไม่ได้เป็นลูกสะใภ้ฉันเสียดายแย่”

“หนูก็สวยนะคะ” เสียงใสเอ่ยขึ้นเมื่อเด็กน้อยโผล่มาจากใต้โต๊ะอาหาร

“อุ๊ย ยัยเอิงเข้าไปทำอะไรใต้นั้น”

“หนูทำช้อนตกค่ะคุณแม่ สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า และพี่ชาย” ปราการเผยยิ้มเป็นครั้งแรกให้เด็กน้อย ใบหน้าที่มีรอยยิ้มนั้นดูมีเสน่ห์มากขึ้น เขาหล่อเกินคำบรรยายเรียกได้ว่าถ้าใครได้เห็นเป็นต้องหลงรักแน่ๆ

“ว่าแต่คนไหนล่ะที่จะมาเป็นสะใภ้บ้านฉัน”

“อะ เอ่อ เรื่องนั้นฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเลยจ้า อยากจะให้เด็กได้รู้จักกันก่อน” บัญชามองหน้ากานดาอย่างเข้าใจ นางคงไม่อยากบังคับจิตใจลูกสาวเป็นแน่

“ไม่เป็นไรยังพอมีเวลา ค่อยๆ ตัดสินใจก็ได้”

ระหว่างการสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัว กุลธิดาจับจ้องใบหน้าคมเข้มนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าเขาคือคนที่เธอเคยรู้จัก เพราะแต่ก่อนรูปร่างหน้าตาไม่เป็นเช่นนี้เลย เด็กชายผอมแห้งกระดูกโปนทำไมถึงได้ล่ำบึกขนาดนี้ไม่ว่าจะมองไปตรงไหนเธอก็เห็นแต่มัดกล้ามที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าราคาแพง แต่เขาไม่มองเธอเลยซักนิดเดียว สายตาคู่คมเอียงเอนเบนหาแต่ใบหน้าของน้องสาว หญิงสาวแอบมุ่ยอย่างน้อยใจ

“ใช่เค้าจริงๆ ด้วยพี่อิง” กุลนรีเริ่มต้นสนทนาก่อนเมื่อทั้งสองเลี่ยงออกมาเข้าห้องน้ำ

“อืม พี่รู้ แต่เค้าเปลี่ยนไปมากเลยนะ”

“ใช่ๆ แบบนี้พี่อิงจะเปลี่ยนใจยอมแต่งงานกับเค้ามั้ย”

“ทำไมถามแบบนั้น เอยก็รู้ว่าพี่รอคอยเค้ามาตลอดนะ” กุลธิดามองตัวเองในกระจก เธอเฝ้าบอกกับหัวใจดวงน้อยตั้งแต่เขาย้ายบ้านไปว่าเธอจะรอการกลับมาของเพื่อนบ้านที่เคยวิ่งเล่นกันทุกวัน

“เอย” เสียงเรียกราวกับตกใจของกุลธิดาทำเอาน้องสาวสะดุ้ง

“มีอะไรพี่อิง”

“พี่ไม่รู้ว่าเค้าจะตกลงแต่งงานกับพี่หรือเปล่า...แล้วถ้าตกลงพี่ก็ไม่แน่ใจว่าเค้าโดนบังคับหรือว่าเต็มใจ”

“หน้าอย่างนั้นคงไม่ยอมโดนบังคับแน่ๆ”

“ว่าไม่ได้นะ เค้าหล่อเหลาขนาดนี้อาจจะมีคู่รักอยู่แล้วก็ได้นะ” กุลธิดามีสีหน้ากังวนผุดขึ้นเด่นชัด แววตาที่เจือไปด้วยความคาดหวังทำให้เธอกลัดกลุ้มใจยิ่งนัก

“พี่ไม่สบายใจเลยล่ะ”

“อยากแต่งงานกับเค้าล่ะสิ”

“อย่ามาล้อพี่นะ” กุลธิดานึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มแล้วก็ต้องอมยิ้ม เขาหล่อเกินกว่าเธอจะห้ามใจปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ได้

“แล้วจะรออะไรอยู่ล่ะพี่อิง บอกไปเลยสิคะ”

“ไม่ได้ ถ้าเค้าไม่ได้รักพี่จริงๆ แล้วพี่จะทำยังไงล่ะ”

“โธ่ มีแต่ปัญหา จะทำยังไงดีล่ะ”

“นั่นสิจะทำยังไงล่ะเอย บอกพี่หน่อยสิ” กุลนรีเบ้ปากพร้อมส่ายหน้า ทำให้พี่สาวถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง หญิงสาวหันมองรอบตัวเองภาพสะท้อนในกระจกใบหน้าเศร้าหมอง ดวงตากลมเบิกกว้างปากอ้างค้างก่อนจะย่นจมูกพร้อมดีดนิ้วดังป๊อก

“พี่คิดออกแล้ว” กุลธิดาหันมาเขย่าร่างของน้องสาวอย่างตื่นเต้น

“อะไรเหรอคะพี่อิง คิดอะไรออก” หญิงสาวเม้มปากแน่นจ้องมองใบหน้าของกันและกัน กุลนรีขมวดคิ้วเรียวเป็นปมสงสัยความคิดของพี่สาว

“คิดอะไรออกค่ะ บอกมาสิพี่อิง”

“บอกแน่ยัยเอย แต่เธอต้องรับปากพี่นะว่าจะช่วยพี่”

“ช่วยสิค่ะ ถ้าเอยช่วยได้”

“แน่นอน เธอเป็นคนเดียวที่จะช่วยพี่ได้นะ” กุลธิดาเอื้อมมือไปกุมมือน้องสาว สายตาเว้าวอนให้เธอตอบรับการขอร้อง

“พูดแบบนี้เอยชักจะหวั่นๆ แล้วนะคะ บอกมาซักทีสิ”

“มีวิธีทีเดียวที่พี่จะรู้ว่าเค้าคิดยังไงกับพี่กันแน่” หญิงสาวยื่นหน้าเข้าใกล้น้องสาว เธอกระซิบบอกความคิดของตัวเอง ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ความคิดของพี่สาวไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน

“จะดีเหรอพี่อิง มันไม่ง่ายเลยนะ”

“น่านะน้องสาวสุดที่รัก ช่วยพี่หน่อยนะพี่ไม่รู้จะทำยังไงแล้วยัยเอย” กุลนรีเม้มปากแน่นเธอใช้ความคิดอย่างหนักในการตัดสินใจ ยิ่งสายตาอ้อนวอนของพี่สาวทำให้เธอหนักใจไม่น้อย มือที่กุ่มมือเธอเอาไว้กระชับแน่นขึ้น กุลนรีพยายามฝืนยิ้มตอบพี่สาว

“ถ้าเอยปลอมตัวเป็นพี่แล้วตีสนิทเค้าคงไม่ยากเท่าให้พี่ทำ เอยก็รู้พี่ไม่กล้าเข้าใกล้เค้าด้วยซ้ำแบบนี้จะไปหาความจริงใจของเค้าเจอได้ยัง ให้เอยไปคุยอย่างน้อยเอยก็บอกพี่ได้ว่าเค้าเป็นคนดีหรือเปล่า”

“แต่แค่ไปพิสูจน์ความเจ้าชู้ของเค้าเท่านั้นนะ ไม่มีมากกว่านั้น”

“ไม่มีหรอก” กุลธิดายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อนึกถึงใบหน้าคมเข้มอีกครั้ง และเธอกำลังภูมิใจที่น้องสาวยอมช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่โอกาสมันยากแสนยาก

“ขอบใจจ้าน้องรัก” กุลธิดาโอบกอดร่างบอบบางเอาไว้แน่นด้วยความรักและขอบคุณน้ำใจของน้องสาว เธอมีความหวังเล็กในจิตใจถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าหวังของเธอจะสมหวังหรือไม่ แต่มันก็ทำให้หญิงสาวเบิกบานมากทีเดียว

เสียงช้อนกระทบจากกระเบื้องเพิ่งสงบลงพร้อมกับที่สองสาวกลับเข้ามาในห้องอาหาร ทุกสายตามองทั้งคู่ด้วยความชื่นชมยกเว้นสายตาคู่คมที่ไม่เหลียวมองเธอเลย

“หายไปซะนานเลยยัยหนู”

“ขอโทษค่ะพอดีมีคนใช้ห้องน้ำเยอะไปหน่อย”

“ฮึ คิดว่าต่อท่อตรงกินแล้วก็ปล่อยออกเสียดายของแย่” เสียงตำหนิของคนที่นั่งนิ่งไม่มองหน้าทำเอาหญิงสาวหน้าชา เธอไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดไม่รักษาหน้าเธอถึงเพียงนี้

“ขอโทษค่ะที่เสียมารยาทแต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรหรอกนะคะที่จะหลอกด่ากันแบบนี้”

“ผมไม่ได้หลอกด่านะครับ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่คุณควรจะรักษามารยาทปล่อยให้ผู้ใหญ่รอนานขนาดนี้”

“เฮอะ ก็ขอโทษแล้วไง ไม่เห็นคุณลุงคุณป้าจะว่าอะไร มีแต่พวกปากปีจอพูดอยู่ได้คนเดียว”

“นี่คุณมาว่าผมแบบนี้ได้ยังไง” ชายหนุ่มฉุนข้นทันทีที่ถูกหญิงสาวต่อว่า เขาถลึงตาใส่อย่างดุดัน แต่เธอก็ไม่คิดหวาดกลัว

“ยัยอิง” หญิงสาวที่นั่งริมสุดหันมองคนเรียกชื่อ ส่วนคนที่กำลังโต้ตอบกลับอึกอักอย่างลืมตัว

“ค่ะคุณแม่ ก็มันจริงนี่ค่ะ”

“ทำไมลูกถึง”

“อะ เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะอิงแค่ไม่ชอบคำพูดของเค้า”

“ใจเย็นๆ สิคะพี่อิง” มือเล็กสะกิดให้เธอสงบอารมณ์ที่ฉุนเฉียวลงบ้าง

“โอเคจ้า...เอาเป็นว่าตกลงตามที่เราคุยกันนะกานดา ส่วนวันนี้ฉันคงจะต้องกลับก่อน”

“อืม ได้สิเอาไว้นัดออกมาคุยกันใหม่ หรือจะแวะไปที่บ้านก็ได้นะยินดีต้อนรับจ้ะ”

“กลับก่อนนะคะคุณกนิษฐ์ คุณกานดา” ผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายยกมือรับไหว้หนุ่มกับหญิงสาว แล้วก็แยกย้ายกันกลับ โดยที่กานดายังไม่ได้บอกอะไรลูกสาวซักคำว่าการเจรจาครั้งนี้มีผลสรุปอย่างไร

“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะยัยเอย ทีหลังระงับอารมณ์หน่อยนะเดี๋ยวคุณแม่จะสงสัยเอา”

“ขอโทษๆ เอยไม่ได้ตั้งใจ ก็มันหมั่นไส้นายนั่นนี่นาทำเป็นเก๊กหน้าหล่ออยู่ได้ ชิส์” มือเรียวตีแขนยาวของน้องสาวทันที

“อุ๊ย เจ็บนะพี่อิง”

“จะพูดอะไรระวังปากด้วย เค้าหล่ออยู่แล้วไม่ต้องเก๊กหรอก”

“ฮึม เข้าข้างกันเข้าไป เดี๋ยวแต่งงานไปมีหวังลืมน้องสาวแน่ๆ”

“ยัยเอย พี่ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกนะ แล้วอีกอย่างจะได้แต่งหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย” กุลธิดากอดอกพิงหน้าตาห้องนอนมองดวงดาวที่จรัสแสงวับวาว ใบหน้าของชายหนุ่มที่พบเจอในวันนี้ลอยเลือนรางทาบทับก้อนเมฆ คิ้วหนาได้รูปรับดวงตาสีเทาเข้ม จมูกเป็นสันเชิดโด่งชวนให้สาวๆ หลงใหลในความหล่อของเขา กุลธิดาแอบอมยิ้มเมื่อภาพที่เธอเช่นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ มโนภาพนั้นก็ยิ้มตอบกลับมาด้วย หญิงสาวมีความหวังเล็กๆ ในใจว่าเขาพึงพอใจในตัวเธอเช่นกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel