บทที่ 1.3 อาซาเลียแสนงาม
ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่แน่นขนัดไปด้วยบรรดานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนในประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีธรรมชาติสวยงามแห่งหนึ่ง ครอบครัวจิระโชติ ต่างชะเง้อมองหาบุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัว ร่างบางสูงโปร่ง ทรวดทรงราวกับนางแบบในนิตยสาร ผิวขาวนวลเนียนต้องแสงไฟยิ่งทำให้เธอดูเปล่งปลั่งสมเป็นสาวสะพรั่ง เรียวปากแดงระเรื่อคลี่ยิ้มทันทีที่เห็นคนคุ้นเดินลากกระเป๋าเดินทางแบบล้อเลื่อนออกมาจากจุดรับสัมภาระ
“คุณแม่ขา ยัยเอยกลับมาแล้วค่ะ” เสียงสดใสร้องบอกมารดาที่มัวแต่ค้นหาแว่นตาคู่ใจในกระเป๋าใบโต
“เอย ทางนี้” กุลธิดาตะโกนเรียกชื่อน้องสาวอย่างดีใจ พร้อมโบกมือให้เธอเห็นว่าคนมารอรับยื่นอยู่ตรงนั้น
หญิงสาวที่เพิ่งลงจากเครื่องบินลากกระเป๋าเดินเข้ามาหา บิดา มารดา อย่างดีใจเธอแกยิ้มกว้างให้กับทุกคน โดยเฉพาะพี่สาวสวย กนิษฐ์ จิระโชติ มองบุตรสาวคนเล็กตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า สำรวจความเปลี่ยนแปลงว่ามีมากเพียงใด
“สวัสดีค่ะ คุณกนิษฐ์ คุณกานดา” หญิงสาวกล่าวทักทายแกมหยอกล้อบิดา มารดา เช่นครั้งที่เป็นเด็ก
“แหมลูกสาวคนนี้ หยอกพ่อกับแม่ไม่เลิกเลยนะ”
“อืม ก็เอยคิดถึงคุณแม่นี่คะ” กุลนรีอ้าแขนกว้างโอบกอดมารดาที่มุ่ยหน้าขัดใจ แล้วหันไปกอดบิดาแบบหลวมๆ เพราะเธอรู้ตัวว่าโตเป็นสาวแล้ว การแสดงออกถึงความรักกับบิดาจึงเป็นเรื่องขัดเขินในความรู้สึกของตัวเอง แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ละทิ้งความน่ารัก อบอุ่นของครอบครัวทั้งหมด
“ชิส์ คนยืนอยู่นี่ทั้งคนไม่เห็นมาทักกันเลย” น้ำเสียงประชดประชันของหญิงสาวที่เพิ่งจะตื่นเต้นดีใจเมื่อครู่ทำให้เรียวปากสวยอมยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไม่มองหน้าบูดบึ้งของพี่สาว
“อะ โอ๋ๆ อย่างอนเค้าสิพี่อิงคนสวย จุ๊บ” กุลนรีหอมแก้มพี่สาวฟอดใหญ่ออดอ้อนให้เธอคลายเรียวคิ้วที่ขมวดเอาไว้ออก
“ไม่ต้องมาพูดดีเลย...ไปตั้งนาน พอกลับมาก็ไม่คิดจะทักทายพี่”
“เปล่านะ เค้าไม่ได้คิดแบบนั้น คิดถึงเหมือนกัน คิดถึงที่สุดเลย” หญิงเน้นเสียงสูงเพื่อให้พี่สาวรับรู้ว่า เธอคิดถึงมากแค่ไหน แขนยาวเอื้อมโอบตัวพี่สาว กุลธิดาบ่ายเบี่ยงเล็กน้อย แต่เสียงออดอ้อนและแววตาใสซื่อก็ทำให้เธอต้องยอมใจอ่อน
“พอได้แล้ว กลับไปงอนกันต่อที่บ้านเถอะลูก แม่หิวข้าวจะแย่แล้วนะเนี่ย”
“นั่นสิ มัวแต่มาฉอเลาะกันอยู่ตรงนี้ พ่อเริ่มจะอายคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วนะ”
กุลธิดา จิระโชติ และ กุลนรี จิระโชติ สองพี่หน้าฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันจนแยกแทบไม่ออก ทั้งคู่แยกจากกันเมื่อเรียนจบปริญญาตรี กุลนรี ขอไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเพื่อทำตามความฝันของเธอ ส่วนคนพี่รับช่วงต่อกิจการค้าขายของครอบครัว เช้าวันนี้เป็นวันแรกในรอบสองปีที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว ทำให้บิดา มารดา ยิ้มหน้าบานไม่หุบชื่นใจที่ลูกสาวทั้งสองเรียนจบ และยังเป็นลูกที่ดีของตัวเอง
บ้านไม้ในสวนเล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นเสียจนสมาชิกในบ้านไม่อยากก้าวออกไปไหน ร่างบางอรชรเดินจูงมือกันไปนั่งพักผ่อนเมื่อยล้าจากการเดินทางที่ยาวนาน
“ดื่มน้ำกระเจี๊ยบเย็นๆ ก่อนนะเอย แม่ทำไว้ตั้งแต่เช้ามืดแล้ว”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่...บ้านเราเงียบดีจังเลยนะคะ”
“บ้านกลางสวนไม่มีเสียงเอะอะโวยวาย แล้วก็เสียงรถลาหรอกลูก” กนิษฐ์ตอบลูกสาวเสียงเนิบๆ
“ไม่คุ้นล่ะสิ ก็เอยไปอยู่เกาหลีตั้งนาน รู้มั้ยว่าที่นี่มันเงียบจนเหงาเลยล่ะ”
“เหงาเพราะไม่ได้ยินเสียงเค้าล่ะสิ” กุลธิดาเบ้ปาก เมื่อน้องสาวรู้ทัน เธอดีใจมากกับการกลับมาครั้งนี้ของน้องสาว เพราะที่ผ่านมาทั้งคู่ไม่เคยแยกจากกัน ไม่ว่าจะไปไหนฝาแฝดคู่นี้ก็ไปด้วยกันราวกับมีร่างกายติดกัน ยิ่งใบหน้าที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนสร้างความปั่นป่วนให้คนที่พบเห็นไม่น้อย คนใกล้ชิดเท่านั้นที่จะแยกพี่น้องคู่นี้ออกจากกันได้
“ช่วงนี้ไม่ได้เข้ากรุงเทพเหรอคะคุณพ่อ” หญิงสาวตั้งคำถามที่ทำเอาบิดาต้องหันสบตาภรรยาราวกับขอให้นางช่วยตอบคำถามแทนเขา คิ้วสวยเลิกขึ้นสูงมองหน้าบิดา มารดา สลับกันไปมา
“คะ คือ ช่วงนี้ออเดอร์เราน้อย คุณพ่อก็เลยมีเวลาพักผ่อนไงจ๊ะ” กุลธิดาเป็นฝ่ายชิงตอบเสียเอง เพื่อลดอาการหนักใจของบุคคลทั้งสอง
“แล้วที่ร้านเป็นยังไงบ้าง ไม่เห็นเขียนจดหมายไปเล่าให้เอยฟังเลยค่ะ”
“ก็ปกติ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” เสียงที่นิ่งเรียบของบิดายิ่งทำให้หญิงสาวเกิดความสงสัย ร้อยวันพันปีผู้ชายที่อารมณ์ดีที่สุดคนนี้ไม่เคยนิ่งเฉยมาก่อน นี่ถ้าบอกว่าเขาปกติเธอคงตอบได้เลยว่าไม่เชื่อเด็ดขาด
“ไม่สบายหรือเปล่าค่ะคุณพ่อ”
“สบายดีลูก พ่อไม่เป็นอะไร สงสัยวันนี้จะตื่นเช้าไปหน่อย”
“นั่นสินะ ขึ้นไปพักผ่อนข้างบนก่อนดีกว่าค่ะคุณกนิษฐ์” ภรรยาคนสวยรีบเสริมคำพูดสามีทันที ก่อนที่นางจะเกี่ยวแขนเขาแล้วเลี่ยงเดินหนีสายตาที่กำลังตั้งคำถามของบุตรสาวคนเล็ก
“พี่อิง มีอะไรค่ะเรื่องที่รีบให้เอยกลับมาที่นี่” กุลธิดาหน้าซีดลงเล็กน้อย เมื่อน้องสาวหันมาตั้งคำถามกับเธอ
“พี่จะเล่ายังไงดีล่ะ”
“โอ๊ย เอาให้เอยรู้เรื่องก็พอค่ะ” หญิงสาวเริ่มเบื่อหน่ายทางท่าอึกอักของพี่สาวจนต้องจับไหล่เรียวหมุนให้เธอเผชิญหน้าด้วย
“ก็ได้ ตั้งใจฟังนะยัยน้องที่รัก ตอนนี้บ้านเรากำลังถึงคราวหายนะแล้ว”
“หายนะ” กุลนรีร้องเสียงหลง ดวงตากลมเบิกกว้าง
“อืม พี่ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ว่า อะ เอ่อ มันเหมือนนิยายน้ำเน่าน่ะยัยเอย”
“ก็รีบเล่ามาสิ เอยลุ้นจนปวดท้องแล้วเนี่ย”
“คุณแม่กับคุณพ่อ เคยมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง คุณแม่เล่าว่าแต่ก่อนบ้านเรายากจนมาก เพื่อนสนิทคนนี้เลยให้เงินมาสร้างครอบครัวและกิจการโดยไม่คิดดอกเบี้ยแม้แต่บาทเดียว”
“ใจดีมาก”
“คุณพ่อกับคุณแม่เห็นว่าทั้งสองใจดีมีเมตตา ไม่รู้จะตอบแทนด้วยวิธีไหน ท่านก็เลยสัญญาว่าถ้ามีลูกเมื่อไหร่จะให้หมั้นหมายกับลูกของบ้านนั้น”
“ห๊า มะ หมั้นหมาย นี่มันละครตอนเย็นหรือเปล่าพี่อิง”
“พี่ก็ตกใจไม่แพ้เธอหรอกนะ”
“มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่มั้ย”
“เธอฟังไม่ผิดหรอก...แต่ที่สำคัญมันอยู่ที่พี่เป็นลูกสาวคนโต คุณพ่อกับคุณแม่เลยจะให้พี่หมั้นหมายกับใครก็ไม่รู้ ฮือๆ” กุลธิดาเปลี่ยนอารมณ์ทันทีที่พูดจบ เธอร่ำไห้สะอื้นอยู่บนไหล่เรียวของน้องที่ยังคงตกใจไม่หาย
“พะ พี่อิง มันคงไม่แย่แบบนั้นหรอกน่า”
“ฮือๆ ไม่แย่อะไรกันล่ะ เพื่อนคุณพ่อกับคุณแม่กำลังจะมาดูตัวพี่อีกสามวันแล้วนะ พี่จะทำยังไงดี ฮือ”
“สะ สามวัน ไม่เอานะเอยไม่ให้พี่อิงแต่งงานกับใครที่ไม่รู้จักแบบนี้หรอก เอยจะต้องคุยกับคุณพ่อ คุณแม่ให้รู้เรื่อง”
“พี่คุยกับท่านแล้ว แต่ว่าเงินทองที่ท่านยืมมามันมากมาย คงไม่มีเงินไปคืนเค้าแน่ๆ”
“แล้วเค้าทวงหรือไง”
“เปล่า แต่เค้าของแลกเปลี่ยนเป็นสู่ขอพี่ให้ลูกชายเค้า”
“โธ่ ทำไมไม่ปฏิเสธไปล่ะ”
“สงสารคุณแม่ พี่กลัวท่านจะทุกข์ใจจนป่วยหนัก”
“บ้าจริงเชียว นี่มันสมัยไหนกันแล้วการคลุมถุงชนมันไม่มีแล้วนะ”
“พี่ไม่รู้จะทำยังไงแล้วยัยเอย”
“เอาเถอะเอยว่าค่อยๆ คิดก็แล้วกัน มันต้องมีทางออกสิคะ”
“ช่วยพี่ด้วยนะ พี่กลัว”
“อืม เอยจะอยู่ข้างๆ พี่อิงนะคะ” ทั้งสองพี่สาวถอนหายใจพร้อมกัน ทุกเรื่องที่กุลธิดาเล่าให้ฟังนั้นคล้ายๆ ละครในโทรทัศน์ที่เธอเคยดู เธอยังเคยแอบตำหนิเวลาตัวละครยอมทำอะไรง่ายๆ เหมือนคนสิ้นคิด แต่พอเรื่องเล่านั้นเกิดขึ้นกับตัวเอง หญิงสาวก็พอจะเข้าใจว่าความหนักใจมันมีมากเสียจนเธอทำอะไรไม่ถูก มือบางได้แต่กุมมือพี่สาวปลอบโยนให้จิตใจของเธอไม่เศร้าหมอง และคลายกังวล
กุลธิดามองใบหน้าน้องสาวอย่างขอความช่วยเหลือ จะมีใครบ้างที่ยอมตกลงแต่งงานทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นใครรูปร่างหน้าตาแบบไหน และนิสัยใจคอเป็นยังไง ถ้าเขาดีเธอก็คงโชคดีไป แต่ถ้าเขาไม่ดีป่าเถื่อนโหดร้ายเธอไม่ทุกข์ใจไปตลอดชีวิตหรือ ยิ่งคิดร่างบางก็สะอื้นหนักจนน้องสาวโอบกอดเอาไว้แน่น ดวงตาแดงกล่ำหรี่ไล่น้ำตาให้ไหลลงอาบสองแก้มเนียน หญิงสาวปวดใจอย่างมากเพราะตลอดเวลาที่ผ่านในหัวใจดวงน้อยของเธอมีเงาของใครคนหนึ่งอยู่แล้ว คนที่เธอเฝ้ารอคอยมาตั้งหลายปี แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปากบอกให้ใครรับรู้ แม้แต่ฝาแฝดผู้น้องคนนี้ก็ตาม
