ตอนที่ 4 – โลกที่เหมือนฝัน - 2
เสียงนั้นทำให้เขาสะดุ้ง — เพราะมันคือเสียงเดียวกับที่เขาได้ยินทุกครั้งเวลามีลูกค้าเข้าร้าน “ลาเต้ในฝัน” ที่โลกเดิมของเขา
คเชนทร์ยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เหมือนจะรอฟังเสียงกระดิ่งอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเงียบลง มีเพียงเสียงลมอ่อน ๆ พัดใบไม้สั่นไหว เขาก้าวเดินต่อไปโดยไม่รู้ตัว
ท้องฟ้าเริ่มโปร่ง แดดยามบ่ายอ่อน ๆ ส่องลงบนพื้นหญ้า
เขาเดินกลับเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง — ทางเดินเก่าที่เขาเคยจำได้ทุกก้าวยังอยู่ครบ แต่บางอย่างกลับแปลกตาไป
อาคารเรียนใหม่ที่ไม่ควรมีในปีนั้นกลับปรากฏขึ้น
ป้ายชื่อคณะเปลี่ยนไป
และสิ่งที่ทำให้เขาเริ่มใจเต้นคือ…ป้ายประกาศเล็ก ๆ ข้างกำแพง ที่มีชื่อของเขาอยู่บนนั้น
“ประกาศรายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบคัดเลือกนิทรรศการออกแบบสถาปัตยกรรม – คเชนทร์ วัฒนะธีรากุล”
เขาจำได้ทันทีว่านั่นคือโปรเจกต์ที่ ในอดีตจริงของเขา เขาพลาดไปเพราะลืมส่งเอกสารสมัครตรงเวลา
แต่ตอนนี้ชื่อของเขากลับอยู่ตรงนั้นแล้ว
คเชนทร์ยืนมองป้ายนั้นนิ่งอยู่นาน ความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้ามาในอก — ราวกับมีใครบางคนแก้ไข “เส้นเวลา” ให้กับเขาโดยที่เขาไม่ได้ขอ
“หรือว่าโลกนี้…กำลังซ่อมบางสิ่งที่ฉันเคยทำพลาดไว้?”
ลมหายใจของเขาหนักขึ้น เขาเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นไหวบางอย่างในอากาศ — เหมือนเวลาในที่นี้ไม่ต่อเนื่องกันดีพอที่จะเป็นโลกจริง
เขาเดินต่อไปทางสตูดิโอเรียนออกแบบ แสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่างกระจกยาวจนเห็นฝุ่นในอากาศเต้นระยิบเหมือนละอองฝัน ทุกสิ่งดูเงียบผิดปกติจนเขาต้องหยุดฟัง
“คเชนทร์...”
เสียงหนึ่งแผ่วเบาลอยมา — เสียงเรียกชื่อเขาอย่างอ่อนโยนจากมุมห้อง
เขาหันไปทันที แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
เสียงนั้นเหมือนลอยมาจากอีกที่หนึ่ง — ที่ไกลเกินเอื้อม แต่ใกล้เกินจะลืม
หัวใจเขาเต้นแรง ความเย็นวูบผ่านหลัง มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาเดินช้า ๆ ไปที่โต๊ะไม้ตรงมุมห้อง โต๊ะที่เขาจำได้ว่าเคยใช้ตอนทำโปรเจกต์ปีสุดท้าย
บนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่
ในกระดาษนั้น มีลายมือเขียนว่า
“ทุกอย่างเริ่มต้นจากการตื่นขึ้นในคืนฝนตก”
คเชนทร์ยืนนิ่งอยู่นาน เหมือนเวลาหยุดไปทั้งห้อง เขามองประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า — มันคือคำพูดเดียวกับที่เขาเคยใช้เปิดบันทึกประจำวันในวัย 50 ก่อนเกิดอุบัติเหตุ
มือของเขาสั่นไม่หยุด ความจริงกับความฝันเริ่มทับซ้อนกันจนแทบแยกไม่ออก เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกบางสิ่งนำทางอยู่
“ใครกัน...ที่เขียนประโยคนี้ไว้ให้ฉัน?”
เขานั่งลงตรงโต๊ะนั้นอย่างเงียบ ๆ แสงจากหน้าต่างทอดเงายาวบนพื้น เขาเอื้อมมือแตะหมึกบนกระดาษ — มันยังไม่แห้งดีด้วยซ้ำ
หัวใจเขาเริ่มเชื่อในสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ — ว่าบางที อาจมีใครอีกคนอยู่ในโลกนี้ด้วย และอาจรู้ว่าเขา “ไม่ใช่คเชนทร์คนเดิมของที่นี่”
เสียงระฆังจากตึกเรียนดังขึ้นตัดความคิด เขาสะดุ้งเล็กน้อย หยิบกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋า แล้วเดินออกไปอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าทุกอย่างจะหายไปถ้าเขากะพริบตา
เมื่อเดินถึงหน้าตึก เขาเห็นนักศึกษาสองสามคนยืนคุยกัน เสียงหัวเราะของพวกเขาฟังดูเหมือนเพลงที่หายไปนานในความทรงจำของเขา — บริสุทธิ์ อ่อนโยน และเต็มไปด้วยชีวิต
เขายืนนิ่ง มองภาพนั้นอยู่นาน แล้วจู่ ๆ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงอีกครั้ง
เมฆครึ้มปกคลุมเหนือมหาวิทยาลัย ฝนเม็ดแรกตกลงบนไหล่ของเขา
คเชนทร์เงยหน้ามองฟ้า ความรู้สึกปวดหนึบในอกแล่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ฝนอีกแล้ว…” เขาพึมพำ
แต่คราวนี้ มันไม่ใช่ฝนธรรมดา — เพราะเสียงฝนที่ตกกระทบพื้นนั้น มีจังหวะเดียวกับเสียงเครื่องยนต์ในคืนที่เขาประสบอุบัติเหตุ
“แกร่ก…แกร่ก…แกร่ก…”
เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ ในหัว เหมือนฟ้าผ่ากลางสมอง เขาปิดหูแน่น แต่เสียงยังคงอยู่
มันคือเสียงเครื่องยนต์สุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนความมืดกลืนกินทุกอย่างในคืนฝนตก
ภาพฝันเริ่มซ้อนขึ้นตรงหน้า — เสียงยางรถเสียดถนน เสียงฝนกระทบกระจก เสียงหัวใจเต้นกระหน่ำ — ทุกอย่างกลับมาทั้งหมดในชั่ววินาทีเดียว
คเชนทร์ทรุดลงกับพื้น หายใจแรงเหมือนกำลังจะขาดอากาศ
ในขณะเดียวกัน เสียงฝนก็เบาลง... และตามมาด้วยเสียงใครบางคนพูดเบา ๆ ข้างหู
“อย่ากลัวเลย…คุณแค่หลับอยู่ในความฝันของตัวเองเท่านั้น”
เสียงนั้นอ่อนโยนและชัดเจนในหัว
เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ — เห็นเพียงเงาร่างของผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ไกล ๆ กลางฝน ใบหน้าเบลอราวกับอยู่หลังม่านน้ำ
“ใคร...” เขาพยายามเรียก แต่เสียงขาดหาย
ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง เหมือนเวลาหยุดอีกครั้ง — เหลือเพียงเสียงฝนที่ตกช้า ๆ และกลิ่นกาแฟที่ลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง
