บทย่อ
"เมื่อชายวัย 50 ได้โอกาสย้อนเวลากลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้ง เขาคิดว่าจะได้แก้ไขอดีต...แต่กลับค้นพบว่ารักแท้ที่ตามหามาตลอดคือผู้หญิงที่รอเขาอยู่ในโลกแห่งความจริง"
ตอนที่ 1 – คืนที่ฝนตก
เสียงฝนกระทบกระจกใสของห้องจัดเลี้ยงเป็นจังหวะเบา ๆ คล้ายเสียงลมหายใจของใครบางคนที่เหนื่อยล้าเกินจะเอื้อนเอ่ยคำใดต่อ โลกด้านนอกพร่ามัวด้วยละอองน้ำและแสงไฟนีออนที่ส่องสะท้อนจากพื้นถนนจนดูเหมือนภาพวาดที่ใครบางคนเผลอปาดสีผิดจังหวะ
ภายในห้องจัดเลี้ยงใหญ่ แสงจากโคมระย้าสีอำพันส่องกระทบแก้วไวน์และถ้วยช้อนเงินจนแวววับไปทั่ว เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย และเสียงดนตรีแจ๊สคลอเบา ๆ จากเวที ผสมกันเป็นท่วงทำนองของค่ำคืนแห่งความสำเร็จของบริษัทที่เขามีส่วนร่วมสร้างขึ้นมา
คเชนทร์นั่งอยู่ริมโต๊ะ มุมที่ผู้คนมักไม่สังเกตเห็น ใบหน้าเรียบสงบแต่แววตาเต็มไปด้วยความเหงา ความเหนื่อยล้าในรอยย่นเล็ก ๆ ข้างตาบอกเรื่องราวของเวลาได้มากกว่าคำพูดใด ๆ
เขายกแก้วไวน์ขึ้นหมุนเบา ๆ สีแดงของมันสะท้อนแสงไฟระยิบระยับคล้ายแสงเทียนที่ริบหรี่ในพายุ ความหวานขมของรสไวน์แตะปลายลิ้น เหมือนเตือนให้ระลึกถึงความจริงข้อหนึ่งว่าชีวิตไม่เคยอ่อนโยนกับใคร
เสียงผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่พูดบนเวทีถึงความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยพลังและความหวัง เขามองภาพนั้นนิ่ง ๆ ยิ้มบาง ๆ แต่ในใจกลับว่างเปล่าจนหนาว
“คุณคเชนทร์ครับ มาถ่ายรูปร่วมกันหน่อยครับ!”
เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้น เขาพยักหน้ารับ ก่อนเดินเข้าไปกลางกลุ่มคน ใบหน้าทุกคนยิ้มกว้างเมื่อแฟลชวาบขึ้นหนึ่งครั้ง
ในเสี้ยววินาทีนั้น เขาเห็นเงาของตัวเองในกระจกหลังเวที — ชายวัยห้าสิบ ผู้เคยฝันจะสร้างอะไรบางอย่างยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเขาเหลือเพียงเงา ไม่ใช่ตัวตนจริงอีกต่อไป
หลังถ่ายรูปเสร็จ เขากลับมานั่งที่เดิม เสียงเพลงเปลี่ยนจังหวะเป็นบลูส์ช้า ๆ ทว่าความรู้สึกในอกกลับแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีบางสิ่งจุกอยู่กลางอกที่ไม่สามารถกลืนหรือพูดออกมาได้
เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เข็มสั้นชี้เลขเก้า
ยังไม่ดึกมาก แต่สำหรับเขา ค่ำคืนนี้เหมือนผ่านมานานหลายปีแล้ว
คเชนทร์ลุกขึ้น เดินออกจากห้องโดยไม่เอ่ยลาใคร
รองเท้าหนังขัดเงาของเขากระทบพื้นพรมหนานุ่ม เสียงฝีเท้าค่อย ๆ จางหายไปกับเสียงฝนที่ดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ
โถงโรงแรมเงียบกว่าที่คิด
เพียงเสียงพายุฝนที่ซัดกระจก และแสงไฟสีส้มที่สะท้อนละอองน้ำราวกับมีใครกำลังร้องไห้อยู่ด้านนอก
เขายืนมองฝนตกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบร่มจากพนักงานต้อนรับ แล้วเดินออกไปยังลานจอดรถ กลิ่นฝนผสมกลิ่นดินเปียกชื้นลอยแตะจมูก นั่นคือกลิ่นของ “การเริ่มต้น” สำหรับบางคน แต่สำหรับเขา มันคือกลิ่นของ “การสิ้นสุดบางอย่าง”
ภายในรถหรูที่เงียบสนิท เขาวางร่มไว้เบาะข้าง เปิดวิทยุเบา ๆ เสียงเพลงแจ๊สคลอขึ้นอีกครั้งเพลงเดียวกับที่เปิดในงานเลี้ยงเมื่อครู่ แต่ตอนนี้ฟังดูเศร้ากว่าหลายเท่า
เขาเอนหลังพิงเบาะ หลับตาอยู่ครู่หนึ่ง เสียงฝนบนหลังคารถดังรัวเหมือนใครกำลังเคาะประตูใจที่เขาไม่อยากเปิดอีก
เขาเปิดตา สูดลมหายใจยาว ก่อนขับออกจากลานจอด
ถนนยามค่ำคืนสะท้อนแสงไฟจากเสาไฟฟ้าทอดยาวเป็นเส้นสายสีทองบนพื้นเปียก
ทุกหยดฝนที่กระแทกกระจกหน้าเหมือนคำถามที่เขาไม่เคยหาคำตอบได้
“ชีวิตมันควรจะรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ…”
เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง
ในวัยห้าสิบ ปีที่ควรจะเป็นช่วงเวลาของความสงบ เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่กลางทางแยกที่ไม่มีป้ายบอกทาง ไม่มีจุดหมายให้มุ่งหน้า มีเพียงความเงียบกับความทรงจำที่ผุดขึ้นไม่หยุด
เขาเคยคิดว่า “เวลา” จะช่วยเยียวยาทุกอย่าง
แต่เปล่าเลย...
มันเพียงทำให้เขาชินกับความว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น
ภาพของเพื่อนร่วมงานที่หัวเราะในงานเลี้ยงเมื่อครู่ยังติดตา แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมองพวกเขาจากที่ไกลมาก เหมือนคนที่ยืนอยู่นอกกรอบกระจกของโลก
เขาขับช้า ๆ ฝ่าฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เสียงยางบดถนนเปียกดังกึก ๆ เป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจที่หนักอึ้ง
มือของเขาวางนิ่งบนพวงมาลัย แสงจากไฟหน้ารถลอดผ่านม่านฝนเป็นลำยาวสว่างวูบวาบ ละอองน้ำแตกกระจายราวกับละอองแสงในความฝัน
เขามองป้ายทางโค้งข้างหน้า เห็นเงาแม่น้ำอยู่ลิบ ๆ ใต้สะพานข้าม เขามักเลือกเส้นทางนี้กลับบ้านเสมอ เพราะมันเงียบ และไกลจากเสียงผู้คน
“เงียบดี...” เขาคิดในใจ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ
แต่รอยยิ้มนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อหัวใจกลับมาหนักเหมือนเดิม
ในความมืดที่มีเพียงไฟหน้ารถสาดไปข้างหน้า เขารู้สึกเหมือนกำลังขับอยู่ในอุโมงค์ที่ไม่มีทางออก ไม่มีสิ้นสุด
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่หยุดขับ
เพราะบางครั้ง “การหยุด” ก็เจ็บกว่าการ “ไปต่อ”
เขาเอื้อมมือไปเปิดกระจกลงเล็กน้อย ละอองฝนปลิวเข้ามาแตะข้างแก้ม
ความเย็นนั้นทำให้เขาสะดุ้งนิด ๆ
แต่เขากลับรู้สึก “มีชีวิต” ขึ้นมาเพียงชั่วครู่
“เรายังหายใจอยู่นี่นะ…” เขาคิด
แต่กลับไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่
เขาคิดถึงบ้าน
บ้านหลังใหญ่ที่เงียบราวกับไม่มีใครอยู่
โต๊ะอาหารที่ว่างเปล่า
เสียงนาฬิกาเดินซ้ำ ๆ ทั้งคืนเป็นเพื่อนคนเดียวที่ยังซื่อสัตย์ต่อเขา
“ชีวิตคนเรามันเหลืออะไร ถ้าไม่มีใครให้กลับไปหา...”
เสียงคิดในใจแผ่วเบาแทบกลืนไปกับเสียงฝน
เขาเพิ่มเสียงเพลงในรถ
ท่วงทำนองช้า ๆ จากแซ็กโซโฟนดังคลอราวกับโลกกำลังกล่อมให้เขาหลับในอ้อมกอดของความเหนื่อยล้า
ฝนตกแรงขึ้นอีก ถนนเริ่มลื่น
เขาเพ่งมองเส้นขาวบนถนนข้างหน้า แต่สายตาเริ่มพร่าเพราะละอองน้ำและแสงไฟที่สะท้อนกันวูบวาบ
“อย่าหลับตอนนี้…” เขาบอกตัวเอง
แต่เปลือกตากลับหนักขึ้นอย่างประหลาด
เสียงเพลงค่อย ๆ เลือนหาย เหลือเพียงเสียงฝนที่กลายเป็นเหมือนเสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งซ้ำ ๆ
เขาเอนตัวพิงเบาะ
ในหัวผุดขึ้นคำถามหนึ่งที่วนเวียนมาทั้งชีวิต —
“สุดท้ายแล้ว...เราทำงานหนักไปเพื่อใคร?”
ไม่มีคำตอบ
มีเพียงภาพพร่าเลือนของแสงไฟจากรถคันสวนที่สาดเข้าตาอย่างจัง
เขาเผลอหักพวงมาลัยหลบโดยสัญชาตญาณ
ล้อรถสะบัดแรง เสียงเบรกกรีดฝ่าความมืดดังลั่น
ร่างทั้งร่างถูกเหวี่ยงไปข้างหน้า
ภาพสุดท้ายที่เขาเห็น คือเส้นแสงไฟที่บิดเบี้ยว กับหยดน้ำที่แตกกระจายกลางอากาศ
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เสียงเหล็กเสียดสีกับราวสะพาน
เสียงกระจกแตกเป็นเศษฝนอีกชั้นหนึ่ง
และต่อจากนั้น...คือความเงียบสนิท
ไม่มีเสียงฝน
ไม่มีเสียงเพลง
ไม่มีแม้แต่เสียงหัวใจของตัวเอง
โลกดับลงช้า ๆ เหมือนใครปิดสวิตช์แสงไฟทีละดวง
และในความมืดนั้น — เขารู้สึกเพียงว่า “บางสิ่งกำลังจะเปลี่ยนไป”
“หรือว่าชีวิตของเราจะสิ้นสุดที่วันนี้...”
เขาคิดก่อนทุกอย่างจะมืดสนิท
...ความมืดค่อย ๆ คลี่ตัวออกทีละชั้น
เหมือนม่านหมอกบางที่ถูกแสงบางอย่างขับไล่ช้า ๆ
คเชนทร์รู้สึกว่าตัวเอง “ลอย” อยู่ในที่ใดที่หนึ่ง
ไร้น้ำหนัก ไร้เวลา
เสียงฝนเมื่อครู่ยังแว่วอยู่ไกล ๆ เหมือนเสียงจากอีกโลกหนึ่ง
เขาพยายามลืมตา
แต่กลับพบเพียงแสงสีทองอ่อน ๆ สาดอยู่รอบตัว
กลิ่นอุ่นคล้ายกลิ่นดอกไม้ที่คุ้นเคยแต่อธิบายไม่ได้ลอยแตะจมูก
เสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้นจากที่ไกลมาก...
แผ่วเบาราวกับสายลม
“ถึงเวลาแล้ว...คุณต้องกลับไป”
เขาขมวดคิ้ว
กลับไป?
กลับไปไหน...
ร่างของเขาร่วงผ่านละอองแสงนับพันที่ลอยฟุ้งเหมือนฝุ่นในแสงอาทิตย์
ภาพตรงหน้าค่อย ๆ ชัดขึ้นเป็นทุ่งกว้างยามรุ่งสาง
แสงอาทิตย์อ่อน ๆ สีทองทอดผ่านละอองหมอกบาง ๆ
เขามองเห็นเงาของ “ใครบางคน” เดินอยู่ท่ามกลางทุ่งกว้าง
หญิงสาวในชุดพยาบาลสีขาวสะอาดตา เธอหันหลังให้เขา
เส้นผมยาวสีน้ำตาลเข้มปลิวเบา ๆ ตามแรงลม
แผ่นหลังเล็กนั้นให้ความรู้สึกประหลาด —
เหมือนเขา “เคยรู้จัก” เธอมานานแสนนาน
เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า เรียกเบา ๆ
“คุณ...”
แต่เสียงของเขากลับไม่ออกมา มีเพียงลมหายใจอุ่น ๆ ที่กลายเป็นไอจาง ๆ ลอยสลายกลางอากาศ
หญิงสาวหยุดเดิน
เธอเอียงหน้าเล็กน้อยคล้ายจะหันกลับมา
แสงแดดสาดลงพอดี ทำให้เขาเห็นเพียงเสี้ยวแก้มขาวนวลของเธอ
ในวินาทีนั้น — ทุกอย่างเริ่มสั่นไหว
ท้องฟ้าเหนือศีรษะเปลี่ยนเป็นสีเทา ฝนบาง ๆ เริ่มโปรยลงอีกครั้ง
ละอองฝนซึมเข้าผิว เย็นเหมือนน้ำตาของใครบางคน
“อย่ากลัวเลย...”
เสียงเดิมกระซิบขึ้นอีกครั้ง แผ่วเบาจนแทบไม่ชัด
“ทุกสิ่งกำลังเริ่มต้นใหม่”
เขายื่นมือออกไป
แต่ทันทีที่ปลายนิ้วจะสัมผัสร่างนั้นทุกอย่างก็ดับวูบลง

