บทที่ 28 เทพอะนิวบิสบอกใบ้ (1/3)
“เจ้าทำอะไร” ตรัสถามอย่างสงสัย
“ของดีเจ้าค่ะ เดี๋ยวกลับไปถึงตำหนักของท่านแล้ว ข้าค่อยบอก แต่ตอนนี้ข้าต้องทำเช่นนี้ในห้องอื่นของตำหนักนี้อีก ท่านว่าควรเป็นห้องใดบ้างที่น้องชายท่านมักจะใช้บ่อยๆ”
“ห้องพักผ่อน ห้องอาบน้ำ สองห้องนี้ คนในวังจะใช้มากพอๆ กับห้องนอน”
“นำทางข้าไปเลยเจ้าค่ะ”
“แต่หน้าห้องมีบาล มหาดเล็กคนสนิทของมันนอนอยู่ ถ้าพวกเราเปิดประตูออกไป บาลจะตื่นขึ้น”
“ไม่เป็นไรเพคะ ข้ามีวิธี”
นัซย่าแตะลงที่กำไลอีกครั้ง ครั้งนี้ปรากฏหน้ากากรูปหมาไนสีดำ เธอสวมหน้ากากนี้ทันที เจ้าชายนาร์เมอร์ทอดพระเนตรอย่างประหลาดพระทัย
“ให้ข้าออกไปก่อน แล้วท่านค่อยตามมานะเจ้าคะ” เธอบอกก่อนจะเปิดประตูห้องบรรทมออกไป
บาล มหาดเล็กคนสนิทของเจ้าชายเฮเซ็ทตื่นขึ้นทันทีที่ประตูห้องเปิดออก หากมันต้องอ้าปากค้าง นัยน์ตาเหลือกลานอย่างหวาดกลัวเมื่อมองเห็นเทพอะนิวบิส***ที่สูงใหญ่จนเกือบจรดเพดานห้องก้าวออกมาจากห้องบรรทมของเจ้าชายเฮเซ็ท รอบกายของเทพอะนิวบิสเต็มไปด้วยแสงสีแดงดุจสีโลหิต
“นอนเสีย ถ้าเจ้ายังไม่อยากไปกับข้า” น้ำเสียงทรงอำนาจหากดุดันต่ำลึกราวปีศาจร้ายดังขึ้น
ร่างของมหาดเล็กผู้นั้นฟุบหมอบทันที ทั้งร่างสั่นระริก นัยน์ตาปิดสนิทด้วยความหวาดกลัวที่พรั่งพรูออกมาจากก้นบึ้งดวงวิญญาณ
ทึ่บ
ทึ่บ
หูได้ยินเสียงฝีเท้าอันหนักหน่วงเดินเฉียดผ่านร่างของมันไป มหาดเล็กผู้นี้ตกใจกลัวจนสิ้นสติไปเดี๋ยวนั้น
เจ้าชายนาร์เมอร์ที่ยืนมองอยู่ต้องนึกทึ่งกับวิธีจัดการของนัซย่า พระองค์ก้าวตามไปและพาเธอไปยังอีกสองห้องที่เหลือ นัซย่าติดตั้งของบางอย่างไว้ในสองห้องนั้น แล้วจึงให้เจ้าชายนาร์เมอร์พาเธอไปยังตำหนักของราชินีเนบเซมิ เธอติดตั้งบางอย่างไว้ที่นั่นเช่นกัน
“เจ้าทำอะไรในตำหนักของเฮเซ็ทและเนบเซมิ” เจ้าชายนาร์เมอร์ตรัสถามหลังกลับมาถึงตำหนักของพระองค์
“ข้าติดตั้งเครื่องมือบางอย่างที่จะทำให้ข้าสามารถสอดส่องพวกเขาได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ”
“ทำได้ถึงเพียงนั้น?” ตรัสถามอย่างประหลาดพระทัยที่สุด
“ใช่เจ้าค่ะ เพียงแต่ข้าจะพบเห็นอะไรหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าเวลาที่ข้าดูพวกมัน แล้วในเวลานั้นพวกมันทำอะไรที่สำคัญหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรที่สำคัญก็ต้องรอดูต่อไป แต่มันดีตรงที่ข้าไม่ต้องคอยเฝ้าพวกมัน แม้จะเสียเวลาที่ไม่รู้ว่าพวกมันจะเคลื่อนไหวเมื่อใด”
เจ้าชายน์เมอร์เข้าพระทัยก่อนจะตรัสต่อ “เข็มขัดล่องหน ถุงมือและพื้นรองเท้านี่ ข้าขอไว้ได้หรือไม่ เผื่อข้าจะออกไปสืบด้วยตนเอง”
คำขอนี้ทำให้นัซย่าชะงักไป เธอมีท่าทีลังเล เพราะนี่เป็นของในยุคของเธอ การปล่อยของเหล่านี้ไว้ในมือคนโบราณไม่น่าจะเหมาะสมเท่าใด
มองเห็นท่าทีของนางแล้ว เจ้าชายนาร์เมอร์ก็ทราบทันทีว่านางไม่ต้องการมอบให้ แต่พระองค์อยากลองใช้มันอีก เพราะทรงแน่พระทัยว่าจะช่วยนางสืบหาหลักฐานได้ดียิ่งขึ้น
“ให้ข้าไว้ใช้เถิดนะ จะได้ช่วยเจ้าสืบหาหลักฐาน ข้าคุ้นเคยกับในวังและรู้จักพวกมันมากกว่าเจ้านะ อย่าลืมสิ และข้ารับรองเลยว่าของเหล่านี้จะไม่ตกอยู่ในมือคนอื่นเด็ดขาด”
ตรัสจบก็ทรงโอบกอดนางไว้พร้อมกับจุมพิตริมฝีปากของนางอย่างหนักหน่วง ครู่ใหญ่จึงค่อยยอมถอนจุมพิตออก
“นะ คนดี ให้ข้านะ” ทรงออดอ้อนอย่างน่ารักนักในความรู้สึกของเธอ
ร่างงามเย้ายวนซบอยู่ในอ้อมอกของพระองค์ก่อนจะต่อว่าอย่างหมั่นไส้ “ท่านนี่ ร้ายนัก”
คำต่อว่านี้เรียกรอยแย้มสรวลกว้างได้ทันที
“เป็นอันว่าเจ้าตกลง”
“ถึงไม่ให้ ท่านก็ไม่ยอมอยู่ดี” นัซย่าพูดอย่างรู้เท่าทัน
“เทพธิดาของข้าช่างรู้ใจข้านัก” ตรัสจบก็กอดนางแน่นขึ้นก่อนจะจุมพิตแก้มเนียนทั้งสองข้างอย่างเอาใจ
“ต่อไป เจ้าก็ไม่ต้องลำบากปีนกำแพงวังเข้ามาสืบข่าว ข้าจะสืบให้เอง และถ้าข้ามีข่าวสำคัญ ข้าจะให้อนูคไปบอกเจ้า”
“เจ้าค่ะ นายท่าน” เธอรับคำอย่างหมั่นไส้ก่อนจะถูกเจ้าชายนาร์เมอร์จุมพิตราวกับจะกลืนกินอีกครั้ง เนิ่นนานนักกว่าจะทรงยอมปล่อยให้เธอกลับไป
“ฝ่าบาท ยังทรงมีพระชนม์อยู่ ทรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” บาล มหาดเล็กคนสนิทของเจ้าชายเฮเซ็ททักขึ้นทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องบรรทมเมื่อถูกเรียกหาในตอนเช้า
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร บาล” เจ้าชายเฮเซ็ทตรัสถามอย่างแปลกพระทัยก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
เรื่องราวที่บาลพบเจอเทพอะนิวบิสก็ถูกเล่าออกมาอย่างละเอียดด้วยความหวาดกลัว
“ข้าหมดสติไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว และได้ยินฝ่าบาทเรียกหาพอดี”
เจ้าชายเฮเซ็ทนิ่งอึ้ง หวาดหวั่นสั่นกลัวไปหมดเมื่อทราบว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเทพอะนิวบิสเสด็จมาเยือน หากแต่โชคดีที่องค์เทพมิได้ต้องการดวงวิญญาณของพระองค์ มิฉะนั้น เช้าวันนี้พระองค์ไม่ได้ตื่นบรรทมแน่นอน
“เจ้าไปทูลเชิญเสด็จแม่มาที่ตำหนักข้าโดยเร็วที่สุด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ยามนี้ราชินีเนบเซมินั่งนิ่งอึ้ง พระวรกายสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเรื่องราวจากบาล มหาดเล็กคนสนิทของเจ้าชายเฮเซ็ท
“เสด็จแม่ ข้าต้องไปมหาวิหารเฮคคาเพื่อบวงสรวงเทพีไอซิสและเทพอะนิวบิส เพื่อขอบพระทัยที่ยังทรงเมตตาไม่นำคา***ของข้าไป และเพื่อขออภัยหากข้าพลั้งเผลอทำสิ่งใดล่วงเกินพระองค์จนต้องเสด็จมาเมื่อคืนนี้” เจ้าชายเฮเซ็ทตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดผวา
“เจ้ารีบไปบวงสรวงเลย หากให้องค์เทพเสด็จอีกครั้ง เจ้าคงไม่มีโอกาสมาพูดกับข้าอีกแล้ว” ราชินีเนบเซมิเห็นด้วยทันที
นางกำนัลและทาสทั้งหลายถูกสั่งให้เร่งจัดหาข้าวของบวงสรวงอย่างเต็มพิธีการ พร้อมกับส่งคนไปแจ้งสังฆราชโฮรันให้เตรียมทำพิธีบวงสรวง วันรุ่งขึ้นเพียงเทพเคปรี***เสด็จสู่ท้องฟ้าได้ราวสองชั่วโมง ราชินีเนบเซมิและเจ้าชายเฮเซ็ทก็เสด็จถึงมหาวิหารเฮคคา
เจ้าชายนาร์เมอร์ที่ทราบข่าวนี้ในเช้าวันนี้จากมหาดเล็กซีเบกต้องทรงพระสรวลออกมาทันที
“ทรงขำอะไรพ่ะย่ะค่ะ” ซีเบกทูลถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่มีอะไร เจ้าไปทำงานของเจ้าเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ซีเบกรับคำก่อนจะถอยออกไป
เชิงอรรถ
***เทพอะนิวบิส (Anubis) เป็นโอรสของเทพีเนฟทิสและเทพเซต มีพระเศียรเป็นสุนัขไนสีดำเพราะออกเวลากลางคืน ทะเลทรายใกล้สุสาน ทรงได้รับความเคารพมากในไอยคุปต์ทะเลทรายแห่งตะวันตกที่เรียกว่าบ้านแห่งความตาย พระองค์จะแปลงเป็นสุนัขไนหรือเป็นสุนัขคอยติดตามเทพีไอซิส หรือเป็นสุนัขจิ้งจอก หรือสุนัขชูคอหมอบอยู่ที่ฐานหรือบนหลุมศพ
เทพอะนิวบิสเคยเป็นเทพแห่งความตายมาก่อนเทพโอไซริสและเป็นเทพแห่งความตายสำหรับฟาโรห์องค์แรก เทพีไอซิสทรงเลี้ยงพระองค์มาดั่งลูกในไส้ เมื่อโตขึ้นเทพอะนิวบิสจึงเป็นผู้ปกป้องพระนาง พระองค์เป็นผู้เสาะหาน้ำมันหอมหรือยาที่หายากในการทำมัมมี่ศพเทพโอไซริสร่วมกับเทพีไอซิสและเทพีเนฟทิสพระมารดา จากนั้นพระองค์จะทำพิธีศพให้เทพโอไซริส พิธีที่พระองค์ทรงคิดขึ้นนั้นเป็นรูปแบบพิธีการฝังศพในเวลาต่อมา
เทพอะนิวบิสมีบทบาทหลายประการ เช่น ทรงเป็นผู้ช่วยในการดองศพให้ถูกต้องและสร้างองค์ประกอบขึ้นมาใหม่ ทรงเป็นผู้รับมัมมี่ในหลุมศพเป็นการเปิดพิธีกรรม ทรงเป็นสื่อกลางในการนำวิญญาณไปที่สนามแห่งของขวัญจากฟ้า โดยใช้มือปกป้องมัมมี่ ที่สำคัญที่สุดคือทรงเป็นผู้ช่วยในการชั่งหัวใจ ทรงเป็นผู้ดูตาชั่งอย่างละเอียดโดยมีขนนกเป็นเครื่องวัด ถ้าขนนกเอนขึ้นแปลว่ามีความผิดมาก ถ้าขนนกเอนลงถือว่ามีความดีมาก และพระองค์จะเป็นผู้บันทึกการตัดสินนี้ไว้ เมื่อวิญญาณนั้นบริสุทธิ์ จะได้เข้าเฝ้าเทพโอไซริสเพื่อพิพากษาให้ไปสู่ในโลกแห่งวิญญาณใหม่ หากไม่บริสุทธิ์จะถูกลงโทษอย่างโหดร้าย
***ชาวไอยคุปต์หรือชาวอียิปต์โบราณเชื่อกันว่ามนุษย์ประกอบด้วยสิ่งสำคัญ 3 อย่าง ได้แก่
คา (Ka) คือ วิญญาณที่แฝงอยู่ในกายจริง เมื่อตายแล้วก็จะออกจากร่างและคงรูปเดิมทุกประการ แต่โปร่งใสและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
บา (Ba) คือ ส่วนที่เรียกรวมระหว่างร่างผู้ตายกับคา บางครั้งสามารถแปลงร่างเป็นนกที่มีหน้าเป็นคน ร่างแปลงนี้ต้องกลับมาที่หลุมศพในยามค่ำ
อัคฮ์ (Akh) เป็นส่วนของคนที่สถิตย์อยู่ท่ามกลางดวงดาวบนฟ้า และเป็นวิญญาณอมตะที่อยู่ห่างออกไปจากโลกมนุษย์ คติความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายของชาวอียิปต์โบราณ คือ เมื่อคนตาย ดวงวิญญาณ หรือ “คา” จะออกจากร่างไปเพียงชั่วคราว เพื่อเดินทางไปพบกับพระเจ้าในโลกหน้า แล้วจะกลับมาในวันหนึ่งข้างหน้า ข้อสำคัญคือ เมื่อวิญญาณกลับมาแล้ว ก็ต้องมีร่างกายอยู่ และร่างที่จะอาศัยอยู่ได้ ต้องเป็นร่างกายของตนเองเท่านั้น ดังนั้น "ความตาย" จึงเป็นเพียงการหลับชั่วคราว เพื่อรอคอยการเกิดใหม่ของดวงวิญญาณ
***เคปรี (Khepri) หรือ เคเปรา (Khepera) หมายถึง พระอาทิตย์ในยามรุ่งอรุณ รา (Ra) หมายถึง พระอาทิตย์ในยามเที่ยงวัน และอาตุมหรือตุม (Atum/Tum) หมายถึง พระอาทิตย์ในยามสายัณห์
