บทที่ 22 สารภาพรัก (1/3)
“ปกติข้าไปร่วมโต๊ะเสวยตอนเย็นกับเสด็จแม่ทุกวัน แต่วันนั้นบังเอิญข้าติดราชกิจจึงทำให้ไปร่วมโต๊ะเสวยช้าไป เมื่อไปถึง เสด็จแม่ยังทรงเป็นปกติ เพิ่งเสวยไปได้ไม่กี่คำ และยังทรงต่อว่าข้าว่าข้ามาช้า แล้วจู่ๆ เสด็จแม่ก็ทรงรู้สึกแสบร้อนอย่างรุนแรงราวกับว่ามีบางอย่างกำลังไหม้อยู่ในพระโอษฐ์ หายพระทัยลำบากอย่างยิ่ง ต่อมาไม่นานพระเสโทก็ท่วมพระวรกาย พระโอษฐ์ก็บวมเป่ง พระพักตร์แดงจัดอย่างน่ากลัว เมื่อแพทย์หลวงมาถึง พวกเขาก็ช่วยเสด็จแม่ไม่ได้” เจ้าชายนาร์เมอร์ตรัสอย่างโศกเศร้า
“เสด็จแม่ได้แต่ร้องด้วยความเจ็บปวด และทรงปวดมากขึ้นตลอดเวลา ไม่นานนักก็ทรงคลื่นไส้และอาเจียนเป็นเลือดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนข้าแทบขาดใจ จนเมื่อทรงอาเจียนครั้งสุดท้าย เลือดไหลจากพระโอษฐ์มากมายนัก แล้วเสด็จแม่จึง...” สุรเสียงขาดหายก่อนจะทรงเบือนพระพักตร์ไปอีกทาง พระอังสา (บ่า ไหล่) สั่นน้อยๆ บอกชัดว่าทรงกันแสงหากไม่มีเสียงให้ได้ยิน
นัซย่าก้าวเข้าไปหาเจ้าชายนาร์เมอร์และกอดพระองค์ที่ประทับนั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย เจ้าชายสะดุ้งขึ้นทันที ไม่เคยมีใครกอดพระองค์เช่นนี้ ยามนี้พระพักตร์ซบอยู่ที่ไหล่ข้างหนึ่งของนาง พระกรรณ (หู) ได้ยินที่นางเอ่ยอย่างนุ่มนวล
“ไม่เป็นไรนะเพคะ หากอยากกันแสง กันแสงเถิดเพคะ กันแสงให้พอ หม่อมฉันจะอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน” ถ้อยคำปลอบประโลมเช่นนี้ไม่เคยมีใครพูดกับพระองค์มาก่อน อ้อมกอดและถ้อยคำนี้ทลายกำแพงในพระทัยที่ปิดกั้นทุกอย่างออกจนหมดสิ้น
พระพาหา (แขน) สองข้างกางออกและโอบกอดนางไว้ก่อนจะทรงกันแสงออกมาด้วยความอัดอั้นตลอดสามปีนับแต่พระราชมารดาสวรรคต ทว่ายังคงไร้เสียง ทุกคนในห้องจึงเห็นเพียงแผ่นหลังบอบบางของนัซย่าและพระพาหาสองข้างของเจ้าชายนาร์เมอร์ที่โอบกอดนางไว้แน่น นัซย่าโอบกอดพระองค์ไว้ มือเรียวลูบพระปฤษฎางค์ (หลัง) อย่างปลอบประโลม
เธอเข้าใจเจ้าชายนาร์เมอร์เลยทีเดียวว่าพระองค์ต้องทรงสงสัยการสวรรคตของราชินีซากิอาห์ หากไม่ทรงทราบว่าจะทำอย่างไร เมื่อเธออธิบายทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้นได้ตรงจุดและพระองค์ต้องรื้อฟื้นความทรงจำในวันที่เสียพระทัยที่สุดออกมา พระองค์จึงคล้ายถึงขีดสุดของความอดทนอดกลั้นที่ฝืนเก็บไว้ตลอดสามปีเต็ม
ทุกคนมองดูเจ้าชายนาร์เมอร์ด้วยความเศร้าใจ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาโดยเฉพาะแม่ทัพอนูคและมหาดเล็กซีเบกที่ได้เห็นเจ้าชายนาร์เมอร์แสดงความอ่อนแอออกมา ยามนี้พวกเขาทั้งสองเข้าใจพระองค์อย่างชัดเจนแล้วว่าทรงคิดและรู้สึกเช่นไร เพราะตลอดมาพวกเขาเห็นเพียงความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของพระองค์มาตลอดนับแต่สูญเสียราชินีซากิอาห์
ครู่ใหญ่กว่าที่เจ้าชายนาร์เมอร์จะหยุดกันแสง พระองค์ยังคงกอดนัซย่าไว้อีกครู่เพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ พระหัตถ์ปาดเช็ดน้ำพระเนตรจนแห้ง มองเห็นพระเนตรแดงช้ำชัดเจน
“ดีขึ้นแล้วหรือไม่เพคะ”
“ข้าดีขึ้นแล้ว ขอบใจนะ นัซย่า ขอบใจมาก”
“ไม่เป็นไรเพคะ” เธอยิ้มหวานให้อย่างปลอบประโลม
มหาดเล็กซีเบกมองเห็นพระหัตถ์ของเจ้าชายนาร์เมอร์รวบมือสองข้างของนัซย่าขึ้น พระองค์ก้มลงจุมพิตที่หลังมือทั้งสองข้างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง นัซย่าต้องประหลาดใจกับการกระทำของพระองค์หากซีเบกตะลึงลานไปแล้ว
“เจ้าเป็นอะไร ซีเบก” แม่ทัพอนูคกระซิบถามเพราะยืนอยู่ใกล้กับเด็กหนุ่มคนนี้จึงมองเห็นอาการอ้าปากค้างของเขาชัดเจน
“เจ้าชาย...ทรง...เอ่อ...ยอมรับท่านนัซย่าเป็นคนรัก...” ซีเบกกระซิบตอบ คำตอบนี้ทำให้แม่ทัพอนูคต้องอ้าปากค้างไปอีกคนหากครู่เดียวก็ยิ้มร่า
“งานนี้เจ้าต้องช่วยข้า ซีเบก ช่วยให้เจ้าชายได้แต่งกับท่านนัซย่า ถ้าท่านนัซย่าเป็นราชินี อียิปต์บนของเราต้องรุ่งเรืองแน่นอน”
“จริงด้วยขอรับ ข้าช่วยแน่นอน ท่านนัซย่าเหมาะสมที่จะเป็นราชินีอียิปต์บนองค์ต่อไปที่สุด” ซีเบกกระซิบตอบอย่างเต็มใจ
“คราวนี้ฝ่าบาทลองมาฟังความคิดของหม่อมฉันเกี่ยวกับพระอาการก่อนที่ราชินีซากิอาห์จะสวรรคตกัน” นัซย่ากล่าวต่อถึงเรื่องที่ค้างคาอยู่หลังจากอารมณ์ของเจ้าชายนาร์เมอร์เป็นปกติแล้ว
“พระอาการของราชินีซากิอาห์นั้น หม่อมฉันบอกได้ว่าไม่ใช่อาหารเป็นพิษ เพราะอาการของผู้ที่ป่วยด้วยอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่จะคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย และบางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย อาการทั้งหมดนี้จะแสดงหลังจากรับประทานอาหารเข้าไปแล้วประมาณสองถึงสิบหกชั่วโมง”
“กรณีที่อาหารเป็นพิษจนทำให้ถึงแก่ความตายนั้น จะเป็นอาการแพ้แบบเฉียบพลัน ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารนั้นไปสองสามนาทีถึงหนึ่งชั่วโมง อาการที่ว่านี้ได้แก่ปากบวม หนังตาบวม คลื่นไส้ อาเจียน แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ความดันต่ำ ไม่รู้สึกตัว หายใจหอบเหนื่อย ชีพจรเบาและเร็ว หมดสติและเสียชีวิตในที่สุด”
“แต่อาการที่ฝ่าบาทเล่านั้น การอาเจียนเป็นเลือดจำนวนมาก ลักษณะนี้บอกได้อย่างเดียวว่าทรงถูกวางยาพิษ แต่จะเป็นพิษอะไรนั้น หม่อมฉันก็บอกไม่ได้ หากจะให้ทราบแน่ชัดก็ต้องชันสูตรพระศพของราชินีซากิอาห์”
“ชันสูตรพระศพ? ไม่ได้ ! การชันสูตรพระศพเป็นการรบกวนดวงพระวิญญาณ ข้าไม่อนุญาต” เจ้าชายนาร์เมอร์ปฏิเสธทันที
“ถ้าฝ่าบาทต้องการทราบความจริงเบื้องหลังการสวรรคตของราชินีซากิอาห์ ฝ่าบาทก็ต้องทรงยอมให้ชันสูตรเพคะ” นัซย่าบอกเรียบๆ
เจ้าชายนาร์เมอร์นิ่งเงียบหากยังทรงมีท่าทีไม่ยินยอม
“แต่ถึงฝ่าบาทจะยินยอม การชันสูตรพระศพก็ทำไม่ได้อยู่ดี” เธอกล่าวต่อ
ทุกคนต้องประหลาดใจ
“เพราะอะไรถึงทำไม่ได้” เจ้าชายตรัสถามทันที
“ราชินีซากิอาห์สวรรคตมานานถึงสามปีแล้ว เวลาสามปีทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ภายในพระศพย่อยสลายไปมาก ทำให้ยาพิษที่ยังตกค้างอยู่ในพระศพถูกทำลายไปหมด เรียกว่าไม่มีหลักฐานเหลืออยู่”
อีกทั้งในเวลานี้วิธีการทำมัมมี่ยังไม่ซับซ้อนยุ่งยากเท่าสมัยราชวงศ์ เบาะแสการสวรรคตของราชินีซากิอาห์จึงถูกทำลายไปตามธรรมชาติ
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบงัน
เชิงอรรถ
***การฝังศพสู่พื้นดินในระยะเริ่มแรกของวัฒนธรรมอียิปต์ จะทำโดยปล่อยให้เม็ดทรายที่แห้งและร้อนระอุไหลเข้าไปในหลุม โดยไม่มีการสร้างเครื่องกีดขวาง จุดประสงค์นี้ก็เพื่อให้เม็ดทรายที่แห้ง ปราศจากความชื้น ช่วยรักษาศพไว้ให้อยู่ในสภาพแห้งกรังเป็นเวลานานนับศตวรรษหรือพันๆ ปี ศพที่ถูกเก็บรักษาไว้ด้วยความแห้งแล้งของเม็ดทรายในลักษณะนี้ มีการขุดพบหลายแห่งด้วยกัน โดยสภาพศพจะมีผิวหนังและเส้นผมแห้งกรังติดอยู่กับโครงกระดูก
ชาวอียิปต์โบราณจะทำมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และนำไปฝังในลักษณะแนวนอนภายใต้พื้นทรายของอียิปต์ อาศัยแรงลมที่พัดผ่านในแถบทะเลทรายอาระเบียและทะเลทรายในพื้นที่รอบบริเวณของอียิปต์ เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของซากศพที่อาบด้วยน้ำยา
***กรรมวิธีการทำมัมมี่ (Mummification) ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ Embalming เป็นวิธีรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย และ Wrapping เป็นวิธีพันผ้าศพหลังผ่านขั้นตอนแรก ทั้งสองขั้นตอนใช้เวลาประมาณ 70 วัน โดยสัปเหร่อจะสวมหน้ากากหมาไน ซึ่งเป็นเศียรของเทพอะนิวบินอันเป็นเทพที่ทำหน้าที่สัปเหร่อ ต้องใส่สมุนไพรที่หน้ากากขณะทำงานเพื่อกลบกลิ่นศพ
Embalming คือ วางศพไว้บนเตียงหินมีขอบ ปลายเตียงมีรูให้ของเหลวที่เกิดจากการทำศพไหลลงภาชนะที่วางไว้บนพื้น จากนั้นจึงทำความสะอาดศพด้วย palm wine และสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม แล้วล้างด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์ ตามด้วยผ่าท้องบริเวณสีข้างหรือบั้นเอวด้านซ้ายด้วย sharp stone แล้วดึงอวัยวะภายในออก อวัยวะเหล่านี้เป็นแหล่งที่มีเชื้อ bacteria จำนวนมาก โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วย bacteria ที่เป็นสาเหตุให้ลำไส้ใหญ่เน่าก่อนแล้วลุกลามให้ส่วนอื่นของศพเน่าตามมา
อวัยวะที่นำออกมาได้แก่ กระเพาะอาหาร ปอด ตับ ลำไส้ หัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า เป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณ ส่วนเนื้อสมองนั้น แต่เดิมไม่ได้นำออก เมื่อศพแห้งสมองสูญเสียของเหลวจึงแห้งเหี่ยวเป็นก้อนกลิ้งอยู่ในกะโหลก เวลาเคลื่อนศพมีเสียงดัง ต่อมาจึงนำเนื้อสมองออกมาโดยใช้เหล็กที่มีปลายเป็นตะขอสอดเข้าไปทางรูจมูก ผ่านฐานกะโหลกส่วน ethmoid ซึ่งเป็นส่วนที่บางที่สุด เพื่อตีเนื้อสมองให้แตก แล้วคว่ำหน้าให้เนื้อสมองไหลออกมาทางจมูก เรียกวิธีนี้ว่า transethmoidal excerebration หลังจากนั้นจึงใส่น้ำมันดิน bitumen ที่ต้มจนเดือดเข้าไปแข็งตัวในกะโหลก บ้างก็ใช้ resin
อวัยวะต่างๆ ที่นำออกจากศพจะถูกล้างให้สะอาดแล้วกลบด้วยสารที่เรียกว่า natron ซึ่งเป็น native sodium carbonate และ sodium bicarbonate ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดน้ำได้ดี เมื่ออวัยวะเหล่านี้แห้ง จึงห่อด้วยผ้าแล้วเก็บในโถ (canopic jar) ที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรือหินสลัก ฝาโถสลักเป็นเศียรของเทพ 4 องค์ที่เป็นบุตรของเทพโฮรัส (เทพสูงสุดที่ชาวอียิปต์โบราณนับถือ) คือ ตับบรรจุในโถ Imsety เทพที่มีเศียรเป็นคน ปอดบรรจุในโถ Hapy เทพที่มีเศียรเป็นบาบูน กระเพาะอาหารบรรจุในโถ Duamutef เทพที่มีเศียรเป็นหมาไน และลำไส้บรรจุในโถ Qebehsenuef เทพที่มีเศียรเป็นเหยี่ยว
โถทั้ง 4 นี้ถูกเก็บไว้ในกล่องที่ถูกปกปักรักษาด้วยเทวี 4 องค์ คือ ไอซิส เนฟทิส เซลเคต และนีต โดยทำเป็นรูปสลักวางอยู่ที่มุมกล่องมุมละองค์ เป็นรูปเทวีทั้ง 4 กางปีกเพื่อปกป้องอวัยวะในโถ กล่องนี้ถูกเก็บไว้ในสุสานพร้อมศพ
ตัวศพจะถูกใส่ natron เข้าไปในช่องท้อง แล้วจึงกลบด้วย natron อีกชั้น มีการเปลี่ยน natron ทุก 3 วัน และใช้ระยะเวลา 40-60 วัน ศพก็จะแห้งสนิท ส่วนของเหลวที่เกิดจากการทำศพจะไหลออกทางรูที่ปลายเตียงลงสู่ภาชนะที่รองอยู่ด้านล่าง และถูกเก็บไว้เพื่อฝังไปพร้อมศพ
เมื่อครบกำหนดจึงล้างศพด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์ จากนั้นทาผิวด้วยน้ำมันเพื่อให้มีความยืดหยุ่น แล้วตกแต่งศพด้วยลูกตาเทียม ถ้าผู้ตายมีฐานะดีอาจติดขนคิ้วด้วยเส้นผม ใส่ผมปลอม หรือแต่งเล็บด้วยทองคำประดับพลอย อาจอัดเมล็ดพริกไทยเข้าไปในจมูกเพื่อป้องกันจมูกบี้ บ้างก็อัดลินินในช่องปากเพื่อให้แก้มเต่ง
ประมาณปี 1000 ก่อนคริสตกาล จึงเริ่มห่ออวัยวะภายในด้วยลินิน บรรจุกลับเข้าไปในช่องท้อง แล้วอัดด้วยขี้เลื่อย ใบไม้แห้ง หรือลินิน เพื่อให้สภาพใกล้เคียงกับเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ส่วนโถทั้ง 4 แม้ไม่ได้บรรจุอวัยวะภายในแล้ว ยังคงถูกเก็บไว้ในสุสานดังเดิม
Wrapping คือพันด้วยผ้าลินิน โดยเริ่มพันจากศีรษะ ปลายมือ ปลายเท้า คล้ายการพันเฝือกหลายชั้น ส่วนของนิ้ว แขนและขาให้พันแยกออกจากกัน ทุกชั้นทาด้วย resin เหลว ระหว่างพันผ้ามีการวางเครื่องรางหลายชนิด แล้วพันลินินทับ มีพิธีสวดมนต์ขณะพันผ้า และวางม้วนกระดาษ papyrus ที่เรียกว่า book of death หรือคัมภีร์มรณะ ไว้กลางลำตัว พันผ้าอีกหลายชั้น แล้วจึงห่อด้วยผ้าลินินที่วาดภาพเทพโอไซริสซึ่งเป็นเทพแห่งยมโลกและเป็นบิดาของเทพโฮรัส ห่อซ้ำอีกชั้นด้วยผ้าผืนใหญ่ แล้วจึงผูกด้วยลินินเป็นปล้องๆ แบบเดียวกับมัดตราสัง
จากนั้นทำพิธีเปิดปาก เปิดตา ด้วยความเชื่อว่าเพื่อให้มัมมี่มองเห็น กินอาหารและดื่มน้ำได้ แล้วจึงบรรจุในโลงศพที่มีลักษณะคล้ายรูปร่างคน 3 ชั้น แล้วจึงวางลงในโลงศพหิน (sarcophagus) เขียนรูปผู้ตายไว้ที่ฝาโลงหินเพื่อให้วิญญาณที่เรียกว่า Ka กลับร่างเดิมได้ถูกต้องขณะฟื้นคืนชีพ
ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่านอกจากร่างกายแล้วยังมีจิตวิญญาณ เรียกว่า unseen twin ประกอบด้วย Ka หมายถึง spirit และ Ba หมายถึง soul
Ba หรือ soul คือดวงวิญญาณที่มีลักษณะเป็นนกตัวเล็กๆ มีหัวเหมือนผู้ตายบินวนเวียนรอบๆ มัมมี่ ส่วน Ka หรือ spirit เป็นดวงจิตที่ตายไปพร้อมกับร่างกาย จึงต้องทำมัมมี่หรือสร้างรูปเหมือนไว้ให้ Ka อาศัย มัมมี่นับเป็นรูปเหมือนที่ดีที่สุด ต้องจัดอาหารให้ด้วย เพราะเชื่อว่าไม่เช่นนั้น Ka จะตายไปพร้อมร่าง เมื่อกลับมาเกิดใหม่ Ka และ Ba ก็จะมารวมกับร่างที่เตรียมไว้ เพื่อฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง
เรื่องของมัมมี่เป็นที่สนใจในวงการแพทย์มาช้านาน เพราะต้องศึกษาโดยให้มัมมี่คงสภาพเดิม จึงไม่สามารถผ่าออกมาศึกษาได้ ทำให้นักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในอดีตสามารถศึกษาร่างของมัมมี่ได้ในวงจำกัด โดยศึกษาทาง x-ray และส่องกล้อง (scope)
แต่ด้วยวิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าจนมีเครื่อง MRI ในปัจจุบัน จึงสามารถศึกษามัมมี่ได้ละเอียดมากขึ้น ทำให้พบโรคต่างๆ และสาเหตุการตายของชาวอียิปต์โบราณ เช่น เพดานโหว่ (cleft palate) กะโหลกแตก (fracture skull) โพรงอากาศที่กะโหลกอักเสบ (mastoiditis) โรคเหงือกและฟัน โรคที่พบบ่อยในอียิปต์โบราณ ได้แก่ โรคตา พยาธิ วัณโรค เกาต์ โรคไขข้อ (rheumatism) ฝีดาษ (smallpox) และโรคทางนรีเวช (women’s disease)
ส่วนยาที่ใช้ได้แก่ ขี้ผึ้ง (ointment) ยาน้ำ (potions) ยาเม็ดที่ทำจากสมุนไพร ไขมัน เลือด อวัยวะสัตว์ น้ำผึ้ง เป็นต้น
การทำมัมมี่ อียิปต์โบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตหลังความตาย เกี่ยวกับการหวนกลับคืนร่างของวิญญาณ จึงนำศพของผู้ตายมาทำความสะอาด ล้วงเอาอวัยวะภายในออกโดยใช้ตะขอที่ทำด้วยสำริดเกี่ยวเอาสมองออกทางโพรงจมูก แล้วใช้มีดที่ทำจากหินเหล็กไฟซึ่งมีความคมมาก กรีดข้างลำตัว เพื่อล้วงเอาตับ ไต กระเพาะอาหาร ปอดและลำไส้ออกจากศพ โดยเหลือหัวใจไว้
สาเหตุที่ไม่เอาหัวใจออกจากร่างด้วยเพราะเชื่อกันว่าหัวใจเป็นศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณ อวัยวะภายในเหล่านี้จะถูกแทนที่ด้วยวัสดุประเภทขี้เลื่อย เศษผ้าลินิน โคลน และเครื่องหอม จากนั้นอวัยวะทั้งหมดจะถูกนำไปล้างด้วยไวน์ปาล์ม เสร็จแล้วก็จะถูกบรรจุในภาชนะสี่เหลี่ยม มีฝาปิด ที่รู้จักกันในชื่อของคาโนปิค ส่วนร่างของผู้ตายจะถูกนำไปดองโดยใช้เกลือประมาณ 7-10 วัน เมื่อศพแห้งสนิทแล้ว จะถูกนำมาเคลือบด้วยน้ำมันสน จากนั้นจะตกแต่งและพันศพด้วยผ้าลินินสีขาวชุบเรซิน มัมมี่ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วจะบรรจุในหีบศพพร้อมเครื่องรางของขลังต่างๆ และมัมมี่บางตัวยังมีหน้ากากที่จำลองในหน้าของผู้ตายวางไว้ในหีบศพของมัมมี่อีกด้วย
