บทที่ 21 เรื่องที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ (3/3)
“แต่นี่เป็นเพราะราชินีซากิอาห์ทรงทราบดีว่าเจ้าชายนาร์เมอร์จะต้องทรงดำรงตำแหน่งรัชทายาท จึงทรงอบรมสั่งสอนเจ้าชายอย่างใกล้ชิด แม้ราชินีซากิอาห์จะทรงเข้มงวดในการศึกษาของเจ้าชาย แต่ก็ทรงปล่อยให้เจ้าชายได้พักผ่อนและทำตามพระทัยควบคู่กันไป ทำให้เจ้าชายร่ำเรียนอย่างมีความสุขและทำได้ดีเสมอมา”
“ขณะที่ราชินีเนบเซมิทรงเข้มงวดกับเจ้าชายเฮเซ็ทตลอดเวลา ทำให้เจ้าชายไม่พอพระทัย ผลการเรียนจึงยิ่งย่ำแย่ แม้เจ้าชายนาร์เมอร์จะทรงช่วยเหลือให้ทรงทำได้ดีขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผลมากนัก จนเมื่อเจ้าชายเฮเซ็ทพระชนมายุได้สิบเอ็ดพรรษา และเจ้าชายนาร์เมอร์สิบสามพรรษา องค์ฟาโรห์ทรงทำพิธีแต่งตั้งเจ้าชายนาร์เมอร์เป็นเจ้าชายรัชทายาท และทรงให้ข้าที่เป็นพระสหายกับเจ้าชายทั้งสองเป็นองครักษ์ให้เจ้าชายรัชทายาท”
“หลังเจ้าชายนาร์เมอร์ทรงได้ตำแหน่งรัชทายาทผ่านไปราวหกเดือน ท่าทีของเจ้าชายเฮเซ็ทที่มีต่อเจ้าชายนาร์เมอร์ก็เปลี่ยนไป เจ้าชายเฮเซ็ทแสดงท่าทีไม่พอพระทัยเจ้าชายนาร์เมอร์มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่พบกัน ข้าก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเจ้าชายจึงเปลี่ยนไป ขณะที่ราชินีเนบเซมิยังคงเป็นพระสหายที่ดีของราชินีซากิอาห์และเป็นพระมารดาเลี้ยงที่ดีของเจ้าชายนาร์เมอร์”
“ท่านไม่ทราบแต่ข้าทราบนะท่านแม่ทัพ”
“ท่านนัซย่าทราบได้อย่างไร เวลานั้นท่านไม่ได้อยู่กับข้าและเจ้าชายนาร์เมอร์นะขอรับ”
“ถึงไม่อยู่ ข้าก็ทราบ สิ่งที่เจ้าชายเฮเซ็ทแสดงคือความต้องการของมนุษย์ทุกคน ความต้องการของมนุษย์มีห้าประการ ประการแรกคือ ความต้องการทางร่างกาย เป็นความต้องการเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต เช่น อากาศ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม”
“สองคือความต้องการความปลอดภัย เป็นความต้องการความปลอดภัยมั่นคง ความคุ้มครองปกป้อง ความปลอดภัยจากการคุกคาม ปลอดภัยจากความวิตกกังวล สามคือความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ หมายถึงความต้องการทางสังคม เช่น ความต้องการความรัก อยากให้ตนเป็นที่รัก ได้รับการยอมรับจากกลุ่ม ต้องการมีส่วนร่วมในกลุ่ม”
“สี่คือ ความต้องการการยอมรับนับถือ หมายถึง ความต้องการความเคารพนับถือจากผู้อื่น และสุดท้ายคือ ความต้องการบรรลุศักยภาพสูงสุดแห่งตน เป็นความต้องการสูงสุดของบุคคลที่จะพยายามทำทุกอย่างตามความเหมาะสมและความสามารถของตนในทางที่สร้างสรรค์ดีงาม”
เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ทราบถึงความต้องการพื้นฐานของคนเรา
“ความต้องการตำแหน่งรัชทายาทของเจ้าชายเฮเซ็ทคือความต้องการการยอมรับนับถือ เพราะความสามารถของเขาด้อยกว่าเจ้าชายนาร์เมอร์ เขาจึงอิจฉาเจ้าชายนาร์เมอร์ ผู้ที่ดีกว่าเขาในทุกด้านมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งเมื่อเจ้าชายนาร์เมอร์ได้เป็นรัชทายาท ทุกคนจึงพากันเอาอกเอาใจเจ้าชายนาร์เมอร์”
“เจ้าชายเฮเซ็ทที่เคยได้รับความสนใจพอๆ กันมาตลอด กลายเป็นถูกละเลยไปอย่างไม่ตั้งใจ จากเริ่มแรกที่อิจฉาเล็กๆ น้อยๆ และไม่มีผลร้ายก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความอิจฉาที่ไม่อาจปิดบัง และสุดท้ายจึงกลายเป็นริษยาเช่นที่พวกท่านรับรู้ในหลายปีที่ผ่านมาว่าเจ้าชายเฮเซ็ทต้องการเป็นรัชทายาท”
ทุกคนนิ่งอึ้ง ปริศนาว่าความเปลี่ยนแปลงของเจ้าชายเฮเซ็ทเกิดขึ้นได้อย่างไรถูกนัซย่ากล่าวออกมาอย่างชัดเจน
“ท่านนัซย่ากล่าวออกมาเหมือนตาเห็นจริงๆ ถูกต้องเลยขอรับ เจ้าชายเฮเซ็ทเป็นเช่นที่ท่านกล่าวไม่มีผิด จริงๆ ข้ากับทุกคนก็เห็นอยู่เพียงแต่พวกเราไม่เคยมีใครคิดเช่นนี้มาก่อน” แม่ทัพอนูคยอมรับตามตรง
นัซย่ากล่าวต่อ “ส่วนราชินีเนบเซมิ พระนางยังวางพระองค์เป็นสหายที่ดีกับราชินีซากิอาห์ นั่นเพราะพระนางยังหาโอกาสเหมาะที่จะลงมือไม่ได้ อีกทั้งถ้าพระนางลงมือในเวลานั้น ทุกคนโดยเฉพาะองค์ฟาโรห์ต้องมุ่งเป้ามาที่พระนาง เพราะเจ้าชายเฮเซ็ทพระชนม์เพียงสิบกว่าพรรษา ยังไม่เติบโตพอที่จะทำการใหญ่ และเจ้าชายนาร์เมอร์เพิ่งเป็นรัชทายาทได้ไม่นาน”
“หากเจ้าชายนาร์เมอร์ทิวงคต ทุกคนทราบดีว่าคนที่ได้ประโยชน์คือเจ้าชายเฮเซ็ท และถ้าสืบความกันจริงๆ หลักฐานว่าราชินีเนบเซมิเป็นผู้ลงมือย่อมต้องมี นางต้องถูกประหารหรืออย่างน้อยที่สุดนางต้องถูกเนรเทศไปชายแดนหรือขังในคุกหลวงตลอดชีวิตจนกว่าเจ้าชายเฮเซ็ทจะได้ขึ้นครองบัลลังก์แทนฟาโรห์เซิร์ค นางจึงจะได้ตำแหน่งราชินีกลับคืนมา”
“ดังนั้น เมื่อไม่มีทางออก ราชินีเนบเซมิจึงต้องสวมหน้ากากเมียน้อยที่แสนดี แม่เลี้ยงผู้เมตตาตลอดมา ส่วนเจ้าชายเฮเซ็ทนั้น เพราะยังเด็กจึงไม่อาจปิดบังความริษยาของตนได้ ราชินีเนบเซมิจึงใช้เขาเป็นเป้าล่อสายตาของทุกคนในเรื่องนี้ ขณะที่ภาพเมียน้อยที่แสนดีและแม่เลี้ยงผู้เมตตาถูกราชินีเนบเซมิใช้เป็นเกราะป้องกันตนเอง และยืนอยู่เบื้องหลังเจ้าชายเฮเซ็ทโดยไม่มีผู้ใดสงสัย ดังนั้น เจ้าชายนาร์เมอร์จะทรงจดจำราชินีเนบเซมิในภาพนี้ไว้ก็ไม่แปลก”
เจ้าชายนาร์เมอร์ต้องทอดถอนพระทัยก่อนจะตรัสยอมรับ “เจ้าพูดได้ถูกต้องทุกอย่าง นัซย่า ข้ารู้จักราชินีเนบเซมิในภาพนี้มาตลอด ข้าไม่เคยสงสัย ไม่เคยระแวงแคลงใจนางแม้แต่ครั้งเดียว คิดเสมอว่านางเป็นคนแยกแยะเรื่องราวและตัดสินถูกผิดได้ดี จึงทำให้นางจัดการเรื่องราวระหว่างข้ากับเฮเซ็ทได้อย่างยุติธรรม” เจ้าชายนาร์เมอร์มิได้ทรงเรียกราชินีเนบเซมิว่า ‘เสด็จน้าเนบเซมิ’ อีกต่อไป
“ทรงคิดถูกเพคะที่ว่าราชินีเนบเซมิแยกแยะและตัดสินถูกผิดได้ดี ก็เพราะพระนางทำได้เช่นนี้ พระนางจึงทราบว่าต้องทำอย่างไร ฝ่าบาทจึงเชื่อพระทัยและไม่สงสัยพระนาง”
“แล้วต่อจากนี้ล่ะ ท่านแม่ทัพ เรื่องราวเป็นอย่างไรต่อ” นัซย่าหันกลับมาถามแม่ทัพอนูค
“เจ้าชายเฮเซ็ทแสดงความไม่พอพระทัยตลอดมานับจากนั้น จึงเป็นอันรู้กันทั้งพระราชวังว่าเจ้าชายเฮเซ็ทอยากได้ตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาท ขณะที่ราชินีเนบเซมิทรงคอยห้ามปรามเจ้าชายเฮเซ็ทตลอดมา เหตุการณ์ดำเนินมาเช่นนี้จนกระทั่งเจ้าชายนาร์เมอร์มีพระชนมายุได้ยี่สิบสองพรรษา ราชินีซากิอาห์ก็เสด็จสวรรคต ราชินีเนบเซมิจึงได้เลื่อนขึ้นเป็นราชินีอันดับหนึ่งแทน”
“ราชินีซากิอาห์สวรรคตได้อย่างไร”
“ประชวรด้วยอาหารเป็นพิษขอรับ”
นัซย่าเบิ่งตากว้างอย่างประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “ท่านจำได้หรือไม่ว่าพระอาการเป็นอย่างไรก่อนจะสวรรคต”
“ข้าจำได้ จำได้ทุกอย่าง” เจ้าชายนาร์เมอร์ตรัสออกมา แววพระเนตรฉายความโศกเศร้าชัดเจนเมื่อนึกถึงเรื่องราวในเวลานั้นแม้จะผ่านมาสามปีแล้วก็ตาม
