บทที่ 20 เรื่องที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ (2/3)
“หึ” นัซย่าแค่นหัวเราะทันที
“ให้กล่าวตรงๆ ก็ต้องกล่าวว่าราชินีเนบเซมิช่าง ‘ใจกล้า หน้าด้าน’ ถึงกับออกปากกับสหายสนิทที่เป็นภรรยาของเขาเพื่อให้สามีของสหายรับนางเป็นเมียน้อย”
ทุกคนต้องแปลกใจ ราชินีเนบเซมิใจกล้า หน้าด้านอย่างไรกัน
เห็นสีหน้าของทุกคนแล้ว นัซย่าก็ทราบทันทีว่าพวกเขาไม่เข้าใจ ก็นะ ธรรมเนียมในโลกของเธอต่างจากอียิปต์โบราณอย่างสิ้นเชิง
“ข้าอธิบายอย่างนี้ดีกว่า ที่นี่ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้ถึงสี่ ดังนั้น การที่ผู้ชายจะมีภรรยามากกว่าหนึ่งจึงเป็นเรื่องปกติหากผู้ชายคนนั้นสามารถเลี้ยงดูผู้หญิงที่เป็นภรรยาได้ ถูกหรือไม่”
ทุกคนพยักหน้ารับว่าใช่
“แต่ที่ที่ข้าจากมา ผู้ชายไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ และถ้าผู้หญิงคนไหนกล้าทำอย่างที่ราชินีเนบเซมิทำ หากคนภายนอกรู้เข้า ผู้หญิงคนนั้นต้องถูกผู้คนประณามหยามเหยียดชนิดไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดตลอดชีวิต เพราะที่นั่นยอมรับเพียงสามีเดียวภรรยาเดียวเท่านั้น หากผิดไปจากนี้ก็มักจะหย่าขาด สำหรับบุตรที่เกิดมาส่วนใหญ่จะอยู่ในความดูแลของฝ่ายหญิง ฝ่ายชายต้องส่งทรัพย์สินเงินทองเพื่อเป็นค่าเลี้ยงดูบุตรให้ฝ่ายหญิงจนกว่าบุตรจะเติบโตจนสามารถทำมาหาเลี้ยงชีพได้เอง”
“ดีจังเลย !” เมริทหลุดปากออกมา
“เช่นนั้น หากพี่นัซย่าแต่งงาน ชายผู้นั้นก็ต้องมีเพียงพี่นัซย่าเท่านั้น หากเขามีสตรีอื่น พี่นัซย่าก็จะหย่ากับเขา”
“ใช่ และก่อนจะหย่า ข้าจะทำให้เขานอนกับผู้หญิงอื่นไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต นี่คือบทลงโทษที่ข้าจะมอบให้เขาสำหรับความผิดที่เขานอกใจข้า”
“พี่นัซย่าจะทำอย่างไรเจ้าคะ” เมริทถามขึ้นอย่างอยากรู้ท่ามกลางความอยากรู้ของบุรุษทั้งหมดในห้อง
“เมริท เจ้ารู้จัก ‘ขันที’ หรือไม่”
ถามออกไปแล้ว นัซย่าก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกันว่าเวลานี้ขันทียังไม่เกิด เพราะนักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าขันทีเกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองละกาสช์ (Lagash) ของชาวสุเมเรียนในเมโสโปเตเมียราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนขันทีจีนเริ่มมีในสมัยราชวงศ์ยินราว 1,324-1,066 ปี ก่อนคริสตกาล แต่ตอนนี้เธออยู่ในช่วงสามพันกว่าปีก่อนคริสตกาล อีกพันกว่าปีข้างหน้าขันทีจึงจะถือกำเนิดในเมโสโปเตเมีย และอีกสองพันกว่าปีขันทีจีนจึงจะเกิดขึ้น
เมริทส่ายหน้าทันที “ขันทีคืออะไรเจ้าคะ”
“ขันทีคือบุรุษที่มีหน้าที่รับใช้ในวัง แต่บุรุษที่จะเป็นขันทีได้ พวกเขาจะต้องถูกตอนเสียก่อน การตอนมีสองวิธี วิธีแรกคือถูกตอนโดยตัดแค่ปลายองคชาต ยังเหลือพวงอัณฑะ วิธีที่สองคือถูกตอนโดยตัดทิ้งทั้งหมด และแน่นอนว่าข้าเลือกวิธีที่สอง เพราะนี่จะทำให้ชายผู้นั้นไร้ซึ่งความรู้สึกทางเพศ หรือต่อให้มี ก็หลับนอนกับสตรีไม่ได้เพราะไร้ซึ่งความสามารถไปแล้ว”
“พี่นัซย่าหมายความว่า...”
“ถูกต้อง และอย่าคิดว่าข้าทำไม่ได้ เพราะยิ่งข้ารักชายผู้นั้นมากเท่าใด ข้ายิ่งแค้นมากเท่านั้น ดังนั้น บทลงโทษนี้ก็ถือว่าเหมาะสมดีแล้ว”
คำยืนยันของเธอทำให้บุรุษทุกคนในห้องนิ่งอึ้งไปทันทีโดยเฉพาะเจ้าชายนาร์เมอร์ รับรู้ได้ว่าหากพระองค์คิดครอบครองนาง พระองค์ต้องมีนางเพียงผู้เดียวตลอดพระชนม์ชีพ
ไม่มีอะไรที่ข้าต้องกลัว เพราะข้าจะมีเพียงนางเท่านั้น นางผู้เดียวที่ข้าเชื่อใจที่สุด รักที่สุด เจ้าชายนาร์เมอร์มั่นพระทัยว่าทรงทำได้แน่นอน
“ดังนั้น ในความเห็นของข้า หากราชินีเนบเซมิรักสหายอย่างจริงใจ ก็ไม่สมควรที่นางจะเอ่ยปากเรื่องนี้กับราชินีซากิอาห์ ผู้เป็นสหายที่นางสนิทสนมที่สุด”
คราวนี้ทุกคนเข้าใจความคิดของนัซย่าแล้ว
“หลังจากที่องค์ฟาโรห์รับนางเป็นราชินีแล้ว นางมีท่าทีอย่างไรบ้าง”
“ราชินีเนบเซมิทรงวางพระองค์ได้ดี ไม่เคยกระด้างกระเดื่องกับราชินีซากิอาห์” แม่ทัพอนูคเล่าต่อ
“เรื่องนี้มองได้สองมุม มุมแรกคือนางยังไม่ได้คิดอะไรจึงยังไม่ทะเยอทะยาน หรือมุมที่สองก็คือนางรู้ตัวว่าตนเองยังไม่พร้อมที่จะลงมือ จึงต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวให้มากที่สุด รอจนกว่าจะมีโอกาส” นัซย่าตอบออกมา ทุกคนต้องพยักหน้าเห็นด้วยอีกครั้ง
“แล้วจากนั้นล่ะ”
“ราชินีเนบเซมิมีท่าทีแปลกไปเมื่อทรงทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ได้สองเดือน แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะอาการของสตรีมีครรภ์”
“ท่าทีแปลกไป? แปลกอย่างไร”
“เป็นท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ขอรับ ทุกครั้งที่ราชินีเนบเซมิมาเฝ้าราชินีซากิอาห์ ท่านแม่ของข้าจะเห็นราชินีเนบเซมิลอบมองราชินีซากิอาห์ด้วยสายพระเนตรแข็งกร้าวทั้งๆ ที่ราชินีซากิอาห์มิได้ทรงทำสิ่งใดให้ขุ่นเคือง”
“มีท่าทีเพียงเท่านี้?”
“เท่านี้ขอรับ”
“เช่นนี้ก็ชัดเจน ในเมื่อราชินีเนบเซมิกำลังจะมีบุตรของตนเอง พระนางย่อมไม่พอพระทัยราชินีซากิอาห์โดยปริยาย สตรีคนใดเล่าจะอยากให้มีสตรีอื่นมาค้ำศีรษะตนเองและลูก”
แม่ทัพอนูคเล่าต่อ “เมื่อราชินีเนบเซมิทรงมีพระประสูติกาลเจ้าชายเฮเซ็ท ก็มิได้เสด็จมาเฝ้าราชินีซากิอาห์ มีแต่ราชินีซากิอาห์เสด็จไปพบราชินีเนบเซมิถึงตำหนัก และยังทรงพาเจ้าชายนาร์เมอร์ไปด้วย พระนางมีพระประสงค์จะให้เจ้าชายนาร์เมอร์ได้คุ้นเคยและสนิทสนมกับเจ้าชายเฮเซ็ทเหมือนเช่นที่พระนางสนิทสนมกับราชินีเนบเซมิ”
“เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาจนกระทั่งเจ้าชายเฮเซ็ทมีพระชนมายุได้สามพรรษา ราชินีเนบเซมิจึงได้พาเจ้าชายเฮเซ็ทมาเฝ้าราชินีซากิอาห์ที่ตำหนักเหมือนเมื่อครั้งที่ยังไม่ทรงมีเจ้าชายเฮเซ็ท”
“ต่อมาราชินีซากิอาห์ให้ข้าที่ยามนั้นอายุสิบปีมาเป็นพระสหายกับเจ้าชายนาร์เมอร์ซึ่งมีพระชนมายุเจ็ดพรรษา ข้าจึงได้รู้จักเจ้าชายเฮเซ็ทไปด้วย เจ้าชายทั้งสองพระองค์และข้าร่ำเรียนจากพระอาจารย์คนเดียวกันมาตลอด หากเจ้าชายนาร์เมอร์ทรงเฉลียวฉลาดและเก่งกว่าเจ้าชายเฮเซ็ทอย่างชัดเจน ไม่ว่าพระอาจารย์จะสอนสิ่งใด เจ้าชายนาร์เมอร์เข้าพระทัย เรียนรู้ และจดจำได้เร็วกว่ามาก ทั้งยังทรงขยันขันแข็งกว่าเจ้าชายเฮเซ็ท”
