บทที่ 16 หน้ากากที่แตกออก (1/3)
“ฝ่าบาทประชวรด้วยโรคพยาธิใบไม้ในเลือด ยานี้จะทำให้พยาธิในพระวรกายของฝ่าบาทตายลง จากนั้นร่างกายจะขับพยาธิที่ตายแล้วออกมากับพระบังคนหนัก (อุจจาระ) ฝ่าบาทเสวยยานี้ทั้งสี่เม็ด ห้ามเคี้ยวนะเพคะ ให้กลืนไปกับน้ำ และดื่มน้ำตามไปมากๆ” นัซย่าบอกพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำที่วางอยู่ข้างเตียงมายื่นให้ เจ้าชายนาร์เมอร์ทำตามที่เธอบอกอย่างเคร่งครัด
“ยานี้อาจทำให้ฝ่าบาทวิงเวียน ปวดพระเศียร คลื่นไส้ ไม่ต้องตกพระทัยนะเพคะ อาการข้างเคียงนี้ไม่ได้เกิดกับทุกคนที่รับยานี้ ฝ่าบาทอาจจะไม่มีอาการข้างเคียงก็ได้ แต่ถ้ามี ให้ทรงอดทนสักหน่อย อาการนี้จะเกิดไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นแล้วจะหายไป”
“การขับถ่าย ให้ซีเบกพาฝ่าบาทไปขับถ่ายที่ถาน และต้องไปพร้อมกับเสาน้ำเกลือนี้นะเพคะ ห้ามเอาเข็มน้ำเกลือออกเอง หม่อมฉันจะเอาออกให้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม”
“การอาบน้ำ หม่อมฉันจะให้คนต้มน้ำร้อน เพื่อทำน้ำอุ่นให้ซีเบกเช็ดพระวรกายให้ฝ่าบาท ส่วนอาหาร...” พูดถึงเรื่องนี้ นัซย่าต้องถอนหายใจเฮือกจนทุกคนเห็นชัดเจน
“...ให้ฝ่าบาทเสวยอาหารของหม่อมฉันจะดีกว่า แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน”
“เรื่องอาหารมีอะไรให้เจ้าต้องหนักใจ?” ตรัสถามเสียงอ่อน
“ถ้าจะพูดเรื่องนี้ คงต้องพูดกันยาวเพคะ...”
“ไม่เป็นไร ข้าชอบฟังเจ้าพูด”
คำพูดนี้ทำให้นัซย่าชะงักไป ทุกคนในห้องนิ่งอึ้ง ครู่หนึ่งเธอจึงเอ่ยต่อ “...สรุปให้สั้นที่สุดก็คือ อาหารของพวกท่านชาวอียิปต์ไม่เหมาะสำหรับคนป่วย และไม่เหมาะกับการรับประทานในชีวิตประจำวันสักเท่าใด”
คำตอบนี้ทำให้ทุกคนนิ่งงัน แพทย์หลวงเซเตมและเมริทจึงเข้าใจในตอนนี้เองว่าเพราะอะไร นัซย่าจึงไม่ยอมรับประทานอาหารของพวกเขา
“ฝ่าบาทบรรทมพักผ่อนเถิดเพคะ หากรู้สึกไม่สบายพระองค์ ให้ซีเบกไปตามหม่อมฉันได้ หม่อมฉันอยู่กับเมริท พวกเรามีเรื่องต้องทำมากมายในการปรับปรุงบ้านหลังนี้ให้เหมาะกับการดูแลฝ่าบาท”
เพียงสามวันผ่านไป พระอาการประชวรของเจ้าชายนาร์เมอร์ก็ดีขึ้นเป็นลำดับอย่างชัดเจน และพระองค์จึงได้ทราบว่าห้องที่บรรทมเป็นห้องที่แพทย์หลวงเซเตมจัดให้นัซย่าพัก เพราะเป็นห้องพักแขกที่ใหญ่และดีที่สุด แต่นางสละห้องของนางให้ แล้วนางก็ย้ายไปนอนอีกห้องที่อยู่ใกล้ๆ กัน
เช้าวันที่สี่หลังจากเสวยอาหารแคปซูลของนัซย่าแล้ว เธอก็ถอดเข็มน้ำเกลือออก เก็บเสาน้ำเกลือและอุปกรณ์อื่นไป เหลือเพียงเตียงผู้ป่วยเท่านั้น
“หม่อมฉันไม่ต้องให้น้ำเกลือฝ่าบาทแล้วเพคะ พระวรกายดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้จะยังทรงอ่อนเพลียอยู่ บรรทมพักผ่อนให้มากนะเพคะ ถ้าทรงเบื่อก็ให้ซีเบกพาออกมาเดินเล่นรอบๆ บ้าน การรักษาจากนี้ไม่มีอะไรแล้ว เพราะพยาธิถูกขับออกมาหมด สิ่งที่ต้องทำคือการบำรุงพระวรกายให้กลับมาปกติเช่นเดิม หม่อมฉันคิดว่าอีกไม่เกินเจ็ดวัน เมื่อทรงแข็งแรงดีแล้วก็เสด็จกลับได้”
“อีกเจ็ดวัน?” ตรัสขึ้นคล้ายรำพึงคล้ายถาม
“เพคะ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องมาทูล อาการประชวรของเจ้าชายรัชทายาทดีขึ้นมาก อีกไม่เกินเจ็ดวันก็จะทรงเป็นปกติและเสด็จกลับมาประทับที่ตำหนักได้”
“อะไรนะ ! เรื่องจริง ? !” สุรเสียงกร้าวกระด้างดังขึ้นอย่างตกพระทัย
“จริงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมถวายการรับใช้ในห้องทรงพระสำราญขององค์ฟาโรห์ ทุกวันตอนสายจึงได้เห็นแม่ทัพอนูคมาเข้าเฝ้าองค์ฟาโรห์ เพื่อทูลให้ทราบถึงพระอาการประชวรของเจ้าชายรัชทายาท แม่ทัพอนูคทูลว่าพระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ อีกไม่นานก็สามารถเสด็จกลับมาประทับในพระราชวังได้เช่นเดิม” สายสืบผู้นี้บอกเล่าอย่างละเอียด
“บัดซบ !” สุรเสียงกร้าวกระด้างตวาดออกมา
“มีอะไรกัน? เฮเซ็ท เอะอะไปถึงข้างนอก” เสียงของสตรีนางหนึ่งดังแทรกขึ้น
เจ้าชายเฮเซ็ทหันไปมองก่อนจะตรัสเรียก “เสด็จแม่”
“ถวายบังคมองค์ราชินี”
ที่แท้เป็นราชินีเนบเซมิของฟาโรห์เซิร์ค พระราชมารดาของเจ้าชายเฮเซ็ท
“เสด็จแม่ สายสืบของเราบอกว่านาร์เมอร์อาการดีขึ้นมาก อีกเจ็ดวันมันจะกลับวัง”
พระเนตรของราชินีเนบเซมิลุกวาบ
“ไม่ใช่ว่ามันใกล้จะตายแล้ว?”
“มันรอดพ่ะย่ะค่ะ”
“ใครรักษาให้มัน?” นางหันมาถามสายสืบ
“แพทย์หลวงเซเตมพ่ะย่ะค่ะ อย่างที่ทรงทราบ เมื่อสามวันก่อนองค์ฟาโรห์ทรงอนุญาตให้เจ้าชายรัชทายาทประทับที่บ้านของแพทย์หลวงผู้นี้ สามวันที่ผ่านมาแม่ทัพอนูคมาเข้าเฝ้าองค์ฟาโรห์เพื่อทูลถึงพระอาการประชวรที่ดีขึ้นเป็นลำดับ และอีกเจ็ดวันข้างหน้า เจ้าชายรัชทายาทจะทรงหายเป็นปกติ กลับมาประทับที่ตำหนักได้เช่นเดิม” สายสืบเล่าออกมาอีกครั้ง
“ไม่นึกเลยว่าแค่เปลี่ยนชื่อจาก ‘เมเนส’ เป็น ‘นาร์เมอร์’ ถึงกับทำให้มันรอด” ราชินีเนบเซมิตรัสออกมาด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
“เสด็จแม่ ทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ หากนาร์เมอร์ยังอยู่ เสด็จพ่อไม่มีวันแต่งตั้งข้าเป็นรัชทายาท”
“ก็ฆ่ามันเสียสิ ซากิอาห์ แม่ของมันยังไม่พ้นมือข้ามาแล้ว นับประสาอะไรกับนาร์เมอร์”
ที่แท้ราชินีเนบเซมิเป็นพระราชมารดาเลี้ยงของเจ้าชายรัชทายาทนาร์เมอร์
“เสด็จแม่ทรงคิดเช่นเดียวกับข้า”
“ที่บ้านของเซเตมมีกำลังทหารคุ้มกันเท่าใด” เจ้าชายเฮเซ็ทหันไปถามสายสืบ
“ยี่สิบคนพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าใช้ทหารของเจ้าไม่ได้ เฮเซ็ท” ราชินีเนบเซมิตรัสเตือน
เจ้าชายเฮเซ็ทนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตรัสออกมา “นักรบคุช***”
“ดี พวกมันเป็นชนเผ่าเล็กๆ ค้าขายและรับจ้างทำงานกับพวกเราอยู่แล้ว ใช้พวกมันก็ไม่มีทางที่จะมีใครสงสัยมาถึงพวกเรา”
เงาตะคุ่มของคนสิบคนเคลื่อนเข้าใกล้คฤหาสน์ของแพทย์หลวงเซเตม เงาเหล่านั้นเมื่ออยู่ห่างจากคฤหาสน์ราวห้าเมตรก็หยุดนิ่ง ในมือของคนเหล่านี้มีกระบอกไม้ ฝากระบอกถูกเปิดออกและหันปลายกระบอกไปยังคฤหาสน์ตรงหน้า ควันบางเบาไหลออกจากกระบอกไม้ก่อนจะถูกลมกลางคืนค่อยๆ พัดพาควันเหล่านี้เข้าสู่บริเวณรอบๆ คฤหาสน์
ตี๊ดดดดดดดดดดดดด
เสียงเตือนดังขึ้นเบาๆ จากกล่องโลหะขนาดครึ่งฝ่ามือที่วางอยู่บนตู้ข้างเตียง นัซย่าลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เหลือบมองไปที่กล่องโลหะ จุดสีแดงเล็กๆ กะพริบถี่
“Проекция” คำสั่งให้ฉายภาพดังขึ้นเบาๆ
เชิงอรรถ
***คุช (Kush) หรืออาณาจักรนูเบียโบราณ (Ancient Nubia) ตั้งอยู่ตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันคือดินแดนตอนใต้ของอียิปต์ไปจนถึงตอนเหนือของซูดาน นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าอาณาจักรนูเบียเริ่มปรากฏขึ้นในแอฟริกาแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ช่วง 3,500-2,900 ปีก่อนคริสตกาล โดยเกิดจากสองอาณาจักรย่อย คือ อาณาจักรนูเบียล่าง (Lower Nubia) และอาณาจักรนูเบียบน (Upper Nubia) ที่มีรูปแบบทางวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกัน ทว่าต่างมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และมีความสำคัญต่ออาณาจักรโบราณอื่นๆ โดยรอบในฐานะเป็นประตูสู่ภูมิภาคแอฟริกากลาง (central Africa) ในช่วงยุคต้นของอารยธรรมโบราณ
ชาวอียิปต์โบราณเรียกอาณาจักรนูเบียว่า อาณาจักรคุช (The Kingdom of Kush) ตั้งแต่สมัยฟาโรห์เซนโวสเร็ตที่ 1 (Senwosret I) หรือเมื่อเกือบ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล
