บท
ตั้งค่า

9 เข้าทางพ่อ

ณ บ้านไม้สักทองหลังใหญ่ ที่มีรั้วกำแพงสูงเกือบเท่าตัวบ้าน รายล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ที่สูงเกินรั้วขึ้นไป ให้ร่มเงาจนบ้านทั้งบ้านดูร่มรื่น เขียวชอุ่ม

หากแต่ใจของผู้อยู่อาศัย กลับไม่ได้ชุ่มชื่นตาม

“เพี๊ยะ!”

“ผมขอโทษครับนาย” ร่างสูงผอมสั่นงันงก รีบทรุดลงกราบกรานเจ้านาย ด้วยความกลัวสุดขีด

“มึงรู้ใช่ไหม ว่ากูไม่ชอบความผิดพลาด” เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น แต่แววตากลับวาวโรธเหมือนมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในนั้น

“ผมทราบครับนาย ผมขอโทษครับ...”

“พั๊วะ!!” ไม่ทันที่จะได้อธิบายอะไร ก็ถูกซัดเข้าที่ปลายคางจนเต็มแรง

“เอามันไปเก็บ” เอ่ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แววตาว่างเปล่า ฉวยผ้าเช็ดมือจากลูกน้องคนสนิทที่ยื่นให้ มาเช็ดเล็กน้อยก่อนโยนทิ้ง และก้าวออกไปอย่างมั่นคง

คนอย่างเสี่ยทรงยศ ไม่เคยจะปราณีคนที่นำความผิดพลาดมาให้เขา แม้แต่กรณีเดียว...!

‘พ่อ!!!’ เสียงตะโกนก้องของตัวเองในตอนนั้น ยังคงก้องอยู่ในหัว ทุกคราที่ได้พบความผิดพลาด เขาเกลียดมัน เกลียดแบบไม่มีวันที่จะให้อภัย

“การมีลูกน้องโง่ก็เหมือนมีเสี้ยนหนามในรองเท้า ไม่ว่าจะเดินไปยังหนแห่งใด ก็ไม่มีวันปลอดภัยได้เลย” ว่าพร้อมกับโยนไฟแช็กแท่งเหล็กอันหรู ลงไปกับพื้นโต๊ะกระจกสีดำ หลังจากที่จุดบุหรี่ติดเรียบร้อยแล้ว

“แล้วนายจะเอายังไงต่อไปครับ” ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูสะอาดสะอ้านไม่แพ้กันกับเขา ของบุเรง ทำนุพันธุ์ ลูกน้องคนสนิท ลดระดับลงเล็กน้อย อย่างรอฟังคำสั่ง

“ยังไม่ต้องทำอะไร”

“แต่...”

“ฉันรู้ว่าคนอย่างไอ้ปอมันฉลาด รอบคอบ แต่มันก็จิตใจดี ฉันจะใช้ความใจดีของมันให้เป็นประโยชน์” รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นมา พร้อมพ่นควันให้พวยพุ่งออกไป

เขาผ่อนคลายได้เมื่อได้เสพนิโคตินจากบุหรี่ และบางครั้งก็ต้องใช้ผู้หญิง ซึ่งไม่ค่อยบ่อยนัก เพราะคนที่ไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับใครอย่างเสี่ยทรงยศ แทบจะไม่แตะต้องใครมาหลายปีแล้ว

ถึงมีก็ครั้งสองครั้งต่อปี...เท่านั้น

“ครับนาย แต่ว่า...” มือขวาเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจนัก เหมือนมีบางอย่างติดอยู่ที่ริมฝีปาก คนที่ไม่เคยฟังใครนอกจากบุเรง หรี่สายตาลงเล็กน้อย

“มีอะไร”

“ผมว่านายอย่าไปยุ่งกับลูกสาวกำนันเลยนะครับ” แววตาคมกริบสะดุดเล็กน้อย

“ว่าเหตุผลมา” พูดอย่างเชิงให้โอกาส

“ผมคิดว่าเธอน่าจะไม่มีผลอะไรกับใจมันแน่นอนครับ” เสียงหัวเราะเชิงทุ้มก้องขึ้นในลำคอแกร่ง ลูกกระเดือกเคลื่อนไหว รับกับแววตาที่เปล่งประกายขึ้น

“ฉันก็ไม่ได้คิดว่ายัยนั่น จะมีผลต่อใจมันนี่” ครานี้เป็นฝ่ายบุเรงแล้วที่ต้องสะดุด

“นายคิดจะทำอะไรครับ” ผู้เป็นเจ้านายค่อยๆ ระบายยิ้มออกมา บอกเล่าผ่านแววตาที่ค่อยๆ เข้มขึ้นและเต็มไปด้วยแผนการที่ได้เตรียมเอาไว้

“ไม่มีปัญหา ถ้าอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ ฉันอนุญาตเต็มที่!” เสียงหัวเราะลั่นของกำนันร้าว มาพร้อมกับเสียงบทสนทนาจากแขกดังมาเป็นระยะ

คนที่เพิ่งจะกลับมาจากการร้อยพวงมาลัยที่บ้านคุณป้า ถึงกับสะดุดเล็กน้อย แต่ก็แอบชะเง้อมองไปยังห้องรับแขก เพราะเธอกลับมาทางด้านหลังของบ้านและกำลังจะเดินขึ้นบันไดไม้สัก ที่ขัดเป็นเงาแวววาว

“ใครมากันนะ” แล้วก็อดไม่ได้ที่จะย่องไปแอบดู

เพียงแค่เห็นร่างสูงที่นั่งนิ่งอยู่ ใจก็ถึงบางอ้อ...พร้อมพ่นลมหายใจ คนที่ส่งข้อความมาหาเธอแต่เธอไม่ทันได้อ่านนั่นแหละ ที่บุกมาถึงบ้าน!

“อ้าว รจนา! มานี่สิลูก กลับมาพอดีเลย” และบิดาก็หันมาเห็นเธอเข้าพอดี ครั้นจะหลบเลี่ยงก็เหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว

“ค่ะพ่อ สวัสดีค่ะ...เสี่ยยศ” เธอยกมือไหว้เขาตามมารยาท พร้อมไปทรุดข้างๆ บิดา ที่คนละฝั่งกับแขกที่นั่งยิ้มเหมือนเป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง ไม่ใช่เสี่ยใหญ่ที่ใครๆ ก็กลัวกันไปทั่วจังหวัด

แปลกกว่านั้น กำนันกลับดูพึงพอใจในตัวเขาเสียเหลือเกิน

“พี่เขามาหาเรา พ่อก็เลยตอบไม่ได้ว่าเราไปไหนมา”

“พอดีว่าหนูไปร้อยพวงมาลัยที่บ้านป้าลัยมาน่ะค่ะ จะเอาไปถวายพระพรุ่งนี้”

“อ้อ ใช่แล้ว! พรุ่งนี้เป็นวันเข้าพรรษา พ่อเกือบจะลืมไปเลยนะเนี่ย...เสี่ยยศล่ะ จะไปวัดรึเปล่าพรุ่งนี้?” คำถามจากบิดาทำเอารจนาหลุดยิ้มเชิงขำ

เสี่ยทรงยศน่ะหรือที่จะเข้าวัดได้ บิดาถามอะไรออกไปช่างประหลาด

แววตาคมกริบมองปราดเข้ามาที่คนหลุดยิ้มทันที และเธอก็เห็นแววตาของเขาตอนนั้นเสียด้วย ดูวาวโรธเล็กน้อยราวกับไม่พึงพอใจในกิริยาของเธอเสียนั่น

ก็มันจริงนี่!

“ก็ว่าจะไปอยู่ครับ” ตอบกำนันแต่หันมามองที่หน้าหญิงสาวเล็กน้อย

“ว่าจะมาชวนน้องรจนาไปด้วยกัน”

“ฮะ!?” ร้องขึ้นอย่างตกใจ จนต้องเอามือปิดปาก

“อะไรกันลูก ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น” เตือนบุตรสาวเชิงปราม

“หรือว่าน้องรจนามีนัดกับคนอื่นแล้ว”

“นั่นสิ อย่าบอกนะว่านัดกับไอ้อ้วนนั่น...มันเข้าวัดไม่น่าจะได้นะพ่อว่า” ว่าอย่างอคติ เมื่อได้เริ่มรู้จักพูดคุยกับเสี่ยทรงยศ ก็เห็นว่าเขาเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่ง หากมองข้ามเรื่องธุรกิจที่เขาจำเป็นต้องสืบทอดมา

เขาก็น่าพิจารณาอยู่ไม่น้อย...

“พ่อก็ไปว่าเขา” เธอปรามบิดากลับบ้าง พร้อมหันไปมองหน้าคนที่ไม่น่าจะเข้าวัดเลยจริงๆ มาก่อน เชิงค้นหาเอาความจริง

“ไม่รู้แหละ เสี่ยเขามาขอพ่อก่อน พ่ออนุญาตเสี่ยก่อน ยังไงลูกก็ต้องไปกับเสี่ย” คนที่มักจะบังคับบุตรสาวมาตลอด ก็ว่าไปตามปกติที่เคยทำอย่างเอาแต่ใจ

“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณพ่อต้องการ...” แล้วก็หันไปจ้องหน้า คนที่ยิ้มระบายอ่อนโยน เหมือนไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วยความรู้สึกหงุดหงิด

“แต่หนูขอตัวเสี่ยทรงยศ ไปคุยเป็นการส่วนตัวหน่อยนะคะ”

“ได้สิลูกได้เลย เดี๋ยวพ่อว่าจะเดินออกไปดูอะไรหลังบ้านหน่อย ตามสบายกันเลยนะเสี่ยนะ” ว่าแล้วก็รีบลุกจากไปในทันที ปล่อยให้รจนาต้องนั่งถอนหายใจ..จ้องหน้าคนไม่ทุกข์ร้อนด้วยความกังขา

“คิดอะไรอยู่คะ ถึงอยากจะเข้าวัด?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย เชิงไม่เข้าใจในคำถาม

“ทำไมฉันจะเข้าไม่ได้ ฉันก็นับถือพระพุทธศาสนา”

“แต่ปกติคุณไม่เคยเข้าวัดเลยนะคะ?” เขายิ้มออกมาเล็กน้อยเชิงผ่อนคลาย

“ก็นี่มันไม่ปกติ”

“ยังไงคะ?”

“มันพิเศษ” เขาพูดออกมาแบบทื่อๆ เหมือนคนท่อง ไม่ได้ชวนให้ขวยเขิน จนเธอยิ่งงงหนัก

“ฮะ?” ชายหนุ่มหน้าตึงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้มีแววตาเชิงเขินอายเลยสักหน่อย

“นั่นแหละ ชวนไปก็ไป ยังไงก็จะไปอยู่แล้วนี่” เอ่ยกลบเกลื่อนเสียงแข็ง รู้สึกเสียหน้า ที่มุขที่ท่องมา มันแป้ก!

“โอเคไปก็ไป แล้วจะใส่เสื้อสีอะไรไป” ว่าพร้อมมองเสื้อเชิ้ตสีดำของเขา ที่เหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด ราวกับว่าเขาไม่มีเสื้อผ้าสีอื่นเลย นอกจากสีนี้!

“ฉันใส่แค่เสื้อสีดำเท่านั้น”

“โอว...ไม่ได้นะคะ! ไปวัดต้องใส่สีขาว ไปทำบุญนะไม่ใช่ไปงานศพ” ทรงยศก้มมองที่เสื้อตัวเองเล็กน้อยเชิงไม่เข้าใจ

“เพื่อ”

“ไม่รู้แหละค่ะ ถ้าไม่ใส่สีขาวไป ไม่ให้ไปด้วยนะคะ” แววตาคมกริบชักใส่ ก่อนถอนหายใจออกมาเชิงเบื่อหน่าย และคิดว่าเธอช่างเรื่องมาก

“ไม่ได้บังคับนะคะ แค่ไม่ให้ไปด้วยเฉยๆ” เธอว่าอย่างถือไพ่เหนือกว่า แน่ล่ะเธอไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องง้อเขาทั้งนั้น

“อืม” ตอบรับพร้อมลุกขึ้นยืน เชิงจะกลับแล้ว

“อืม? แปลว่าอะไรคะ แปลว่าไม่ไปแล้วหรือจะไป เดี๋ยวไปหาเสื้อสีขาวมาใส่?” เขาไม่ยอมตอบ เดินออกจากบ้านของเธอไปด้วยทีท่าสง่า จนคนมองตามหลังต้องเกาหัวแกร๊ก

“รจนาเอ๊ยรจนา...ทำไมชะตาชีวิตต้องมาเจอแต่คนแปลกๆ ด้วยวะเนี่ย!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel