7 รู้แล้วเขาดีขนาดไหน
“กราบนมัสการค่ะหลวงพ่อ” หญิงสาวร่างเล็กได้สัดส่วน อยู่ในชุดผ้าถุงสีน้ำตาลอ่อนกับเสื้อลายลูกไม้แขนสั้น ค่อยๆ ลำเลียงของถวายไปให้หลวงพ่อประจำวัด ด้วยทีท่าคล่องแคล่ว
“เจริญพรเถอะโยมลูก” เส้นผมยาวสลวยที่เรียงตัวอยู่บนศีรษะทุยได้รูป ถูกม้วนทัดประดับเกล้าเอาไว้ครึ่งหัว ติดด้วยกิ๊บสีขาวเข้ากัน และส่วนที่สยายก็ทิ้งตัวสวยน่ามอง
“หากมีอะไรขาดเหลืออีก บอกหนูได้เลยนะคะหลวงพ่อ” คำแก้ว ศึกษาดี คุณครูสาวคนสวยประจำโรงเรียนประจำหมู่บ้าน มาถวายข้าวของให้หลวงพ่อเป็นประจำ ตั้งแต่ที่ท่านได้ออกบวชมาได้ร่วม 10 ปีกว่า
“ไม่เป็นอะไร โยมหมอบอกว่าดีขึ้นมากแล้ว” ด้วยความที่หมู่นี้ท่านเจ็บออดๆ แอดๆ บ่อยครั้ง ทำให้เธอต้องแวะมาบ่อย เพราะนอกจากท่าน ในชีวิตของเธอก็ไม่เหลือใครแล้ว
“แต่ยังไงก็ต้องไปตามนัดก่อนนะคะ อีกสองวัน เดี๋ยวลูกจะให้รถมารับค่ะ เพราะว่ามีสอนทั้งวันเลย ลาไม่ได้” ในขณะที่กำลังแสดงความห่วงใยต่อกันอยู่นั้น เสียงเด็กๆ ก็ดังแว่วมา หัวเราะสดใส
“ไม่ได้นะ ถ้าแบบนี้เราก็ต้องไปเอาปลาอีกสองสามตัว” เสียงของเด็กชายแผนที่ดังกว่าใคร ทำเอาคนที่จำเสียงเด็กได้จำต้องชะเง้อไปดู
“สงสัยจะมากันแล้ว” พระสงฆ์ผู้ทราบการนัดหมายเอ่ยขึ้น และภาพของผู้นำทีมเด็กๆ ก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า
สองสาวมองหน้ากันด้วยลักษณะหน้าซีดเผือดกันทั้งคู่ ต่างคนก็ต่างพากันพูดไม่ออก
นี่คงจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ได้เผชิญหน้ากันตรงๆ จากที่เมื่อก่อนเคยพบเห็นกันผ่านตาบ้าง แต่ไม่ค่อยได้พูดคุยกัน
คำแก้วอายุน้อยกว่ารจนาราวๆ 3 ปีได้ นี่ก็คงจะเพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ และกลับมาเป็นครูประจำอยู่ที่นี่ ส่วนเรื่องคบหากับอดีตคู่หมั้นของตนนั้น รจนาไม่คิดที่จะไปทราบรายละเอียด
“สวัสดีครับคุณครูคำแก้ว” เด็กชายแผนรีบเอ่ยทักทายและยกมือไหว้คุณครู ตามมาด้วยน้ำส้มและป๋องแป้ง ที่พากันมัวอึ้งอยู่และยกมือไหว้ตามกันทันที
“สวัสดีจ้ะเด็กๆ สวัสดีค่ะคุณรจนา” เธอเอ่ยทักก่อนอย่างมีมารยาท ไม่มีร่องรอยของความไม่บริสุทธิ์ใด หลุดออกมาจากกิริยา ทั้งท่าทางและแววตา
ใจดวงน้อยของรจนาห่อลงเล็กน้อย...อย่างไม่ทราบเหตุผล
“สวัสดีค่ะคุณครูคำแก้ว” แต่จำต้องเอ่ยทักทายออกไปอย่างนั้น ด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้มีสิ่งใดติดค้างเช่นกัน เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกันที่นี่
“มาทำบุญกันเหรอคะ?” ถามพร้อมมองไปยังสิ่งของที่พากันหอบหิ้วมา เต็มไม้เต็มมือ
“อ๋อ ใช่ค่ะ พอดีว่าจะพาเด็กๆ มาแกะสลักเทียนกัน เพราะว่าใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว หลวงพ่อท่านก็อนุญาตด้วย” คุณครูสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“แกะเป็นกันด้วยเหรอคะ อย่างนี้เทียนจะไม่หักเล่นหรือ?” ถามด้วยความห่วงใยจริงๆ ตามประสาคนรอบคอบและเข้าวัดอยู่เป็นนิจ ไม่ได้เคลือบแฝงไปด้วยคำตำหนิใด
“หักน่ะหักแน่อยู่แล้วค่ะ พาซ้อมไปเยอะแล้ว ถึงได้มาลองสนามจริง เทียนหักน่าจะไม่มีแล้ว มีแต่แกะไม่สวยนิดหน่อย ซ้อมมาเต็มที่แล้วค่ะ” รจนารู้สึกผ่อนคลายขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจของอีกฝ่าย
มีเพียงวูบไหวในความรู้สึกเท่านั้นที่สะท้านขึ้นมา
ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมพี่ปอถึงเลือกเธอ
“เยี่ยมเลยนะคะ เดี๋ยวจะรอชมผลงานนะจ๊ะเด็กๆ ครูไปล่ะ” หันไปโบกมือให้เด็กๆ พร้อมกับหันมายิ้มให้รจนาด้วยความจริงใจ
แม้จะมีวูบไหวเล็กๆ ที่แปลกไป แต่ก็เพียงนิดเดียวเท่านั้น
“ไปก่อนนะคะคุณรจนา” ฝ่ายนี้พยักหน้า ยิ้มรับก่อนค่อยๆ หุบยิ้มลง และปรับอารมณ์ได้รวดเร็วขึ้น และเข้าไปกราบหลวงพ่อ
ไม่นานนักที่เธอกับเด็กๆ ร่วมกันแกะสลักเทียนพรรษาเล่มเล็ก ก็มีคนสมทบตามมา
ไม่ใช่ใครที่ไหน...
“น้องรจนาจ๋า น้องรจนา!”
“ขนาดในวัดยังไม่เว้น” เด็กชายแผนกระซิบกระซาบพร้อมเตรียมขยับถอยหนีผู้มาใหม่
“พี่มาแล้วจ้ะ หอบเทียนเล่มใหญ่มาเยอะเลย!” หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะพูดคุยกับสองหนุ่มที่ตั้งใจจะจีบ เธอก็เปิดใจที่จะคุยด้วยและขอความช่วยเหลือในส่วนที่จะขอได้
แต่คนสุดโต่งอย่างสุรกานต์กลับไม่ได้มาช่วยยกเทียนเท่านั้น ยังซื้อเทียนมาให้ด้วย จนเธอต้องส่ายหน้า
“ไม่ต้องซื้อมาก็ได้ เทียนมีแล้ว”
“ก็ทีแรกน้องรจนาบอกว่า อยากจะแกะสลักเทียนเล่มใหญ่ไม่ใช่เหรอจ๊ะ พี่ก็เลยซื้อมาให้ลอง เพราะดูท่าคงไม่กล้าไปสลักเทียนเล่มใหญ่ของหลวงพ่อจริงๆ”
“ก็ได้ค่ะ ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว จัดแจงไว้ทางนี้ก็แล้วกัน” รจนาหาสถานที่เหมาะ โดยที่มีเหล่าลูกน้องพากันมาช่วยขนอย่างเต็มที่
“เอาให้สุดฝีมือไปเลยนะพวกเรา” เธอบอกเด็กๆ ด้วยรอยยิ้มปลื้มใจ
“เดี๋ยวพวกจ้อย แจนแล้วก็วินจะตามมาครับ” แผนที่เป็นเหมือนมือขวารีบรายงานอย่างคล่องแคล่ว
“ไอ้อ้วน ใครถามมึงวะ ทำไมชอบเสล่อ!” แล้วคนลืมตัวอย่างสุรกานต์ก็เผลอพูดเสียงดังขึ้นมา จนแผนต้องหดหัวเข้ากระดอง
“นั่นสิ ใครถามคะ ทำไมชอบเสล่อ” แต่รจนากลับไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น เธอให้เกียรติทุกคนก็จริง แต่ถ้ามีการหมิ่นเกียรติคนอื่นก่อน ก็จะต้องโดนหมิ่นกลับแบบไม่โกงเช่นกัน
“เอ่อ พี่ขอโทษจ้ะน้องรจนา พี่ไม่ได้ตั้งใจ...เดี๋ยวพี่ตบปากตัวเองก็ได้ แต่น้องรจนาอย่ามองพี่ตาขวางแบบนั้นเลยนะจ๊ะ!”
“หยุดเสียงดังได้แล้ว ที่นี่วัดนะคะ” แต่เธอก็ยังคงตาขวาง เพราะอยู่ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
เธอไม่ได้หงุดหงิดที่เขาอ้วน ฟันเหยิน มีกลิ่นตัวหรือว่าเสียงดัง แต่หงุดหงิดที่มีนิสัยอันธพาลแบบปรับปรุงได้ยาก เหมือนฝังรากลึกลงไป ที่ไม่อาจจะถอนขึ้นมาได้
“ครับ...ขอโทษครับ” เขาว่าเสียงอ่อย พร้อมเดินออกไปรอข้างนอกอย่างสงบ
ไม่แน่หรอกสิ่งที่ทำให้เธอหงุดหงิด อาจจะไม่ใช่แค่สุรกานต์ แต่อาจจะรวมถึงเหตุการณ์ทั้งวันของวันนี้
ตั้งแต่เช้า...
‘นี่มันอะไรกันคะ?’ เธอตกใจที่ตื่นมาก็พบว่า มีทุเรียนสามคันรถมาจอดอยู่หน้าบ้าน
‘คนของเสี่ยยศเหมาทุเรียนพวกเรา ให้มาส่งที่บ้านพ่อกำนันจ้ะ’ เจ้าของทุเรียนตอบกลับเธอแบบที่ไม่ใช่คนในพื้นที่
‘เสี่ยยศอีกแล้วเหรอ...’ เธอพึมพำออกมาอย่างอ่อนใจ และนึกขึ้นได้ว่าตัวเองแชร์รูปทุเรียนที่ใส่เต็มตู้เย็น พร้อมกับข้อความว่า ‘ถ้าได้แบบนี้นะ...’ ออกไป
สาบานเลยว่าต่อไปนี้ก่อนจะโพสต์อะไรจะตั้งสติก่อนเสมอ...หรือต้องตั้งส่วนตัวไปเลยดี!
‘โอเคค่ะ ขนลงได้เลยค่ะ’ แล้วเธอก็โทรไปหาทรงยศด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก จากเบอร์ที่เขาได้ฝากทิ้งเอาไว้ให้
‘มีอะไร’
‘ซื้อทุเรียนให้แล้ว แต่ไม่ส่งคนมาปอกให้ จะกินยังไงละคะ’ แล้วฝ่ายนั้นก็วางสายไป พร้อมส่งคน 10 คนมาปอกทุเรียนให้เธอถึงบ้าน ภายใน 10 นาที
แค่คิดถึง เธอก็แทบจะเรอออกมาเป็นทุเรียนแล้ว!
หลังจากกลับจากวัด รจนาก็ได้กลับมานั่งเล่นอยู่ที่สวนหลังบ้าน ฟังเสียงหริ่งรี้เรไร ที่พากันร่ำร้องดังระงมราวกับจะส่งสัญญาณบางอย่างถึงดวงดาว
คืนนี้ฟ้ามืดสนิทไร้แสงจันทร์ ดาวก็เลยส่งแสงระยิบระยับพลิ้วไหวกันได้อย่างอิสระ ไม่เหมือนจิตใจของเธอตอนนี้เลย ที่เมื่ออยู่คนเดียวแล้ว ก็เหี่ยวเฉาขึ้นมา
‘มีอะไรแก...’ น้ำเสียงงัวเงียดังขึ้น หลังจากที่ปลายสายได้ตอบรับการติดต่อไปของคนเพื่อนน้อยอย่างรจนา
“นอนอยู่เหรอ?”
‘อือ...แต่คุยได้’ คนลังเลเงียบไป ก่อนเอนกายราบลงไปกับแคร่
“วันนี้ฉันไปเจอครูคำแก้วมา”
‘อ๋อ...ฮะ! อะไรนะ!’ เสียงเหมือนลนลานลุกขึ้นมาของอีกฝ่าย ทำเอาเธอใจชื้นขึ้น อย่างน้อยก็มีคนตกใจเป็นเพื่อนแล้ว
‘ไปเจอเขาที่ไหน’
“ที่วัด”
‘อ้อ นางไปหาพ่อนางเหรอ?’
“อือ...สวยมาก หน้าใสมาก หุ่นดีมาก แถมจิตใจยังงดงาม ดีไปหมดทุกอย่าง” พูดเหมือนพร่ำเพ้อและกำลังจะหลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริง
‘เดี๋ยวๆ หยุดก่อน...เบรกก่อน นี่คือกำลังชื่นชมเขาหรือว่าน้อยใจอยู่’
“มันก็ไม่ได้เชิงน้อยใจนะ แต่แค่คิดว่า...” เหมือนเสียงที่อยากจะพูด หลุบหายลงไปในอก อกที่หักยุบลงไป แบบไม่อาจดีดกลับขึ้นมาได้
“เขาดูเหมาะสมกันดี” พอพูดออกมาแล้ว ก็กลายเป็นน้ำเสียงสั่นๆ ที่คนฟังยังสะท้านตามจนอยากจะบีบมือเข้า
“โอ๋ๆ อย่าคิดแบบนั้นดิ...แกก็มีดีตั้งเยอะตั้งแยะ แต่แค่...” อยู่ๆ ก็เหมือนนึกขึ้นได้ จึงไม่อยากจะพูดอะไรที่มันสะเทือนใจเพื่อนไปมากกว่านี้
“ไม่เป็นไรหรอกแก คิดแบบนี้น่ะดีแล้วแก คิดว่าเราสวยสู้เขาไม่ได้ ด้อยกว่าเขานั่นแหละดีแล้ว ถ้าฉันสวยอยู่ มีดี มีพร้อมทุกอย่างแล้วยังสู้เขาไม่ได้นี่สิ โคตรจะเจ็บเลย...”
คำว่า ‘ถ้าฉันสวยอยู่’ นั้น เหมือนมีเสียงน้ำตาไหลรินปะปนมาด้วย จนลลิตาต้องพยายามกลั้นน้ำตา
‘มีเบียร์สักป๋องมะ...ชนแบบข้ามน้ำข้ามทะเลกัน’ แล้วเสียงเดินไปเปิดตู้เย็นของอีกฝ่ายก็ดังตามมาด้วยเสียงรื้อค้น
“เออ พอมีอยู่...” แล้วเธอก็ฉวยเอากระป๋องเบียร์ที่ตามติดมา แต่จิบไปแค่สองสามครั้ง
ภาพผู้หญิงคนนั้น หวนย้อนเข้ามาในความรู้สึกอีกครั้ง วนเวียนซ้ำไปมา เธอพยายามไม่คิดว่าคนที่ทำให้เขาไปขอถอนหมั้นเธอคือผู้หญิงคนนี้ พยายามคิดว่าผู้หญิงคนนี้มาทีหลัง หลังจากที่เขาไปส่งข้อความไปขอถอนหมั้นแล้ว
แต่มันก็เชื่อตามนั้นไม่ได้
“รู้แล้วเขาดีขนาดไหน...แตกต่างจากฉันที่ชีวิตวุ่นวาย...ชน!!!” คนไม่เมาง่ายๆ พูดเหมือนจะแกล้งเมาไปอย่างนั้น เพื่อให้ตัวเองสบายใจ ในมือก็ส่อง Instagram ของฝ่ายนั้น ให้ตัวเองเจ็บใจเล่นไปด้วย
