6 รจนาเลือกได้
เช้าวันต่อมา หน้าบ้านของกำนันร้าวก็เต็มไปด้วยชายร่างใหญ่นับสิบกว่าคน ช่วยกันขุดดินข้างรั้วหน้าบ้าน พร้อมลงดอกกุหลาบหลากสี เต็มรั้วไปหมด จนเจ้าของบ้านรีบมาโวยวาย
“ตายแล้ว ตายแล้ว! มาปลูกอะไรกันหน้าบ้านฉันเนี่ยพ่อหนุ่ม!” ไม่ใช่ใครที่ไหน มานีภรรยากำนันนั่นเอง
“ผมเป็นคนของเสี่ยยศครับ มาปลูกดอกไม้ให้คุณรจนา”
“อะไรนะ!? รจนาเหรอ?...มาปลูกให้ลูกสาวฉันทำไม ปลูกเพื่ออะไร!” ใจคนแก่ที่ยังสวยยังสาวเต้นระส่ำขึ้น กิตติศัพท์ของทรงยศ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยกันทั้งนั้น
“มีอะไรกันเหรอคะแม่” เมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกอยู่หน้าบ้าน รจนาก็รีบออกมาดูด้วยตัวเองทันที
และก็ต้องตะลึงให้กับภาพที่เห็น กุหลาบหลากสี...แบบที่เธอเห็นใน Facebook page หนึ่ง ที่สวยดีและกดแชร์ไปเมื่อวาน
เหมือนกันเป๊ะเลย
“รจนามาพอดีเลยลูก...หนูได้ไปคุยอะไรกับไอ้เสี่ยทรงยศไหม?” รีบถามบุตรสาว ด้วยใบหน้าที่เหมือนจะเป็นลมล้มลงให้ได้
“ก็คุยเมื่อวานค่ะ เสี่ยมาหาที่หน้าบ้านนี่เอง” ตอบมารดาพร้อมมองไปยังชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ ที่พากันหยุดขุดดินและหันมามองที่เธออย่างเคารพ
“จริงเหรอ ทำไมไม่เห็นเล่าให้แม่ฟังบ้างเลยลูก รจนา!”
“พอดีว่ารจนาลืมน่ะค่ะแม่ ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ อย่าบอกนะคะ ว่าคนพวกนี้คือคนของเสี่ยยศ?”
“ใช่ครับคุณรจนา เสี่ยให้พวกเรามาปลูกกุหลาบให้คุณรจนา แบบที่คุณชอบครับ” หญิงสาวเอียงคอไปมา
“แต่ว่า รจนาไม่เคยบอกเลยนะว่าชอบและอยากได้กุหลาบมาปลูกไว้รั้วบ้าน” ชายฉกรรจ์ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าทีม รีบล้วงโทรศัพท์ออกมาพร้อมส่งรูปที่เจ้านายส่งให้
“นี่ครับ...” พร้อมยื่นออกไปให้เธอดู รจนารับโทรศัพท์มาดูก็พบว่าเป็นภาพที่เขาแคปหน้าจอมาจากโพสต์ของเธอใน Facebook ที่เพิ่งแชร์ไปเมื่อวาน
‘ถ้ามีกุหลาบหน้าบ้านแบบนี้คงจะฟินดี’ และนั่นคือแคปชั่นที่เธอใส่เอาไว้ ประกอบการแชร์
“ก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ได้ว่าอยากจะได้จริงๆ ซะหน่อย เจ้านายพวกพี่ไม่เคยเล่นเฟซบุ๊คเหรอ ไม่เคยแชร์อะไรแล้วแบบ แค่อยากจะแชร์บ้างเหรอ!”
“แต่เดี๋ยวนะ...แล้วเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊คกับรจนาได้ยังไง? เป็นตอนไหน” เธอพยายามคิดแล้วก็ถึงบางอ้อ เมื่อวานมีคนขอเป็นเพื่อนเธอมาแค่คนเดียว
ไม่ใช่รูปคนด้วยนี่ รูปหมา
“ปกติเสี่ยไม่เคยเล่นครับ แต่เพิ่งจะสมัครเมื่อวาน ใส่รูปเจ้าฟีโน่” เธอพยักหน้าเหมือนเข้าใจ
“เสี่ยสมัครเพราะว่าอยากจีบคุณรจนาจริงๆ นะครับ โปรดให้โอกาสเสี่ยด้วยเถอะครับ” ชายร่างโหด เมื่ออยู่ในโหมดช่วยเจ้านาย ก็พากันเรียบร้อยราวกับถูกอบรมมาอย่างดี
“อะไรนะ! ใครจีบใครนะ ฉันฟังไม่ถนัด!” มานีโวยวายขึ้น มองหน้าเหล่าชายฉกรรจ์สลับกับบุตรสาวตัวเองไปมา
“เสี่ยยศจีบคุณรจนาครับ”
“จริงเหรอลูก?!” รจนายิ้มแหย
“รจนาก็ตกใจเหมือนกันค่ะแม่ งงด้วย”
“โอย แต่ละวันไม่ซ้ำเรื่อง...แม่จะเป็นลม!” นั่นแหละรจนาก็เลยต้องรีบไปประคองมารดา และกล่าวขอบคุณสำหรับดอกไม้ที่มาปลูกไว้หน้าบ้าน ไหนๆ ก็ปลูกไปแล้ว ถ้าจะไม่รับไว้ก็คงจะกระไรอยู่
ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย
ทำไม ชีวิตเราจะต้องมาเจอแต่คนสุดโต่งแบบนี้ตลอดด้วยนะ!
เรื่องนี้รู้ไปถึงหูกำนันร้าว ทำให้ท่านต้องเรียกพบเสี่ยทรงยศเป็นการด่วนเพื่อถามให้แน่ใจ ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ และเขาก็มาถึงที่บ้านจริงๆ แบบไม่ให้อะไรมาสำคัญกว่า
นั่นส่งผลให้กำนันร้าวพึงพอใจและเปิดใจให้เขามากขึ้น แม้ภรรยาจะขัดข้องแต่คนที่ถูกหักหน้ามาหมาดๆ คิดว่า นี่แหละคือโอกาสที่จะได้กลับมาภาคภูมิใจอีกครั้ง หลังจากที่ถูกทำลายชื่อเสียงไป
“คิดได้ยังไงคะคุณพี่ คนเลวพันธุ์นี้ จะเอาอะไรมาภูมิใจ” เมื่อทรงยศกลับไป มานีก็โวยวายกับสามีที่อนุญาตให้เขามาจีบบุตรสาวตน
“ก็ยังดีกว่าคนไม่เอาไหน เกาะพ่อแม่กินไปวันๆ แถมยังอันธพาลกับเด็ก อย่างไร้ศักดิ์ศรี” กำนันร้าวหมายถึงสุรกานต์ผู้ที่ภรรยาเชียร์ให้บุตรสาวเต็มที่
“แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ทำชั่ว ผิดกฎหมายเหมือนเสี่ยทรงยศนะคะ แม่ไม่มีวันยอมให้ลูกรจนาต้องตกไปอยู่ในมือคนแบบนั้นหรอกค่ะ อันตรายไร้อนาคต!”
“ถึงจะอย่างนั้น แต่เขาก็มีเงิน มีอำนาจ ลูกเราไปอยู่กับเขาก็คงจะสบาย ดีกว่าคนที่พอพ่อหมดบารมีก็จะไม่เหลืออะไร”
“แต่อย่างน้อยตากานต์ก็รักลูกเราจริงนะคะ รักมาตั้งนานแล้ว แถมตอนนี้ก็ยังคงมั่นไม่เปลี่ยน แม่เชื่อในความรักนะพ่อว่ามันจะทำให้คนเรายอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตัวเองรัก เขาอาจจะถึงจุดเปลี่ยนอะไรในชีวิตก็ได้” รจนานั่งฟังบิดามารดาถกกันไปมาก็พยักหน้า แอบนำสมุดขึ้นมาจด เก็บข้อมูลและถ้อยคำข้อคิดที่ไม่ค่อยได้ยินมาก่อน
ตามประสานักคิด...นักสังเกตที่ต้องรวบรวมนั่นนี่อยู่ตลอดเวลา
“แล้วแม่รู้ได้ยังไง ว่าเสี่ยยศเขาจะไม่ได้รักลูกสาวเราจริง ขนาดตอนนี้ลูกเราไม่ได้สวย เขาก็ยังสนใจ แสดงว่าเขาอาจจะแอบชอบมาตั้งนานแล้ว แต่แค่มีมารยาทพอที่จะไม่มาจีบคนมีคู่หมั้น ไม่เหมือนไอ้หัวล้านอ้วนเผละของแม่หรอกที่พยายามตั้งแต่ที่เขามีพันธะอยู่”
“อ้าวพ่อ นี่พ่อว่าแม่เหรอ พ่อกล้าว่าแม่เหรอ!”
“ใจเย็นๆ กันก่อนนะคะคุณพ่อคุณแม่ ใจเย็นเย๊นเลยค่ะ...” และเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ สาวน้อยก็รีบกู้สถานการณ์ทันที
“คือรจนากำลังคิดว่า เหตุผลของคุณพ่อคุณแม่เนี่ย...น่าฟังกันทั้งคู่เลยนะคะ” สองสามีภรรยาหันไปมองหน้ากัน ก่อนสะบัดหนีเชิงงอน และหันมามองหน้าบุตรสาวอย่างพร้อมกันอีกครั้ง
“แต่เหตุผลของใครจะจริงหรือไม่ จะรู้ได้จากอะไรหรือคะ?” คำถามชวนคิดนี้ ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองท่านชะงักและหันไปมองหน้ากัน แล้วเกิดความรู้สึกกระดากเล็กน้อย
“คำตอบก็คือ ไม่มีใครรู้ใช่ไหมคะ ว่าเหตุผลของใครจะใช่หรือไม่ใช่ เพราะทั้งหมดมันต้องขึ้นอยู่กับเวลา...ไม่มีใครรู้ว่าวันข้างหน้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้ครอบครัวเราก็ทราบกันอย่างสุดซึ้งมาแล้วถูกไหมคะ?” เธอทอดเสียงอ่อน เชิงแสดงให้พวกท่านเห็นว่าเธอก็เสียใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
จนมารดารู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ รวมไปถึงคนที่ไม่ได้แสดงออกชัดเจนมากอย่างบิดาด้วย
“เพราะฉะนั้นแล้ว ทำไมเราต้องรีบร้อนกันด้วยละคะ รจนาจะได้เป็นรจนาอย่างสมชื่อแล้ว...ก็ขอนั่งร้อยพวงมาลัยสวยๆ เตรียมโยนให้กับคนที่เหมาะสมที่สุดไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอคะ จะมีเจ้าชายมายืนรอรับพวงมาลัยเยอะหน่อย ก็ไม่เห็นจะเป็นไร สนุกเลือกดีออก...จริงไหมคะ?”
เมื่อได้ยินบุตรสาวพูดมาอย่างนั้น มานีก็น้ำตาซึมออกมา พร้อมอ้าแขนกว้างเปิดให้บุตรสาวโผเข้าไปสวมกอด
“โถ...รจนาของแม่” ส่วนกำนันร้าวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย พยักหน้าตามเชิงยอมรับ
“พ่อเห็นด้วย ขอโทษนะที่ใจร้อนไปหน่อย คิดแต่จะเอาคืนฝ่ายนั้นให้สาสม”
“ใช่จ้ะ แม่เองก็ต้องขอโทษด้วยที่ใจร้อนไปมาก ขอโทษพ่อด้วยนะ เราเคยพลาดมาแล้ว เราต้องไม่พลาดอีก...จะว่าไปมีหนุ่มมารุมจีบก็เก๋ไปอีกแบบนะ ยังไม่ต้องเลือกใคร รอให้แน่ใจ นั่งร้อยพวงมาลัยสวยๆ” พูดอย่างภาคภูมิใจและชอบใจในการเปรียบเปรยของบุตรสาว
ที่ฉลาดสมกับให้ไปตั้งเรียนเมืองนอกเมืองนา
แล้วรจนาก็โผเข้ากอดบิดาบ้าง มารดาบ้าง...ดีใจที่ท่านเข้าใจ อย่างน้อยถึงจะไม่เจอความรักดีๆ จากใคร แต่ตรงนี้ก็ยังมีรักแท้อันบริสุทธิ์มอบมาให้อยู่เสมอและเหมือนจะตลอดไปด้วย
