12 เป็นห่วงหรือหวงก้าง?
หลังจากที่ได้ถวายเทียนพรรษาเสร็จเรียบร้อย เคียงคู่ไปกับสุรกานต์ แบบไม่ได้สนใจสายตาเคร่งขรึมสองคู่ ที่มองตามอยู่ตลอดเลยนั้น เธอก็มานั่งอยู่ที่นอกศาลาเพื่อสูดบรรยากาศบริสุทธิ์ให้เข้าไปเต็มปอด
รอพวกเด็กๆ ที่นัดกันว่าจะมาช่วยกันกวาดลานวัด ตามสัญญาที่ให้กับหลวงพ่อเอาไว้
“จะคุยได้รึยัง” แต่แล้ว...มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เมื่อมีคนไม่ยอมที่จะล่าถอยไปง่ายๆ ตามมา
“เฮ้อ ยังจะตามมาอีกเหรอคะเนี่ย?” หันไปถามด้วยความเหนื่อยใจ ถอนหายใจโชว์ไปหลายๆ รอบถ้วน แต่เขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเห็นใจ
“มันไปยุ่งกับเรานานรึยัง” แววตาคมเข้มขึ้น เมื่อเอ่ยถึง ‘มัน’ ที่เธอเองก็รู้ว่าคือใคร
“ทำไมคะ จะยุ่งตอนไหน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่ด้วยเหรอคะ?” ปกติเธอไม่ใช่คนช่างประชด แต่ก็เป็นคนหนึ่งที่มีหัวใจ
ทำไม? นั่นสิทำไม?
จะนานหรือไม่นาน เขาเกี่ยวอะไรด้วยเล่า!
“ไม่รู้เหรอ ว่ามันเป็นคนยังไง” เขาว่าเชิงตำหนิและหนักใจกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
“ไม่รู้หรอกค่ะ เพราะอะไรที่คิดว่ารู้...ก็ยังรู้ไม่ดีเลย ตอนนี้ก็เลย ไม่เชื่อความคิดเก่าๆ ไปตั้งนานแล้ว”
“ทุกอย่างที่มันทำไป ก็เพราะว่าอยากจะยั่วพี่” เขาตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ เพราะรู้สึกเป็นห่วงเธอจับใจ และไม่อยากให้เธอตกเป็นเครื่องมือของจอมวายร้ายพรรค์นั้น
“ยั่วพี่? ยั่วยังไงเหรอคะ?”
“ก็ยั่วอย่างตอนนี้ไง” รจนาทำเป็นพยักหน้า
“อ๋อ ยั่วให้พี่โกรธ...แล้วพี่โกรธทำไมเหรอคะ? เราสองคนก็ถอนหมั้นกันแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน ใครจะไปมีใครใหม่ก็ได้หมดไม่ใช่เหรอคะ?” ว่าติดไปทางแอบงอนเล็กน้อย เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้
ลึกๆ ในใจเธอก็ไม่อาจที่จะลืมเขาได้จนหมดจดขนาดนั้น
“พี่ไม่ได้โกรธที่เราจะไปมีใครใหม่ พี่ดีใจด้วยซ้ำที่เราจะก้าวไปข้างหน้า...แต่พี่โกรธเพราะพี่รู้ว่ามันไม่ได้จริงใจกับเรา” หญิงสาวแค่นยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ความจริงใจนี่เขาดูกันที่ตรงไหนเหรอคะ? ดูจากอะไร พอดีว่ารจนาดูคนไม่ค่อยเก่งน่ะค่ะ คิดว่าคนนี้จริงใจแล้ว แต่ก็มากลับลำกันง่ายๆ”
“มันไม่ใช่เวลาที่จะมาประชด”
“แล้วเวลาไหนประชดได้บ้างละคะ จะได้ตามไปประชดถึงบ้าน” แล้วเธอก็ต้องหุบปากฉับลง กัดปากตัวเองไปหนึ่งที ที่เวลาเหนื่อยมากๆ จะต้องเผลอหลุดปาก
ทั้งๆ ที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วแท้ๆ ว่าจะปล่อยเรื่องนี้ไป แล้วเริ่มต้นใหม่แบบไม่แยแส!
ก็เขาไงล่ะ ที่เป็นฝ่ายกลับมาให้แยแสน่ะ!
“แล้วทำไมเวลาที่พี่ถาม ถึงไม่เคยพูดออกมาตรงๆ” คนที่เพิ่งจะทราบว่าอีกด้านหนึ่งของความรู้สึกเธอ ตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่ได้ยินและเห็นอยู่ตรงหน้า
“ช่างมันเถอะค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” เธอรีบตัดบท แบบไม่อยากที่จะรื้อฟื้น
“ไม่ได้ พี่ไม่อยากให้เราต้องเข้าใจผิดแบบนี้ไปตลอด”
“ช่างมันเถอะค่ะ! ก็บอกว่าให้ช่างมันไง!” คนที่มักเผลอทำตัวเป็นเด็กใส่เขามาตลอด เสียงดังขึ้นเล็กน้อย จนเขาต้องยอมอ่อนใจ
ตั้งแต่ที่เขาส่งข้อความไปบอกเธอเชิงปรึกษาแล้วเธอไม่ยอมตอบในคราวนั้น มันทำให้เขาคิดว่า..เธอก็คงจะเห็นด้วย เพราะความห่างไกล กับอิสระในต่างประเทศ น่าจะทำให้เธอไม่ชอบการคลุมถุงชนนี่สักเท่าไหร่
แต่ตอนนี้เขาเริ่มไม่มั่นใจแล้ว
“ยังไง พี่ก็จะหาโอกาสพูดเรื่องนี้อีก”
“หมดธุระแล้วใช่ไหมคะ งั้นขอตัวก่อนนะ”
“เดี๋ยว” เขาคว้าข้อมือเธอเอาไว้ จนรจนาแทบจะเซเข้าไปกองกับหน้าอกเขา โชคดีที่ยั้งเอาไว้ได้ทัน
“เลิกยุ่งกับเสี่ยทรงยศซะ”
“ขอโทษนะ ไม่ได้ยุ่งค่ะ...เขามายุ่งเอง”
“เดี๋ยวพี่จะกันมันออกให้ ขอแค่เราตีตัวออกห่างก็พอ” เธอพยายามแกะข้อมือออกจากการเกาะกุมนั้น แต่เขาก็ไม่ยอม เกร็งเข้าจนเหมือนเป็นคีมเหล็ก ล็อกแน่นหนา
“จะทำเป็นไปคบกับสุรกานต์แทนก็ได้” ประโยคต่อมาของเขา ทำเอาหญิงสาวสะดุด
“เหอะ เดี๋ยวนะคะ นอกจากจะไม่ต้องการกันแล้ว ยังมาจัดแจง ยัดเยียดให้คบกับคนนั้นคนนี้ได้อีกเหรอคะ มันจะมากไปแล้วมั้ง”
“พี่ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น พี่แค่จะบอกว่าคนอย่างเสี่ยงทรงยศ อันตรายกว่าสุรกานต์มาก” เธอบิดข้อมือออกจากเขาได้สำเร็จ เพราะแรงโกรธ
“ไม่ใช่เพราะว่าเสี่ยทรงยศ เขาดูดีมีราศีกว่าสุรกานต์หรอกเหรอคะ?” พูดออกมาด้วยความเสียใจท่วมท้น
“พูดอะไร หมายความว่ายังไง” คนที่เป็นห่วงเธอจากใจ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังจะสื่อ
“ยังไงก็แล้วแต่เถอะค่ะ รจนาจะเลือกผู้ชายคนไหน มันก็เรื่องของรจนาค่ะ คุณปรเมศไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ รจนาจะเลือกมันให้ดีด้วยตัวของรจนาเอง จะไม่ปล่อยให้ใครมาเลือกให้แบบผิดๆ และเสียเวลามาตั้งนานหรอกค่ะ”
“ประชดอีกแล้วนะ” เขาว่าเชิงตำหนิ เหมือนเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่เขาเคยปกป้องคนนั้น ที่มักจะเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง
“รจนาขอตัวก่อนนะคะ” แล้วเธอก็หมุนตัวเดินจากเขาไปได้สำเร็จ ปล่อยให้คนหนักใจยืนมองตามเธอไปแบบครุ่นคิด
ดื้อไม่เปลี่ยน...
แม้ความห่างไกล ห่างเกินระหว่างเธอกับเขาจะผ่านมานานนับหลายปี แต่ความทรงจำและความคุ้นเคยในวัยเด็กก็ไม่ได้เลือนหายไปจากใจ
การกลับมาของเธอครั้งนี้ มีอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ความเป็นรจนาผู้สดใสและซื่อสัตย์ ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เขาสัมผัสมันได้ดี
เขายอมรับว่าไม่เคยชอบการคลุมถุงชนและคิดมาตลอดว่า จะปล่อยให้เธอเป็นอิสระเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งตัวเองด้วย เพราะเขาเองก็อยากที่จะเรียนรู้คนใหม่ๆ แอบเปิดโอกาสให้ตัวเองมาตลอด แต่ก็ไม่ได้ไปจริงจังกับใคร
และการปล่อยให้เธอได้ไปมีโอกาสเป็นของตัวเองบ้าง น่าจะเป็นความยุติธรรมที่สุด
แต่ก่อนที่เขาจะทำแบบนั้น เขาก็ได้ถามความสมัครใจจากเธอก่อน แต่เธอกลับไม่ยอมที่ตอบกลับข้อความของเขา นั่นมันทำให้เขาคิดว่า...
เธอคงไม่ได้สนใจ และเลือกที่จะไปศึกษาคนอื่นเช่นกัน
ความห่างเหินในช่วงที่เธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้เขาคิดว่าคงจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะเด็กสาวที่ชอบทำตัวติดเขามาตลอด ได้ตีตัวออกห่างไปทุกวัน
“นี่เราคิดไปเองมาตลอดเลยเหรอเนี่ย” พึมพำออกมาได้แค่นั้น เพราะตอนนี้เขาก็ไม่ใช่คนตัวเปล่าแล้ว มีอีกความรู้สึกหนึ่งที่จะต้องรับผิดชอบ
แม้จะยังไม่ได้จริงจัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมาทำร้ายความรู้สึกเธอได้ตามอำเภอใจ คนที่มีคุณธรรมในจิตใจสูงอย่างปรเมศ ไม่มีวันทำเรื่องพวกนั้นแน่ๆ
แล้วเวลาแห่งการเวียนเทียนในช่วงค่ำก็ได้มาถึง รจนาเลือกที่จะชวนทรงยศมาร่วมเวียนด้วย และตีตัวออกห่างจากสุรกานต์
รู้ว่าการทำแบบนี้มันดูจะไม่ถูกไม่ควรนัก การประชดประชันมันไม่ควรที่จะต้องไปเอาใครมาเป็นเครื่องมือของใคร
แต่ขอหน่อยได้ไหมล่ะ...ขอนิดนึง!
เธอจะไม่อะไรเลย ถ้าเขาถอนหมั้นและไปมีชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่กลับมาวุ่นวาย จัดการให้เธอเลิกคุยกับคนนั้น แล้วไปคุยกับคนนี้
คิดว่าตัวเองเป็นใคร มีสิทธิอะไรฮะ!!!
“นี่” รจนาสะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกสะกิดแขนพร้อมกระซิบข้างหู จากคนที่เดินเวียนเทียนมาเคียงข้าง
“คะ?”
“ครบสามรอบแล้ว จะเวียนสี่เหรอ” คนที่ไม่เคยเวียนมาก่อนเตือนเธอ พร้อมเชิญชวนให้หันไปมองคนอื่น ที่เขาพากันเดินเข้าศาลากันหมด
“โทษทีค่ะ สงสัยนับรอบผิด”
“นับผิด หรือไม่ได้นับเลยกันแน่” ว่าเหมือนรู้ทัน พร้อมเดินนำเธอกลับเข้าไป รจนาทำปากยื่นใส่เขาเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินตามไป
วันนี้เสี่ยทรงยศที่ใครๆ ก็ต่างพากันกลัวนั้น สวมเสื้อยืดสีขาวแบบสบายๆ กับกางเกงสแล็กสีดำตามแบบฉบับ และมีลูกน้องตามติดมาอีกเป็นขบวนแบบไม่ลดน้อยลงเลยสักหน่อย
เธออยากจะถามเขานัก ว่ากลัวใคร เพราะว่าในถิ่นนี้คนที่น่ากลัวที่สุด ก็คือเขานั่นแหละ!
ฝ่ายปรเมศและคำแก้ว ไม่ได้เวียนเทียนที่นี่ แต่ก็ได้ข่าวแว่วๆ มาว่า พากันไปเวียนเทียนที่ตัวจังหวัดและไปรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวฝ่ายหญิง ที่อยู่ในตัวจังหวัดด้วย
“พรุ่งนี้ไปทานข้าวที่บ้านกัน” อยู่ๆ ทรงยศก็เอ่ยขึ้นหลังจากที่พิธีเวียนเทียนได้แล้วเสร็จ เธอเดินมาขึ้นรถของเขาเพื่อกลับบ้าน เหมือนตอนขามา
“บ้านใคร?”
“บ้านฉัน” รจนาหันขวับ แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เดี๋ยวนะ? ชวนไปบ้านเลยเหรอ เห็นรจนาเป็นคนยังไงเนี่ย!” เธอว่าอย่างไม่ค่อยจะพอใจ
“แค่ไปทานข้าว คิดอะไร”
“รู้ แต่แค่ทานข้าว ไปทานที่อื่นก็ได้นี่ ร้านอาหารเยอะแยะ” เขาเงียบไปชั่วอึดใจ
“มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
“แล้วที่ร้านอาหารคุยไม่ได้หรือยังไง?”
“ไม่ได้ พวกสอดแนมมันเยอะ ฉันไม่ชอบ” เธอลืมไปได้ยังไง ว่าคนอย่างเสี่ยทรงยศ ไม่เคยโผล่ไปทานอาหารนอกบ้านที่ไหน
ประกอบกับการสงสัยในชีวิตและความคิดเบื้องลึกของเขา ทำให้เธอเริ่มช่างใจ ว่าจะลองไปดีหรือไม่
“เดี๋ยวรจนาลองขออนุญาตพ่อกับแม่ก่อน”
“เดี๋ยวขอให้ ไม่ต้องห่วง” เมื่อเขาว่ามาอย่างนั้น เธอก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย
“ก็ได้ เดี๋ยวขอคิดเมนูก่อนนะคะ ว่าอยากกินอะไรบ้าง รจนากินเยอะนะ พาไปบ้านทั้งทีต้องจัดเต็มเลยนะ” เขายิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมส่ายหน้า
“ถึงว่า ได้อ้วนเอา อ้วนเอา”
“นี่คุณบูลลี่ฉันเหรอ!” เขาหัวเราะออกมา พร้อมหมุนเปิดเสียงเพลงให้ดังขึ้นอย่างพร้อมที่จะผ่อนคลาย
เอาจริงๆ กิจกรรมในวันนี้ทั้งวัน ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก สบายใจแบบ...ไม่ได้สบายใจแบบนี้มานานมากแล้ว
