11 รจนาสามชาย
“ไม่ต้อง” แต่ทันทีที่ฝ่ายนั้นก้าวเข้ามา ลูกน้องที่คอยคุ้มกันของเสี่ยทรงยศ ก็พากันจับปืนที่เหน็บเอวเอาไว้กันทันที จนเขาต้องรีบสั่งขึ้นเสียงก้อง
ชาวบ้านที่พากันหวาดหวั่นเดิมอยู่แล้ว พากันกรูหลบไปอีกทางทันที
“มาวัดยังพกลูกน้องมาขนาดนี้ ยังขี้ขลาดเหมือนเดิมสินะ” ปรเมศเอ่ยขึ้นอย่างสงบ มุมปากมีรอยยิ้มเยาะเล็กน้อย จนเหล่าลูกน้องพากันชักปืนออกมาและจ่อไปที่เขา
เพราะบังอาจมาหยามเกียรติเจ้านายของตน!
“ไม่ต้อง” ทรงยศจ้องไปยังคนที่ยืนอยู่ ส่งยิ้มให้เล็กน้อยแบบสบายๆ ก่อนหันกลับมามองรจนาที่กำลังตกใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สายตาคมกริบจากอีกฝ่ายเปรยมองตามการเชิญชวนของมัน ด้วยแววตาที่เข้มขึ้น...สันกรามขบเข้าแบบช้าๆ
“ไปนั่งทางนั้นกันดีกว่าครับ” และหันไปเอ่ยกับผู้หญิงข้างกาย ที่ดูจะตกใจไม่น้อยแต่ควบคุมสติได้ดี
คงจะชินแล้วล่ะสิ กับการได้เป็นผู้หญิงของคุณปรเมศ! ใจร้าวๆ ของรจนาตะโกนก้องอยู่ภายใน พยายามเบือนหน้าหนีจากภาพบาดตานั้น
ไม่แยแสแม้แต่สายตาที่สื่อความหมายบางอย่างออกมาจากแววตาของปรเมศ
บรรยากาศในวัดค่อยๆ ผ่อนความตึงเครียดลงเมื่อพระเริ่มสวด รจนาชำเลืองมองคนที่ไม่เคยเข้าวัดนานมากแล้วเป็นระยะ เพื่อประเมินว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร
แต่ก็อย่างว่า คนที่นิ่งได้เป็นนิจนั้น...ดูจะสงบได้ง่ายมากกว่าคนที่จิตใจวุ่นวายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
การตักบาตรร่วมขันก็จำต้องตามมา หลายคนสงสัยการมาด้วยกันของรจนากับเสี่ยทรงยศ แต่หลายคนก็พอทราบเพราะพ่อค้าแม่ค้าทุเรียนพากันลือใหญ่
แต่กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยซุบซิบ เหมือนในคราที่เธอถูกถอนหมั้น ซึ่งนั่นทำให้กำนันร้าวรู้สึกหน้าบาน อย่างน้อยอิทธิพลในทางร้ายของว่าที่ลูกเขยคนใหม่ ก็ทำให้ใครต่อใครเกรงใจ
ดีกว่าไปคว้าคนอ้วน ฟันเหยิน ที่ไม่เอาไหนพรรค์นั้นมาทำให้ยิ่งอับอายลงไปหนัก
“หลังตักบาตรเรียบร้อย พี่ขอคุยด้วยหน่อย” ในขณะที่กำลังคลานเข่าเข้าไปตักบาตรที่อยู่เบื้องหน้า โดยที่รจนามีทรงยศนำหน้าไปนั้น
ปรเมศก็แอบมาลอบคลานตามหลังและแอบกระซิบในสิ่งที่ทำให้เธอตกใจ
“ไม่คุยค่ะ” เธอรีบปฏิเสธและคลานเข่าไปข้างหน้า เพราะว่าใกล้จะถึงบาตรแล้ว ซึ่งปรเมศก็ไม่ยอมเช่นกัน คลานตามไปติดๆ จนพอถึงจุดตักบาตร
กลายเป็นคนสามคน กำลังตักบาตรพร้อมกันในเชิงเบียด
ครูคำแก้วผู้คลานตามปรเมศมาดีๆ จำต้องหยุดชะงักและรอให้ทั้งสามใส่ให้แล้วเสร็จก่อน เธอรู้ดีว่าเขาไม่มีสมาธิ...ตั้งแต่ที่ได้มาเห็นว่าทั้งคู่อยู่ด้วยกันแล้ว
แม้จะรู้สึกอับอายแต่ก็ต้องอดทน เพราะการเป็นผู้หญิงของปรเมศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เธอต้องผ่านอะไรมากมายกว่าจะได้มาอยู่จุดๆ นี้
“พี่จะรอนะ” เขากระซิบย้ำ ในขณะที่คลานเฉียดผ่านเธอไป ตอนตักบาตรแล้วเสร็จ
“น้องรจนาจ๋า! น้องรจนา!” แล้วเสียงโหวกเหวกของใครบางคนก็ดังมาจากหน้าวัด ซึ่งเพียงแค่เสียงคนทั้งวัดก็รับรู้ได้ว่าคือเสียงของใคร
หญิงสาวชะเง้อหน้าไปมอง พร้อมจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกมือใหญ่คว้ามือเอาไว้ซะก่อน
“นี่คุณ มาจับมือรจนาทำไม” และรีบปัดออกทันที เพราะกลัวว่ามันจะไม่งาม และมองไปรอบศาลาวัดทันที
ใช่...มีคนมองมาที่เธอพร้อมทำตาโตกันใหญ่!
“จะไปไหน”
“รจนาสัญญากับพี่กานต์ไว้ ว่าจะเตรียมของใส่บาตรมาเผื่อ เพราะเขามาช่วยรจนาขนเทียนพรรษามาถวายพระ แถมซื้อมาช่วยด้วย” เธออธิบายออกมาจากใจ แม้จะไม่เคยคุยเรื่องที่มีคนมาจีบตัวเองอีกคนอยู่ ให้เขาฟังมาก่อน
ก็ไม่เคยถามนี่!
“เทียนอะไร ไม่เห็นเคยได้บอก” เขาถามพร้อมลุกขึ้นตามที่เธอลุกขึ้น
“ก็ใครจะไปรู้ว่าคุณอยากเข้าวัดทำบุญ รจนาเตรียมเรื่องนี้มาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วแล้ว” มานีและมาลัยมองตามคนสองคนด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง
มาลัยนึกห่วงหลานสาว ที่กำลังจะเจอกับความวุ่นวายใจจากการถูกรุมจีบแบบสุดโต่ง ส่วนมานีรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เห็นว่าบุตรสาวของตน แม้จะอวบอ้วนไม่สวยดังเก่า แต่ก็เสน่ห์แรงแบบลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น!
“ต่อไปมีเรื่องอะไรให้บอกให้หมดนะ” เสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย จนเธอต้องหันไปมองหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ตอนนี้เราไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย คุณแค่จีบรจนาอยู่”
“เหมือนกันนั่นแหละ” คนที่เดินไปข้างหน้าหันกลับมาจนหัวแทบจะหลุด
“ไม่เหมือนจะเหมือนได้ไง”
“น้องรจนาจ๋า พี่ขอโทษนะจ๊ะที่มาสาย...” แล้วเสียงพื้นกระเทือนก็ดังมาพร้อมกับเสียงที่ดังพอๆ กัน
“นี่รจนาเตรียมไว้ให้แล้ว ไปตักบาตรก่อน ส่วนนี่เทียนเอาไว้ถวาย”
“แล้วน้องรจนาตักไปแล้วเหรอ เราจะไม่ตักบาตรร่วมขันกันหน่อยเหรอ” ว่าเสียงงอแงแบบไม่ได้สนใจว่าเสี่ยทรงยศกำลังมองมาด้วยแววตาเขม็ง
สุกานต์เป็นอันธพาลก็จริง แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะยุ่งกับคนที่ทำได้ทุกอย่างคนนี้ ก็เลยเลือกที่จะทำเป็นไม่เห็นซะ ไอ้เรื่องจีบผู้หญิงคนเดียวกันอะไรนั่น เขายิ่งไม่ได้สนใจ
เพราะเขาเชื่อว่ายังไง เสี่ยทรงยศก็ไม่น่าจะมาจริงจังอะไรกับรจนาอยู่แล้ว น่าจะทำไปเพราะมีแผนอะไรมากกว่า
“รจนาตักไปแล้ว ค่อยรอถวายเทียนพร้อมกัน”
“หือ?” คนหน้าตึงเปี๊ยะสะกิดเธอเชิงเตือน
“คุณไม่ได้เตรียมเทียนมา ไม่ต้องถวายหรอก” เธอตอบกลับเหมือนรู้ว่าเขากำลังจะสื่ออะไร
“เธอเตรียมมาไม่ใช่เหรอ ก็ถวายด้วยกัน”
“ไม่ได้นะครับน้องรจนา เราเตรียมมาด้วยกัน เราก็ต้องถวายด้วยกัน” เจ้าของร่างอ้วนเผละสวนขึ้นมา แบบไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย
“งั้นก็ถวายด้วยกันสามคนนี่แหละค่ะ” ว่าพร้อมจะหันหลังกลับเข้าศาลา แต่กลับเกือบจะชนเข้ากลับแผงอกกว้างของคนที่ยืนตระหง่านอยู่ด้านหลัง แบบไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” ใบหน้าที่แสดงความไม่พึงพอใจชัดเจนนั้น ทำเอารจนาอยากจะบ้าตาย
หันมองไปทางซ้ายก็เจอคนทำหน้าเหมือนเด็กเอาแต่ใจ มองไปทางขวาก็พบคนที่หน้าเหมือนจะกินคนเข้าไปได้
“รอถวายเทียนเสร็จก่อนได้ไหมคะ”
“ไม่ได้ พี่จะคุยตอนนี้” ทรงยศขยับขึ้นมาเคียงข้างเธอทันที อย่างพร้อมที่จะปกป้อง
“น้องเขาบอกว่าให้รอก่อน ไม่เข้าใจรึไง” สองสายตาคมประสานกัน ราวกับประกาศความยิ่งใหญ่ ลูกน้องเสี่ยทรงยศพร้อมจะกรูเข้า
“นั่นสิ รอก่อนไม่ได้ไงคุณปรเมศ” คนที่อยากมีบทบาทบ้างรีบพูดขึ้น แต่ก็ติดไปทางกลัวๆ กล้าๆ ลำพังถ้าไม่มีเสี่ยทรงยศ เขาก็คงไม่กล้าพูดจาแบบนี้กับปรเมศเหมือนกัน
“ขอตัวก่อนนะคะ” รจนาตัดสินใจเดินออกมาจากทั้งสามคนที่ประสานสายตากันอยู่ แบบเดินแหวกมาเลย ไม่สนว่าใครจะทำอะไรกัน
นี่มันเป็นวันอะไรกันเนี่ย!
