บทที่ 5 การหมั้นหมาย
พอเผิงเยว่เล่อกลับไปแล้วเยี่ยชิงเหมยจึงได้ไม่มีอารมณ์ที่จะอ่านหนังสือต่อ พอเธอเดินกลับเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าคุณแม่ของเธอกำลังยืนฟังคำพูดของเธออยู่ เมื่อได้เห็นสีหน้าของคุณแม่ของเธอเยี่ยชิงเหมยก็ยิ้มออกมา
“คุณแม่วางใจเถิดค่ะ หนูไล่เธอออกไปแล้ว” เมื่อเยี่ยชิงเหมยพูดเช่นนี้คุณแม่ของเธอก็พยักหน้า
“แม่ไม่ชอบเลยเวลาที่เด็กบ้านเผิงคนนี้มาที่บ้าน นอกจากจะไร้มารยาทแล้วเธอยังชอบถือวิสาสะไปค้นตู้เสื้อผ้าของลูก บ้านของพวกเราก็ไม่ได้ร่ำรวยมากอย่างที่เธอพูดเสียหน่อยแค่เพียงพอมีกินมีใช้เพียงเท่านั้น เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ของลูกล้วนเป็นเพราะแม่เก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อผ้ามาตัดเย็บให้ลูกด้วยตัวเอง แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรมารื้อค้นเพื่อขอยืมเอาไปใส่” เมื่อคุณฟางซูจิ้งเอ่ยเช่นนี้เยี่ยชิงเหมยจึงได้ยิ้มออกมา
“เมื่อก่อนเพราะหนูไม่ได้เห็นนิสัยอันย่ำแย่เช่นนี้ของเธอหนูก็เลยใจกว้างกับเธอมากเกินไปหน่อย และมักจะคิดว่าเธอขอยืมเอาไปใส่เพียงไม่กี่ครั้งเดี๋ยวก็คงจะได้คืนแล้ว คิดไม่ถึงว่าบางชุดเธอจะขอยืมไปแล้วก็ไม่ยอมคืนเช่นนี้ แต่คุณแม่วางใจเถิดค่ะต่อไปหนูจะไม่ยอมให้เธอมาเอารัดเอาเปรียบหนูอีกต่อไปแล้ว” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้คุณแม่ของเธอทอดถอนใจออกมาด้วยความโล่งใจ
“แล้วเรื่องที่เด็กแซ่เผิงคนนั้นคบหากับคนอื่นอยู่ก่อนเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าแค่ผิดใจกันเพียงเพราะเข้าใจผิดหรอกนะ” คำถามของคุณแม่ของเธอทำให้เยี่ยชิงเหมยยิ้มออกมา ด้วยรู้ดีว่าสาเหตุที่คุณแม่ของเธอถามเช่นนี้เพราะกังวลว่าที่ช่วงนี้เธอปรับตัวดีและเชื่อฟังอาจจะเป็นเพราะเธอกำลังโกรธเคืองเรื่องผู้หญิงอื่นของเผิงเยี่ยน หากเธอและเขาสามารถปรับความเข้าใจกันได้คุณแม่ของเธอก็กังวลว่าเธออาจจะกลับมาดื้อดึงเรื่องคู่หมายอีกครั้ง
“คุณแม่วางใจเถิดค่ะ สาเหตุที่หนูคิดจะตัดขาดความสัมพันธ์กับเผิงเยี่ยนไม่ใช่แค่เรื่องผู้หญิงคนนั้นหรอกค่ะ แต่หนูคิดได้แล้วว่าไม่ควรจะรีบคบหากับใครในช่วงนี้ อีกทั้งตัวหนูเองในตอนนี้ก็มีพันธะหมั้นหมายอยู่กับลูกชายของคุณลุงลู่คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ถ้าหนูจะไปคบหากับคนอื่น อีกทั้งคุณแม่ก็เห็นแล้วขนาดเป็นแค่เพื่อนกันเผิงเยว่เล่อยังเอาเปรียบหนูได้ขนาดนี้ ถ้าหนูกับพี่ชายของเธอคบกันจริงๆ เธอจะไม่ยิ่งเอารัดเอาเปรียบหนูมากขึ้นหรือคะ” เมื่อลูกสาวเอ่ยเช่นนี้ฟางซูจิ้งก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ในที่สุดลูกก็สามารถเข้าอกเข้าใจในคำเตือนของแม่ได้เสียที แม่ดีใจที่ลูกสามารถเข้าใจและมองคนได้ทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ วันหน้าแม่ก็คงจะไม่ต้องกังวลเรื่องของลูกอีกแล้ว”
“หนูอาจจะมีข้อบกพร่องในเรื่องการมองคนอยู่บ้าง แต่ในเมื่อหนูมีคุณพ่อและคุณแม่คอยช่วยหนูดูคนเช่นนี้ คุณแม่ยังจะกังวลว่าหนูจะดูคนไม่ออกอีกหรือคะ ดังนั้นคุณแม่เลิกกังวลเรื่องหนูได้แล้ว ควรจะเอาเวลามาดูแลตนเองให้ดีรักษาสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอวันหน้าจะได้อยู่กับหนูไปอีกนานๆ” เมื่อเยี่ยชิงเหมยเอ่ยประโยคนี้ออกมาดวงตาของเธอก็พลันมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจนเต็มสองตา
“จ้าๆ แม่รู้แล้ว ลูกวางใจได้แม่ยังที่จะได้ดูความสำเร็จของลูกอยู่นะ ดังนั้นเรื่องสุขภาพของพ่อกับแม่ลูกไม่ต้องห่วง พวกเราไม่มีทางหย่อนยานในเรื่องนี้อยู่แล้ว” เมื่อคุณแม่ของเธอพูดเช่นนี้เยี่ยชิงเหมยก็พลันยิ้มออกมา ในใจก็ได้แต่คิดว่าความสำเร็จของเธอก็คือการทำให้พ่อและแม่มีความสุข ดังนั้นเธอจึงพยายามที่จะไม่ทำให้คุณพ่อและคุณแม่ของเธอต้องรู้สึกผิดหวังเพียงเพราะเรื่องของเธออีก
ความเปลี่ยนแปลงของเยี่ยชิงเหมยทำให้สีหน้าของสองสามีภรรยาบ้านเยี่ยล้วนประดับไปด้วยรอยยิ้ม ทุกวันนอกจากเยี่ยชิงเหมยจะช่วยฟางซูจิ้งทำงานบ้านแล้ว เธอยังมักจะนำหนังสือเรียนที่เก็บเอาไว้ออกมาปัดฝุ่นและอ่านทบทวนความรู้อย่างขะมักเขม้น อีกทั้งยังบอกว่าหากสำนักงานทนายความตระกูลลู่ต้องการเสมียนในสำนักงานอีก เธอก็ยินดีที่จะเข้าไปทำงานที่นั่น นอกจากจะเป็นการฝึกฝนและหาประสบการณ์ให้แก่ตนเองแล้วเธอยังมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยหาเงินเข้าบ้านอีกด้วย
เรื่องนี้ทำให้เยี่ยหมิงฮุ่ยอดรู้สึกภาคภูมิใจในตัวลูกสาวของเขาไม่ได้ที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนรู้ความได้มากถึงขนาดนี้ ดังนั้นหลายวันถัดมาเขาจึงได้นั่งรถเข้าไปในตัวเมืองเพื่อพูดคุยเรื่องนี้กับลู่หลินผู้เป็นสหายของเขา ซึ่งลู่หลินก็ยินดีที่จะรับเยี่ยชิงเหมยเข้าทำงานไปฝึกงานในตำแหน่งพนักงานธุรการทั่วไปของสำนักงานในทันที
“ขอบคุณมากเหล่าหลินมากที่ช่วยรับลูกสาวของฉันเข้าทำงาน” เยี่ยหมิงฮุ่ยเอ่ยกับสหายของเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดี
“จะขอบใจไปทำไมกัน วันหน้าเสี่ยวเหมยก็จะมาเป็นลูกสะใภ้ของฉันแล้ว อีกหน่อยสำนักงานนี้ก็คงจะเป็นของเธอ ดังนั้นการที่เธอต้องเข้ามาฝึกงานที่นี่ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว” เมื่อลู่หลินเอ่ยเช่นนี้เยี่ยหมิงฮุ่ยก็ทอดถอนใจออกมา
“เรื่องการหมั้นหมายก็รอดูอีกสักหน่อยเถิด ถ้าหากพวกเขาลงเอยกันไม่ได้จริงๆ ฉันก็ยินดีจะคืนที่ดินที่อยู่ในตัวเมืองแปลงนั้นให้นาย” เมื่อเยี่ยหมิงฮุ่ยเอ่ยเช่นนี้ลู่หลินก็ส่ายหน้าปฏิเสธในทันที
“จะต้องคืนมาทำไม ที่ดินผืนนั้นเดิมทีฉันก็ตั้งใจว่าจะยกให้นายอยู่แล้ว วางใจเถอะต่อให้ลูกสาวของนายไม่ยอมแต่งงานกับลูกชายของฉัน ฉันก็ไม่ทวงคืนที่ดินผืนนั้นหรอก”
“ไม่ใช่ว่าลูกสาวของฉันไม่ยอมแต่ง แต่ฉันกังวลว่าลูกชายของนายต่างหากที่จะไม่ได้ชอบลูกสาวของฉัน เหล่าหลินหนุ่มสาวยุคนี้ไม่ได้ชอบการถูกบังคับหรอก อันที่จริงลูกสาวของฉันเองก็ไม่ชอบเรื่องการหมั้นหมายในครั้งนี้ เธอไม่ได้ไม่ชอบลูกชายของนายนะแต่เธอไม่ชอบการถูกบังคับ แต่ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆ ลูกสาวของฉันจึงได้ยินยอมอ่อนข้อให้ฉันได้มากขนาดนี้” เยี่ยหมิงฮุ่ยพูดออกมาด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ เดิมทีเขาก็คิดว่าจะบีบบังคับลูกสาวของตนให้ถึงที่สุด แต่พอได้เห็นว่าเยี่ยชิงเหมยยินยอมเชื่อฟังเขาแต่โดยดีเช่นนี้มันทำให้เขาอดรู้สึกสงสารลูกไม่ได้ ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เธอเคยอดอาหารจนล้มป่วยในใจของเขาก็เจ็บปวดที่บีบบังคับลูกจนลงเอยจนถึงขั้นนั้น
“ในเมื่อลูกสาวของนายไม่มีปัญหา เรื่องการหมั้นหมายก็ไม่มีปัญหาหรอก ลูกชายของฉันไม่ใช่คนที่ฉันจะบังคับได้เสียหน่อย ดูซิเขาอยากไปเรียนต่อต่างประเทศฉันก็ยังไม่อาจจะห้ามปรามเขาได้เลย” เมื่อลู่หลินเอ่ยเช่นนี้เยี่ยหมิงฮุ่ยก็พยักหน้า
“เอาไว้ให้เขากลับมาก่อนพวกเราค่อยพูดถึงเรื่องนี้อีกทีก็แล้วกัน” คำพูดของเยี่ยหมิงฮุ่ยทำให้ลู่หลินได้แต่ยิ้มออกมา
ที่ดินในเมืองที่เยี่ยหมิงฮุ่ยเอ่ยถึงคือที่ดินที่ดินที่บ้านสกุลเยี่ยได้รับการจัดสรรและแบ่งปันมา แต่เพราะในช่วงที่พ่อแม่ของเยี่ยหมิงฮุ่ยได้รับความลำบากพวกเขาจึงได้เอาที่ดินไปจดจำนองเอาไว้ จนผลสุดท้ายก็ไม่อาจจะชำระหนี้ได้ที่ดินจึงได้ถูกขายทอดตลาด พอเยี่ยหมิงฮุ่ยพอจะตั้งตัวได้เขาจึงได้ตั้งใจที่จะซื้อที่ดินของตระกูลคืน แต่เพราะที่ดินแปลงนี้อยู่ในตัวเมืองราคาจึงพุ่งสูงลิบลิ่วจนเขาไม่อาจจะซื้อได้ ลู่หลินเข้าใจในความคิดของเยี่ยหมิงฮุ่ยดี อีกทั้งเขามองว่าที่ดินผืนนี้มีแนวโน้มที่จะมีราคาสูงขึ้นมากกว่านี้อีกจึงได้ควักเงินเก็บของตนเองออกมาช่วยสหายสนิทซื้อที่ดินผืนนี้
เดิมทีลู่หลินคิดว่าจะยกที่ดินส่วนนี้ให้สหายสนิทไปเสียเลย เพราะตอนที่เขาลำบากบ้านเยี่ยก็เคยให้การช่วยเหลือเขาและพ่อแม่ของเขา ตอนนี้เขาพอจะมีฐานะอยู่บ้างจึงคิดว่าเงินที่มอบให้เยี่ยหมิงฮุ่ยไปซื้อที่ดินนั้นไม่ได้ทำให้เขาได้รับความยากลำบากอันใด เพียงแต่ตอนที่พูดกับสหายเช่นนี้เยี่ยหมิงฮุ่ยกลับไม่ยอมรับอีกทั้งยังยืนยันว่าถ้าหากเขาจะโอนที่ดินให้เป็นชื่อของเยี่ยหมิงฮุ่ย เยี่ยหมิงฮุ่ยก็จะไปหากู้เงินมาคืนเขา
ลู่หลินไม่อยากจะทำให้สหายต้องลำบากจากการหาเงินมาใช้หนี้ ลู่จิ้นเหอก็เลยเสนอเรื่องการหมั้นหมายขึ้นมา แถมยังบอกว่าพอเขาได้แต่งงานกับลูกสาวของเยี่ยหมิงฮุ่ยแล้วถ้าเกิดมีลูกด้วยกันขึ้นมา ที่ดินผืนนั้นก็คงจะกลายเป็นของตระกูลลู่ไปโดยปริยาย ความคิดนี้ของลูกชายเดิมทีเขาก็คิดว่าเป็นแค่ความคิดเล่นๆ ของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง จวบจนเขาบังเอิญได้เห็นว่าลูกชายของเขามักจะชอบแอบมองเด็กสาวตัวน้อยของบ้านเยี่ยอยู่ไกลๆ เขาก็เคยคิดว่าความคิดของลูกชายของเขาก็ไม่ได้ย่ำแย่เท่าไหร่ การหมั้นหมายนี้จึงได้เกิดขึ้นมา ดังนั้นในความคิดของลู่หลินขอเพียงเยี่ยชิงเหมยตอบตกลงลูกชายของเขาก็คงจะต้องตอบตกลงเช่นเดียวกัน
