บทที่ 6 พยายามตัดวาสนา
เมื่อรู้ว่าจะได้ไปทำงานที่สำนักงานกฎหมายเยี่ยชิงเหมยก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มงาน พอถึงวันสุดสัปดาห์คุณแม่ของเธอก็พาเธอไปที่ร้านตัดเสื้อเพื่อตัดเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ไปทำงานสักสองสามชุด ตามปกติแล้วคุณแม่ของเธอมักจะหาซื้อผ้ามาตัดเย็บเสื้อผ้าให้เธอด้วยตนเอง แต่พอเป็นเสื้อผ้าที่เป็นทางการสักหน่อยก็มักจะใช้บริการร้านตัดเสื้อในตัวเมือง
“เด็กสาวสมัยนี้ช่างโตเร็วเสียจริง พึ่งเห็นวิ่งไปวิ่งมาติดตามเธอเข้าออกร้านขนมเป็นว่าเล่น แต่ตอนนี้กลับมาตัดเสื้อผ้าเพื่อเตรียมสำหรับทำงานเสียแล้ว” คุณป้าจางซึ่งเป็นช่างและเจ้าของร้านตัดเสื้อที่คุณแม่ของเธอใช้บริการเป็นประจำเอ่ยทักทายพลางจ้องมองเยี่ยชิงเหมยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“ลูกสาวของเธอยิ่งโตก็ยิ่งสวย ไม่รู้ว่าบ้านไหนจะโชคดีได้ลูกสาวของเธอไปเป็นลูกสะใภ้กันนะ” คุณป้าจางพูดพลางวัดตัวให้เยี่ยชิงเหมยอย่างคล่องแคล่ว
“เอาแบบที่เรียบร้อยสักหน่อยนะ ชุดกระโปรงแบบนี้ก็ดูทันสมัยดีนะแถมยังเรียบร้อยดีด้วย” ฟางซูจิ้งไม่ตอบคำถามของเจ้าของร้านแถมยังชี้ไปที่รูปของชุดกระโปรงที่อยู่บนนิตยสารด้วยความสนอกสนใจ คุณป้าจางก็รีบหันแนะนำอย่างยินดีเลยทีเดียว
“แบบใหม่ล่าสุดเลยจ้า เธอดูคอเสื้อแบบนี้สิ แค่หาผ้าพันคอสวยๆ มาผูกเสียหน่อยก็จะดูสวยแปลกตาไปอีกแบบแล้ว ยิ่งถ้าหาผ้ามาคาดที่ผมอีกหน่อยก็จะยิ่งดูสวยเก๋แปลกใหม่ไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน” คุณป้าจางรีบพลิกหน้านิตยสารแล้วเปิดรูปแบบเสื้อผ้าที่กำลังเป็นที่นิยมให้ฟางซูจิ้งดู เยี่ยชิงเหมยเพียงแค่ยิ้มอย่างอ่อนใจด้วยชาติก่อนเธอเคยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งแฟชั่นมาแล้วจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกตาแต่อย่างใด เธอจึงหันไปให้ความสนใจผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนหน้าร้านตัดเสื้อแทน
แต่แล้วสายตาของเธอก็พลันไปสะดุดกับชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินเกาะแขนกันเดินเที่ยวอยู่ด้านนอกของร้าน บังเอิญที่คนคู่นั้นหันมาเห็นเธอเข้าพอดี ฝ่ายหญิงยังคงมองผ่านเธอไปด้วยความที่ไม่รู้จักกัน แต่ฝ่ายชายกลับชะงักนิ่งอยู่กับที่แล้วก็ก้มลงไปพูดอะไรบางอย่างกับผู้หญิงคนนั้นพอเธอเดินจากไปแล้วเขาจึงได้เดินเข้ามาหาเธอในร้าน
“ชิงเหมย” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอยากจะอธิบาย แต่เยี่ยชิงเหมยกลับหันไปมองทางคุณแม่ของเธอแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ชุดนั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกันค่ะคุณแม่ ตัดแค่สามชุดก่อนถ้าหากไม่พอพวกเราค่อยมาตัดใหม่” เมื่อเยี่ยชิงเหมยพูดเช่นนี้แม่ของเธอก็พยักหน้าแล้วหันไปพูดคุยกับคุณป้าจางด้วยสีหน้าอันราบเรียบ ส่วนเยี่ยชิงเหมยก็หันไปเผชิญหน้ากับเผิงเยี่ยนแล้วจึงได้พยักหน้าทักทายเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
“สวัสดีค่ะ” เมื่อเธอเอ่ยทักเขาไปเช่นนี้เผิงเยี่ยนก็ได้แต่มองเธอด้วยสายตาที่ออดอ้อนมากกว่าปกติ
“พวกเรามีเรื่องที่จะต้องคุยกัน ไม่รู้ว่าเธอสะดวกไหม” คำพูดของเขาทำให้เยี่ยชิงเหมยทอดถอนใจออกมา
“คุณแม่ค่ะ หนูกับคุณเผิงมีเรื่องที่จะต้องพูดคุยกันนิดหน่อยไม่ทราบว่าคุณแม่ไปรอหนูอยู่ที่ร้านทำผมของคุณน้าก่อนได้ไหมคะ” เมื่อลูกสาวถามเช่นนี้มีหรือที่ฟางซูจิ้งจะปฏิเสธ
“ลูกไปเถอะ เดี๋ยวแม่ตกลงเรื่องตัดเสื้อกับคุณป้าจางเสร็จแล้วแม่จะไปรอหนูที่ร้านทำผมของคุณน้าของลูกก็แล้วกัน” เมื่อฟางซูจิ้งเปิดทางให้เช่นนี้เยี่ยชิงเหมยจึงได้พยักหน้าให้เผิงเยี่ยนแล้วเดินนำเขาออกจากร้านไป เผิงเยี่ยนรีบค้อมศีรษะให้ฟางซูจิ้งแล้วจึงได้รีบติดตามเธอออกไปในทันที
“พ่อหนุ่มคนนี้คงจะไม่ใช่ว่าที่ลูกเขยของเธอหรอกนะ ทั้งหน้าตาทั้งบุคลิกนับว่าโดดเด่นมากทีเดียว” คุณป้าจางเอ่ยถามฟางซูจิ้งในทันทีเมื่อสองหนุ่มสาวเดินออกจากร้านของเธอไปแล้ว
“ไม่ใช่หรอก เขาเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทของลูกสาวของฉันน่ะ” เมื่อฟางซูจิ้งปฏิเสธเช่นนี้คุณป้าจางก็ได้แต่ส่ายหน้าพลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียดาย
“ดูจากสายตาของพ่อหนุ่มคนนั้นแล้วเขาคงจะไม่ได้คิดกับลูกสาวของเธอแค่เพื่อนของน้องสาวเป็นแน่ แต่น่าเสียดายที่ลูกสาวของเธอดูเหมือนว่าจะไม่สนใจเขา” คำพูดของคุณป้าจางทำให้ฟางซูจิ้งก็ได้แต่ยิ้มออกมา
“ความคิดของเด็กสาวพวกเราจะสามารถคาดเดาอะไรได้เล่า เด็กสมัยนี้เอาไปเปรียบเทียบกับรุ่นพวกเราไม่ได้หรอก ได้ออกนอกบ้านมาพบผู้คนหลากหลายตัวเลือกย่อมจะมีมากอยู่แล้ว” คำพูดของฟางซูจิ้งทำให้คุณป้าจางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยในทันที
“เป็นอย่างที่เธอว่านั่นแหละ ยิ่งถ้าหน้าตาดีแบบลูกสาวของเธอด้วยแล้วยิ่งน่าจะมีตัวเลือกอีกมากมาย” เมื่อคุณป้าจางพูดเช่นนี้ฟางซูจิ้งก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมา
“ฉันก็ได้แต่หวังว่าลูกสาวของฉันจะเลือกถูกคนนะ” คำพูดของฟางซูจิ้งทำให้คุณป้าจางหัวเราะออกมาในทันที
“เรื่องนี้มันต้องขึ้นอยู่กับวาสนาด้วย เรื่องนี้เธอเองก็น่าจะรู้ดีที่สุด” เมื่อคุณป้าจางพูดเช่นนี้ฟางซูจิ้งก็หัวเราะออกมาเช่นกัน เมื่อคิดได้ว่าคนที่ไม่น่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างเธอและสามียังมาลงเอยกันได้และใช้ชีวิตร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ แล้วเธอจะมานั่งกังวลเกี่ยวกับเรื่องคู่ครองของลูกสาวอีกทำไมถึงอย่างไรทุกคนก็ล้วนมีวาสนาของตนเองอยู่แล้ว
ในขณะที่ฟางซูจิ้งกำลังเดินออกจากร้านตัดเสื้อเพื่อไปที่ร้านทำผมของฟางซูชิงผู้เป็นน้องสาว เยี่ยชิงเหมยก็กำลังพยายามจะตัดวาสนาระหว่างตนเองกับเผิงเยี่ยนผู้เป็นอดีตสามีในชาติที่แล้วด้วยสีหน้าอันเย็นชา เธอจำได้ดีว่าเด็กสาวที่เกาะแขนของเขาเมื่อครู่นี้คือหลี่จิ่งหราน ในชาติก่อนแม้ว่าเธอจะเคยเห็นหลี่จิ่งหรานในระยะไกล แต่ใบหน้านี้เธอไม่เคยจะลืมเลือนได้เลย แม้ว่าในชาตินี้หลี่จิ่งหรานจะยังคงเป็นแค่เพียงเด็กสาวคนหนึ่งก็ตามที
“คุณมีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดกับฉันก็เชิญพูดมาได้เลยค่ะ” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้เผิงเยี่ยนขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจแต่เมื่อคิดว่าเขาเป็นฝ่ายผิดต่อเธอก่อนเขาจึงได้รีบแก้ตัวในทันที
“เยว่เล่อบอกกับผมว่าคุณเข้าใจผมผิดเรื่องของจิ่งหราน” คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของเธอพลันเย็นชามากยิ่งขึ้น เขาจึงได้รีบอธิบายต่อด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอึดอัดใจ
“จิ่งหรานเป็นแค่น้องสาวที่อยู่บ้านติดกันเพียงแค่นั้น ผมกับเธอสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กพอเริ่มจะโตขึ้นมาหน่อย ก็ยังคงสนิทกันจึงมักจะถูกคนอื่นล้อว่าเป็นแฟนกัน ผมและเธอก็เลยลองคบกันดู แต่พอผมได้พบกับคุณผมก็ไปบอกเลิกกับเธอในทันที เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมคิดกับเธอได้แค่เพียงน้องสาวเพียงเท่านั้น ซึ่งไม่เหมือนกับความรู้สึกที่ผมมอบให้คุณเลยสักนิด” คำพูดของเขาประโยคนี้ถ้าเธอยังคงเป็นสาวน้อยคนเดิมอยู่ก็อาจจะเชื่อแล้ว แต่เธอเคยได้เผชิญหน้ากับความสัมพันธ์อันหลบๆ ซ่อนๆ ของพวกเขาในชาติก่อนมาแล้วยามนี้สิ่งที่เยี่ยชิงเหมยกำลังคิดอยู่ในใจก็คือ
‘คิดกับหล่อนได้แค่เพียงน้องสาว! คุณเป็นคนช่างที่มีจิตใจวิปริตจริงๆ ที่ในท้ายที่สุดแล้วคุณก็เป็นชู้กับคนที่คุณมองเห็นว่าเป็นได้แค่น้องสาว’ แน่นอนว่านี่เป็นแค่เพียงความคิดในใจของเยี่ยชิงเหมยเพียงเท่านั้น เพราะตอนนี้เรื่องที่เขานอกใจเธอยังไม่เกิด อีกทั้งเธอก็ไม่คิดจะแต่งงานกับเขาอีกแล้วด้วย ดังนั้นเขาและหลี่จิ่งหรานคนนั้นจะมีความสัมพันธ์ต่อกันในรูปแบบไหนก็ไม่เกี่ยวกับเธออีกแล้ว
“คุณจะคิดอย่างไรกับเด็กสาวคนนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน สำหรับฉันแล้วคุณเป็นได้แค่เพียงพี่ชายของเผิงเยว่เล่อเพียงเท่านั้น ดังนั้นหลังจากวันนี้ไปคุณก็ไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอะไรกับฉันอีก” เมื่อเยี่ยชิงเหมยพูดเช่นนี้เผิงเยี่ยนก็พลันส่ายหน้าในทันที
“คุณคิดกับผมแค่เพียงพี่ชายของเยว่เล่อจริงๆ หรือ” คำถามของเขาทำให้เยี่ยชิงเหมยรีบพยักหน้าในทันที
“ใช่แล้วค่ะ ฉันไม่ได้คิดเกินเลยอะไรกับคุณ ดังนั้นวันหน้าพวกเราก็ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องพบเจอกันอีก” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทั้งเด็ดขาดและเย็นชาทำให้เผิงเยี่ยนถึงกับตั้งตัวไม่ถูกในทันที
ก่อนหน้านี้เขารับรู้ถึงความชอบพอที่เธอและเขามีต่อกันได้ เขายังพาเธอไปเที่ยวและไปดูหนังด้วยกันมาตั้งหลายครั้ง แต่ตอนนี้เด็กสาวตรงหน้ากลับพูดกับเขาเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกใจหายและยากจะทนรับได้จริง แต่เมื่อคิดว่าเยี่ยชิงเหมยอาจจะกำลังหึงหวงเขาเรื่องที่วันนี้เขาเดินควงแขนมากับหลี่จิ่งหราน บนใบหน้าของเขาก็พลันมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาในทันที แต่ด้วยรู้ดีว่าหากเขาเซ้าซี้ในตอนนี้อาจจะทำให้เธอยิ่งตัดรอนเขา เขาจึงได้ค่อยๆ พูดกับเธออย่างใจเย็น
“เอาเป็นว่าผมอยากจะให้คุณรับรู้ไว้ว่าผมและจิ่งหรานไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเกินกว่าพี่ชายและน้องสาว ส่วนความรู้สึกของคุณที่มีต่อผมนั้นผมอยากให้คุณกลับไปลองคิดทบทวนให้ดี ว่าจริงๆ แล้วคุณคิดอย่างไรกับผมกันแน่ แต่ผมอยากจะให้คุณรู้ว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณนั้นลึกซึ้งกว่าที่คุณจะได้รับจากคนอื่นอย่างแน่นอน” เมื่อเขาเอ่ยจบก็เดินจากไปด้วยรอยยิ้มในทันที ทิ้งให้เยี่ยชิงเหมยมองตามแผ่นหลังของเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดใจ
‘ทั้งหลงตัวเอง ทั้งเห็นแก่ตัวมากขนาดนี้เมื่อก่อนฉันเคยมองว่าเขาเป็นคนดีได้อย่างไรกัน’ เยี่ยชิงเหมยได้แต่คิดในใจด้วยความไม่พอใจและคิดว่าคราวหน้าเธอคงจะต้องใช้คำพูดที่รุนแรงมากกว่านี้เพื่อทำให้เธอสามารถตัดเขาออกไปจากชีวิตของเธอได้อย่างถาวร
