บทที่ 4 ไล่คน
เมื่ออาการป่วยของเธอดีขึ้นเยี่ยชิงเหมยก็มักจะรีบตื่นแต่เช้ามาช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้านและช่วยทำอาหาร หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วเธอก็ออกไปช่วยรดน้ำแปลงผักให้คุณแม่ของเธอ ตอนนี้เธอพึ่งจะเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมในตัวอำเภอช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่เธอว่างมากที่สุด เดิมทีคุณพ่อของเธออยากจะฝากเธอเข้าไปทำงานเป็นเสมียนในสำนักงานทนายความของคุณลุงลู่ที่ตัวอำเภอ แต่เพราะก่อนหน้านี้เยี่ยชิงเหมยต่อต้านการหมั้นหมายกับคนบ้านลู่ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เธอจะยอมไปทำงานที่นั่น
“ช่วงนี้ลูกก็อยู่บ้านพักผ่อนไปก่อน หากอยากจะสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยลงสอบปีหน้าก็ยังไม่สาย” ฟางซูจิ้งคุณแม่ของเธอพูดพลางนั่งมองเธอด้วยสีหน้าอันสดใส สายตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของคุณแม่ของเธอทำให้เยี่ยชิงเหมยไม่กล้าสบสายตา ด้วยรู้ดีว่าสีหน้าและสายตาเช่นนี้เธอเคยให้มันจางหายไปเพราะการกระทำของตนเองในชาติที่แล้ว
“ค่ะคุณแม่ ช่วงนี้หนูจะอยู่ช่วยทำงานบ้านกับคุณแม่ไปก่อน แต่ถ้าที่สำนักงานกฎหมายของคุณลุงลู่ยังต้องการคนอีกเมื่อไหร่ หนูก็จะขอไปฝึกงานที่นั่นนะคะ อย่างน้อยก็จะได้เรียนรู้เรื่องการทำงานก่อนที่จะเข้าไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยค่ะ” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้คุณแม่ของเธอยิ้มออกมาในทันที
“นี่ลูกพูดจริงหรือ คุณพ่อของลูกจะต้องดีใจแน่ๆ ที่ลูกคิดเช่นนี้” คำพูดของคุณแม่ของเธอทำให้เยี่ยชิงเหมยยิ้มออกมา ชาติที่แล้วเพราะเธอเลือกเองเธอก็เลยต้องมีชีวิตที่ย่ำแย่เช่นนั้นดังนั้นชาตินี้ในเมื่อมีโอกาสได้แก้ตัวแล้วทำไมเธอจะไม่ลองพิจารณาเส้นทางที่คุณพ่อและคุณแม่ของเธอเลือกให้ดูเล่า หากเส้นทางนี้ไม่ดีเธอก็ยังสามารถเลือกได้อีก ผ่านความเป็นความตายมาแล้วหนึ่งครั้งเธอไม่คิดว่าตนเองจะต้องทนจมปลักกับอะไรที่มันย่ำแย่ได้อีกต่อไปแล้ว
“หนูไม่อยากทำให้คุณพ่อและคุณแม่ต้องทุกข์ใจเพราะหนูอีกแล้วค่ะ วางใจเถอะค่ะหนูขอรับรองว่าต่อไปหนูจะไม่ดื้อรั้นทำตามใจตัวเองอีกแล้ว” เมื่อลูกสาวเอ่ยเช่นนี้คุณแม่ของเธอก็ยิ้มออกมา
“ลูกคิดได้เช่นนี้แม่ก็พอใจแล้ว เมื่อเช้าคุณพ่อของลูกดีใจมากรู้ไหมที่ลูกหายป่วยและยอมกินอาหารแล้ว เรื่องลูกชายของคุณลุงลู่ที่จริงแล้วพ่อกับแม่ก็ไม่ได้คิดจะบังคับลูก แค่อยากให้ลูกลองพิจารณาดูก่อน ส่วนเด็กหนุ่มบ้านเผิงคนนั้นแม่อยากให้ลูกตรึกตรองให้ดีเสียก่อน และควรจะเว้นระยะห่างจากเขาอีกสักหน่อย แม่ไม่อยากต้องทนเห็นลูกต้องเสียใจในภายหลัง เสี่ยวเหมยแม่มีลูกเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ชั่วชีวิตนี้สิ่งเดียวที่ต้องการก็คือแม่อยากเห็นหนูมีความสุข” คำพูดของฟางซูจิ้งทำให้เยี่ยชิงเหมยพลันหลั่งน้ำตาออกมา เธอเดินไปโอบกอดคุณแม่ของเธอเอาไว้อย่างที่ไม่ได้ทำมานานหลายปีแล้ว และเอ่ยกับคุณแม่ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“คุณแม่วางใจเถิดค่ะชีวิตนี้ของหนู หนูจะต้องทำให้ตนเองมีความสุขให้ได้” เมื่อเยี่ยชิงเหมยเอ่ยเช่นนี้ฟางซูจิ้งก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
หลังจากช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้านจนเสร็จแล้ว ช่วงบ่ายเยี่ยชิงเหมยก็มักจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน ตอนที่เผิงเยว่เล่อกำลังจะเปิดประตูรั้วเข้ามาในบริเวณบ้านเธอจึงได้มองเห็นเผิงเยว่เล่อก่อนแล้วจึงได้ส่งเสียงทักทายออกไป
“เธอมีธุระอะไรหรือ จึงได้มาหาฉันถึงที่นี่” คำถามของเยี่ยชิงเหมยทำให้เด็กสาวชะงักฝีเท้าในทันที
“ฉันคิดถึงเธอก็เลยมาหา เดี๋ยวนี้หากไม่มีธุระอะไรฉันมาหาเธอไม่ได้แล้วหรือ” คำถามของเผิงเยว่เล่อทำให้เยี่ยชิงเหมยขมวดคิ้ว แล้วจึงได้เอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่างเหิน
“ก็ไม่ใช่ว่ามาหาไม่ได้ เพียงแค่อยากรู้ว่าเธอมาหาฉันด้วยเรื่องอะไรเพียงเท่านั้น” เมื่อเยี่ยชิงเหมยพูดเช่นนี้เผิงเยว่เล่อจึงได้ถือวิสาสะเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้ามา เธอเดินมานั่งลงใต้ต้นไม้ที่เยี่ยงชิงเหมยนั่งอ่านหนังสืออยู่แล้วจึงได้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“เรียนจบแล้วเธอยังเอาหนังสือเรียนมาอ่านทำไมอีก” คำถามของเผิงเยว่เล่อทำให้เยี่ยชิงเหมยพลันหัวเราะออกมาในทันที
“ฉันตั้งใจว่าปีหน้าจะสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย วันนี้ก็เลยหยิบหนังสือมาอ่านเพื่อทบทวนความรู้” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้เผิงเยว่เล่อพยักหน้า
“คนมีพร้อมทุกอย่างเช่นเธอก็ดีเช่นนี้นี่เอง ส่วนฉันนะหรือตื่นเช้ามาก็ถูกแม่ถามแล้วว่าเมื่อไหร่จะออกไปหางานทำ” คำพูดประโยคนี้ของเผิงเยว่เล่อหากเป็นเยี่ยชิงเหมยในกาลก่อนคงจะเห็นอกเห็นใจเธอไปแล้ว แต่พอเป็นเยี่ยชิงเหมยในตอนนี้ที่รู้ไส้รู้พุงและรู้ความคิดของเจิ้งฉิงผู้เป็นแม่ของเผิงเยว่เล่อและอดีตแม่สามีของเธอในชาติก่อนแล้วเยี่ยชิงเหมยก็ไม่ได้รู้สึกเห็นใจเผิงเยว่เล่อแต่อย่างใดด้วยรู้ดีว่าเจิ้งฉิงรักลูกสาวคนนี้เป็นที่สุด อีกทั้งการกระทำของเผิงเยว่เล่อก็ไม่มีสิ่งใดที่เยี่ยชิงเหมยจะต้องรู้สึกเห็นอกเห็นใจแต่ประการใด
“ก็ไม่ได้ถือว่าดีพร้อม ฉันเองอีกไม่นานก็จะไปทำงานงานในตัวเมืองแล้ว ระหว่างที่รอสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะได้มีเงินมาช่วยค่าใช้จ่ายในครอบครัว” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้เผิงเยว่เล่อมองเธอด้วยความประหลาดใจ
“คนที่มีฐานะดีที่สุดในหมู่บ้านเช่นเธอก็ยังต้องทำงานอีกหรือ โอย คุณพ่อคุณแม่ของเธอนี่ช่างใจร้ายจัง นอกจากจะบังคับให้เธอต้องแต่งงานกับใครที่ไหนก็ไม่รู้แล้วยังคิดจะบังคับให้เธอทำงานหาเงินเข้าบ้านอีก จริงสิ! พี่ชายของฉันฝากให้ฉันมาบอกเธอว่าอีกสุดสัปดาห์นี้เขาจะกลับบ้านนะ เขาให้ฉันมาถามเธอว่าอยากจะไปดูหนังด้วยกันไหม” คำพูดของเผิงเยว่เล่อทำให้เยี่ยชิงเหมยรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดในทันที
“ไม่ล่ะ เธอก็รู้ว่าฉันมีคู่หมั้นแล้วคงจะไม่เหมาะที่ฉันจะไปไหนมาไหนกับเขาอีกแม้ว่าจะมีเธอติดตามไปด้วยก็ตาม” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้เผิงเยว่เล่อประหลาดใจทันที
“นี่เธอกำลังคิดจะเลิกคบหากับพี่ชายของฉันหรือ” คำถามประโยคนี้ทำให้เยี่ยชิงเหมยหันไปจ้องมองเผิงเยว่เล่อด้วยสายตาไม่พอใจในทันที
“ฉันไม่เคยคบหากับเขา แค่ติดตามเธอไปเที่ยวกับเขาแค่สองสามครั้งเพียงเท่านั้น เธออย่าได้ไปพูดกับคนอื่นว่าฉันคบหากับพี่ชายของเธอเชียวนะ ไม่อย่างนั้นคนอื่นอาจจะเข้าใจฉันผิดได้” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้เผิงเยว่เล่อประหลาดใจในทันที
“เธอชอบพี่ชายของฉันมากไม่ใช่หรือ อีกทั้งยังบอกกับฉันว่าเธอจะขอให้พ่อแม่ของเธอไปขอถอนหมั้นกับคนแซ่ลู่” เมื่อเผิงเยว่เล่อเอ่ยเช่นนี้เยี่ยชิงเหมยก็หัวเราะออกมาเบาๆ ในทันที
“ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่ ว่าพี่ชายของเธอเคยมีแฟนมาก่อนแล้ว และมันก็ไม่คุ้มค่าที่ฉันจะไปขอถอนหมั้นกับคู่หมั้นเพื่อไปแยกคู่ยวนยางระหว่างพี่ชายของเธอกับน้องสาวข้างบ้านของเธอ” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้เผิงเยว่เล่อพลันเบิกตากว้างด้วยความตื่นตกใจ
“ใครบอกเรื่องนี้กับเธอ ชิงเหมย..พี่ชายของฉันเขาเลิกคบหากับหลี่จิ่งหรานไปแล้ว ฉันเป็นพยานให้ได้ เขาบอกกับฉันว่าเขาชอบเธอและอยากจะจริงจังกับเธอ” เมื่อเผิงเยว่เล่อพูดเช่นนี้เยี่ยชิงเหมยก็ส่ายหน้า
“แต่ฉันไม่ได้ชอบเขา และไม่ได้คิดจะคบหากับเขา เยว่เล่อเธอกลับไปเสียเถอะ ฉันไม่อยากจะเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ” เยี่ยชิงเหมยเอ่ยพลางชี้ไปที่ประตูรั้ว นี่นับเป็นครั้งแรกที่เผิงเยว่เล่อถูกเยี่ยชิงเหมยไล่ออกจากบ้าน เธอจึงรู้สึกไม่พอใจจนแสดงออกมาทางสีหน้าในทันที
“นี่เธอกล้าไล่ฉันหรือ”
“เธอจะคิดว่าฉันไล่ก็ได้นะ เพราะฉะนั้นก็เชิญออกไปได้แล้ว” เมื่อเยี่ยชิงเหมยเอ่ยเช่นนี้เผิงเยว่เล่อก็จ้องมองเธอด้วยสายตาโกรธเคืองแล้วก็รีบเดินออกจากประตูรั้วไปด้วยความไม่พอใจในทันที
“เอาไว้พี่ชายของฉันกลับมาเมื่อไหร่เธอจะต้องเสียใจที่ทำกับฉันอย่างนี้” คำพูดของเผิงเยว่เล่อทำให้เยี่ยชิงเหมยได้แต่หัวเราะในลำคออย่าเหยียดหยาม เผิงเยว่เล่อมักจะคิดว่าพี่ชายของเธอคือชายหนุ่มที่ผู้หญิงทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ต่างหมายปอง จริงอยู่ที่เยี่ยชิงเหมยเองก็เคยหลงใหลเขาจนหัวปักหัวปำอยู่เช่นกัน แต่ตอนนี้ไม่แล้วและเธอก็ไม่คิดจะเป็นหนึ่งในสาวๆ ที่ติดบ่วงรักของเผิงเยี่ยนอีกต่อไปแล้ว
