บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 ย้อนเวลาหรือว่าฝันไป

เสียงสายฝนตกกระทบบนหลังคาทำให้เยี่ยชิงเหมยรู้สึกตัวและลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย เธอจำได้ว่าก่อนที่เธอหมดสติไปเธออยู่ท่ามกลางละอองหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมา แต่ยามนี้กลับมีเสียงฝนตกและเสียงฟ้าร้องราวกับอยู่ในช่วงมรสุม เยี่ยชิงเหมยกะพริบตาแล้วมองดูรอบกายอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าเนื้อตัวของเธอจะยังคงไร้เรี่ยวแรงและอ่อนเพลียแต่กลับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดอันใดเลย อีกทั้งห้องที่เธอนอนอยู่ก็เป็นห้องนอนของเธอในบ้านเก่าของเธอที่อยู่ในชนบท...

เยี่ยชิงเหมยขยับตัวลุกขึ้นแล้วมองรอบๆ อีกครั้งด้วยความประหลาดใจ เพราะฝนที่กำลังตกอยู่ด้านนอกทำให้ห้องทั้งห้องของเธอยังคงมืดสลัวอยู่บ้าง แต่เธอกลับเห็นได้ชัดว่าการตกแต่งของห้อง ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องที่เธอมองเห็นล้วนเป็นแบบเดียวกับที่อยู่ในความทรงจำของเธอตอนที่เธอยังเป็นแค่เพียงเด็กสาวคนหนึ่ง

“เสี่ยวเหมย... ตื่นแล้วหรือลูก” ประตูห้องนอนของเธอถูกเปิดออกพร้อมด้วยร่างบางระหงของคุณแม่ของเธอ กลิ่นหอมของโจ๊กไก่ฉีกล่องลอยเข้ามาปะทะจมูกพร้อมด้วยเสียงซักถามอันห่วงใยทำให้น้ำตาของเธอหยดลงมาในทันที

“ในเมื่อตื่นแล้วก็กินอะไรรองท้องเสียหน่อยเถิดลูก ต่อให้หนูจะโกรธพ่อกับแม่มากเพียงไรแต่ก็ไม่ควรจะปล่อยให้ท้องหิวนะ” คุณแม่ของเธอพูดพลางวางชามโจ๊กลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง เมื่อเห็นว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่คุณแม่ของเธอก็นั่งบนเตียงเคียวข้างเธอแล้วยื่นมือมาช่วยเช็ดน้ำตาให้เธออย่างแผ่วเบา

“ที่คุณพ่อดุด่าลูกก็เพราะคุณพ่อหวังดี ลูกมีคู่หมั้นอยู่แล้วแต่กลับไปสนิทสนมกับเด็กบ้านเผิงเช่นนั้นมันใช้ได้ที่ไหน แม่รู้ว่าลูกมีความคิดแบบหัวก้าวหน้าไม่อยากถูกผูกติดด้วยระบอบความคิดเก่าๆ ของพ่อกับแม่ แต่ลูกก็ควรจะรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่มีทางทำร้ายลูก ลูกชายของคุณลุงลู่ถึงแม้ว่าจะมีอายุมากกว่าลูกหลายปีแต่เขาก็ไม่ใช่คนเหลวไหล” คำพูดประโยคนี้ของคุณแม่เธอสามารถจำได้เป็นอย่างดี

แล้วเธอก็จำได้ว่าในตอนนั้นเธอตอบกลับคุณแม่ของเธอว่าเผิงเยี่ยนก็ไม่ใช่คนเหลวไหล ตอนนี้เขาเป็นนายทหารในกองทัพแม้ว่าจะไม่ใช่คนที่มีฐานะร่ำรวยแต่เขาก็มีเงินเดือนเพียงพอจะเลี้ยงดูครอบครัวได้ ตอนนั้นคำพูดประโยคนี้ของเธอทำให้เธอและคุณแม่ต้องทะเลาะกันอีกครั้งและมีความหมางเมินต่อกัน จนผลสุดท้ายเธอก็ไม่กินอาหารที่คุณแม่ยกมาให้จนทำให้ตนเองต้องล้มป่วยหนักจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด

แล้วหลังจากนั้นคุณพ่อและคุณแม่จึงได้ยอมทำตามใจเธอ ด้วยการไปขอถอนหมั้นกับลูกชายของคุณลุงลู่ เพราะต้องการลดความรู้สึกผิดต่อการผิดคำพูด คุณพ่อของเธอจึงจำต้องยกที่ดินที่อยู่ในเมืองแปลงหนึ่งคืนคุณลุงลู่ไป ที่ดินผืนนั้นเดิมทีก็เป็นที่ดินที่คุณลุงลู่และคุณพ่อของเธอลงขันร่วมกันซื้อเอาไว้เพื่อเก็งกำไร แต่เพราะต้องการช่วยเหลือคุณพ่อของเธอคุณลุงลู่จึงได้โอนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณพ่อทั้งหมดโดยอ้างว่าใช้เป็นของหมั้นที่ใช้หมั้นหมายเธอให้กับลูกชายของคุณลุง

เยี่ยชิงเหมยที่ยังจดจำช่วงเวลานั้นได้ เธอกะพริบตาแล้วจ้องมองคุณแม่ของเธอผ่านม่านน้ำตา เมื่อเห็นว่าคุณแม่ของเธอเองก็กำลังจ้องมองเธอกลับด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใย เธอจึงได้ลองหยิกตัวเองเพื่อลองทดสอบความเจ็บปวดของตนเองเพื่อจะได้รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่

‘เจ็บ!’ เยี่ยชิงเหมยคิดพลางพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ เธอจ้องมองหลังมืออันขาวผ่องที่ถูกเจ็บของเธอเองจิกลงไปเมื่อครู่นี้ด้วยความประหลาดใจ ไม่เพียงรอยแดงที่ปรากฏบนหลังมือแต่ความเรียบตึงของผิวพรรณทำให้เธออดจิกกรงเล็บของเธอลงบนหลังมือของเธออีกครั้งไม่ได้

“จะทำร้ายตัวเองไปทำไม ลูกเป็นอย่างนี้ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าแม่กับพ่อก็ปวดใจมากเช่นกัน” คุณแม่ของเธอพูดพลางเอื้อมมือมาดึงมือที่กำลังกดคมเล็บของตนเองลงบนหลังมืออีกข้างด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ

“ถ้าคนบ้านเผิงดีจริงๆ มีหรือที่พ่อกับแม่จะห้ามปราม แต่ลูกเชื่อแม่เถอะแม่ไปสืบมาแล้วเจ้าหนุ่มเผิงนั้นไม่มีสิ่งใดที่ด่างพร้อยก็จริงแต่แม่ของเขานั้นกลับใช้ไม่ได้เลย เรื่องฐานะครอบครัวแม่ไม่ได้รังเกียจ แต่นิสัยของคนบ้านนั้น...เอาเป็นว่าลูกอยู่กับพวกเขาไม่ได้หรอก” เมื่อคุณแม่ของเธอพูดเช่นนี้เยี่ยชิงเหมยก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“ไม่ใช่คนดีจริงๆ นั่นแหละค่ะ” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้คุณแม่ของเธอจ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจ

“ในเมื่อลูกก็รู้แล้ว แล้วลูกจะอดข้าวประท้วงพ่อกับแม่ไปทำไม” คำพูดของคุณแม่ของเธอทำให้เยี่ยชิงเหมยพยักหน้าแล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปทำท่าว่าจะยกชามโจ๊กมากิน แต่ความอ่อนเพลียของเธอทำให้คุณแม่ของเธอทอดถอนใจออกมาแล้วเอื้อมมือไปยกชามโจ๊กขึ้นมาใช้ช้อนคนและเป่าให้ แล้วสุดท้ายก็ใช้ช้อนตักโจ๊กขึ้นมา

“กินซะ โตขนาดนี้ยังต้องให้แม่มานั่งป้อนข้าวอีก” แม้ว่าจะพูดเช่นนั้นแต่คุณแม่ก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเยี่ยชิงเหมยยอมอ้าปากกินโจ๊กที่เธอป้อนแต่โดยดี

“เด็กดี กินเยอะๆ แล้ววันหน้าก็อย่าอดข้าวเพราะไม่พอใจพ่อกับแม่อีกเลยนะ” คำพูดของคุณแม่ทำให้เยี่ยชิงเหมยชะงักไปครู่หนึ่งแต่ก็ยังยอมอ้าปากกินโจ๊กที่คุณแม่ป้อนให้แต่โดยดี

“วางใจเถอะค่ะ ต่อไปหนูจะไม่ดื้อกับคุณพ่อคุณแม่อีกแล้ว” เยี่ยชิงเหมยเอ่ยออกมาหลังจากที่กลืนโจ๊กคำที่สองไปแล้วพลางจ้องมองใบหน้าของคุณแม่ด้วยความรักความคิดถึง เธอไม่รู้เลยสักนิดว่าตอนนี้เธอกำลังฝันอยู่หรือว่าได้ย้อนเวลากลับมาในตอนที่คุณพ่อและคุณแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่สิ่งที่เธอคิดได้ในตอนนี้ก็คือเธอจะไม่ดื้อไม่ขัดใจพวกท่านอีกแล้ว เธอจะเป็นลูกที่ดีแม้ว่าอาจจะเป็นแค่ความฝันแต่เธอก็จะไม่ทำให้คุณพ่อและคุณแม่ของเธอต้องเสียใจเพราะเธออีกต่อไปแล้ว

เยี่ยชิงเหมยกินโจ๊กจนอิ่มแล้วก็นอนหลับไปอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลีย พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วได้มองสำรวจห้องนอนของเธออีกรอบ เธอจึงได้เข้าใจแล้วว่าเธอไม่ได้ฝันไป ตอนนี้เธอได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้งจริงๆ แถมเธอยังได้ย้อนเวลากลับมาในตอนที่เธอมีอายุแค่เพียง 18 ปีอีกด้วยปฏิทินที่แขวนอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือของเธอทำให้เธอได้รู้ว่าตอนนี้เธอย้อนกลับมาในปี 1983 ซึ่งเป็นปีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ

ปลายปี 1983 คุณพ่อและคุณแม่ไปถอนหมั้นกับลูกของคุณลุงลู่ให้เธอ พอปีถัดไปเธอก็ได้แต่งงานกับเผิงเยี่ยน เพราะแต่งงานเร็วเกินไปคุณพ่อและคุณแม่จึงไม่พอใจเธอ อีกทั้งครอบครัวเผิงก็ไม่ได้ให้เกียรติเธออย่างที่ควรจะเป็น อย่างน้อยเรื่องสินสอดที่ให้มาไม่ครบก็ถือว่าผิดธรรมเนียมมากแล้ว นั่นคือหนึ่งในเรื่องที่ทำให้เธอและคุณพ่อและคุณแม่ต้องห่างเหินกัน ยิ่งพอได้รู้ว่าเธอสละสิทธิ์การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยให้แก่น้องของสามี คุณพ่อและคุณแม่ก็ยิ่งโกรธเคืองเธอเข้าไปใหญ่

สิ่งที่ทำให้เธอถูกคุณพ่อและคุณแม่ตัดขาดก็คือหลังแต่งงานไปได้เกือบ 10 ปี เธอรับลูกของน้องสามีมาเป็นลูกบุญธรรม หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมพูดกับเธอและไม่ยอมให้เธอเข้าบ้าน จวบจนคุณพ่อและคุณแม่ป่วยเธอก็ไม่รู้ พอคุณพ่อเสียเธอตั้งใจจะไปรับคุณแม่มาอยู่ด้วยคิดไม่ถึงว่าท่านจะยังคงไม่ยอมพูดกับเธอและไม่ยอมมาอยู่ในตัวเมืองกับเธอ แล้วหลังจากนั้นคุณแม่ก็ล้มป่วยและตายจากไปที่โรงพยาบาลเพียงลำพัง นี่คือเรื่องที่ทำให้เธอเสียใจมากที่สุด ยิ่งตอนที่เธอได้ยินคุณป้าหม่าที่อยู่ข้างบ้านพูดกับเธอว่าเพราะกังวลว่าจะมาเป็นภาระของเธอคุณแม่จึงไม่ยอมมาอยู่กับเธอ ยินดีที่จะอยู่เพียงลำพังทั้งที่ร่างกายก็ไม่แข็งแรงแล้วสุดท้ายก็ตายจากไปโดยที่เธอไม่เคยได้แสดงความกตัญญูกับท่านเลยสักครั้ง

“ถ้านี่ไม่ใช่ความฝัน ฉันจะแก้ไขทุกอย่างที่เคยผิดพลาดไป จะไม่ทำให้พ่อกับแม่ต้องเศร้าเสียใจอีกแล้ว และสิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือฉันจะรักตัวเองจะไม่มอบหัวใจให้กับคนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวฉันอีกต่อไปแล้ว” เยี่ยชิงเหมยพูดกับตัวเองเบาๆ พลางจ้องมองปฏิทินที่อยู่บนผนังห้องของเธอด้วยสายตาอันแรงกล้า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel