บทที่ 2 โดดเดี่ยวและเดียวดาย
เพราะต้องการพิสูจน์ตนเองว่าไม่มีเขาเธอก็สามารถอยู่ได้ เยี่ยชิงเหมยในวัย 59 ปีจึงต้องพยายามยืนด้วยลำแข้งของตนเองอีกครั้ง โชคดีที่ทนายที่เธอว่าจ้างมาเขาเป็นคนที่มีความสามารถพอสมควรทำให้เธอได้รับเงินจากการฟ้องหย่ามาจากเผิงเยี่ยนได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าถึงแม้จะไม่ใช่เงินจำนวนมากแต่ก็เพียงพอให้เธอใช้สำหรับลงทุนเปิดร้านอาหารเล็กๆ เพื่อใช้เลี้ยงดูตนเองในช่วงบั้นปลายชีวิต
สำหรับเยี่ยชิงเหมยแล้วการหย่าขาดจากสามีไม่ใช่เรื่องที่เธอรู้สึกเสียใจ แต่เรื่องที่เธอเสียใจก็คือเรื่องที่เธอเสียสละสิทธิ์ในการเข้าเรียนต่อของตนเองให้คนอื่น ในตอนนั้นที่แม่สามีของเธอขอให้เธอสละสิทธิ์การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยให้แก่เผิงเยว่เล่อเธอไม่น่ายินยอมเลยไม่เช่นนั้นป่านนี้เธอก็คงจะมีความรู้ติดตัวเอาไว้ใช้หาเงินทองเลี้ยงดูตนเองได้มากกว่านี้ แถมสุดท้ายไม่เพียงเธอไม่ได้เรียนหนังสือแต่เผิงเยว่เล่อที่ได้สิทธิของเธอไปกลับเรียนไม่จบแถมยังอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งมาให้เธอและเผิงเยี่ยนรับเลี้ยงดูเป็นลูกอีกด้วย
พอพ่อและแม่ของเธอรู้เรื่องนี้ต่างก็พากันคัดค้านเธออย่างหัวชนฝา ไม่เพียงเรื่องการรณรงค์ให้มีลูกเพียงคนเดียวของท่านผู้น้ำในยุคนั้นเพียงเท่านั้นที่ทำให้พ่อและแม่ของเธอคัดค้าน แต่พวกเขายังกลัวว่าหากวันหน้าเธอมีลูกของตัวเองสิทธิ์ต่างๆ ที่ลูกของเธอควรจะได้รับอาจจะตกเป็นของเผิงเจ๋อลูกของเผิงเยว่เล่อซึ่งเธอก็ไม่ยอมฟังคำทัดทานของพวกท่าน ด้วยกังวลว่าถ้าเธอปฏิเสธอาจจะมีปัญหากับแม่สามีและน้องสามีของเธอ ทำให้พ่อและแม่ของเธอไม่พอใจจนเอ่ยปากตัดขาดกับเธอ ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธอไม่มีลูกมีเพียงเผิงเจ๋อที่เธอรักและเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ น่าเสียดายที่ลูกคนนี้พอโตขึ้นกลับมองเห็นว่าเธอเป็นแค่เพียงแม่เลี้ยงเพียงเท่านั้น สายสัมพันธ์ที่ควรมีต่อกันล้วนถูกตัดขาดเสียหมดเมื่อเผิงเยว่เล่อกลับมาหาเขา
“นี่คุณแม่คิดจริงๆ หรือว่าร้านอาหารเล็กๆ น่ะช่วยทำเงินให้คุณแม่” นี่คือคำพูดแรกของเผิงเจ๋อในตอนที่ก้าวเท้าเข้ามาในร้านอาหารของเธอ
“แม่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะทำกำไรให้แม่ได้มากนักหรอก เพียงแต่ว่าแม่คิดว่ามันน่าจะเพียงพอที่จะทำให้แม่มีกินมีใช้ในช่วงบั้นปลายได้” เยี่ยชิงเหมยเอ่ยพลางหันไปบอกลูกจ้างในร้านให้พวกเขากลับบ้านกันได้แล้ว
“ลูกกินอะไรมาหรือยัง ให้แม่ผัดข้าวผัดให้ลูกสักจานไหม” เยี่ยชิงเหมยถามเขาด้วยความเอาใจใส่ เผิงเจ๋อคนนี้เคยชอบกินข้าวผัดฝีมือของเธอมากที่สุด
“ไม่ละครับ ที่ผมมาหาคุณแม่ที่นี่ก็เพราะมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณแม่เพียงเท่านั้น” เขาพูดพลางดึงเอกสารชุดหนึ่งออกมา
“ที่ผมมาในวันนี้ก็แค่อยากจะให้คุณแม่เซนต์เอกสารฉบับนี้ให้ผม” เขาพูดพลางยื่นเอกสารให้เธอ เยี่ยชิงเหมยรับไปดูแล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเนื้อหาในเอกสารคือพินัยกรรมในการมอบทรัพย์สินทั้งหมดของเธอให้กับเขา
“แม่ยังไม่แก่จนถึงขั้นต้องทำพินัยกรรมเอาไว้สักหน่อย” เยี่ยชิงเหมยพูดพลางจ้องมองบุตรชายบุญธรรมของเธอด้วยดวงตาอันแห้งผาก
“แต่คุณแม่ก็สมควรจะทำไว้ไม่ใช่หรือครับ คุณแม่ไม่เหลือใครแล้วในตอนนี้ มีเพียงแค่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะคอยแวะเวียนมาหา แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดแต่ผมก็ยังเรียกคุณแม่ว่าแม่อยู่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอะไรถ้าคุณแม่จะเซนต์พินัยกรรมฉบับนี้เอาไว้ วันหน้าหากเกิดอะไรขึ้นผมเองก็จะได้ไม่ต้องพบกับความยุ่งยากในการเข้าไปจัดการทรัพย์สินของคุณแม่” คำพูดของเผิงเจ๋อทำให้เยี่ยชิงเหมยเอายกมือขึ้นมากุมหน้าอกเอาไว้ ลมหายใจที่เริ่มจะติดขัดของเธอทำให้เธอจำต้องพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วจ้องมองบุตรชายนอกสายเลือดด้วยดวงตาอันแข็งกร้าว
“แต่ตอนนี้แม่ยังแข็งแรงดี อีกทั้งพินัยกรรมของแม่หากแม่จะต้องทำแม่ก็จะเป็นคนเขียนเอง มันไม่ใช่หน้าที่ของลูกที่จะเข้ามาจัดแจงให้แม่ เสี่ยวเจ๋อแม่จำได้ว่าตอนที่ลูกยังเด็กแม่มักจะสอนให้ลูกยึดถือคุณธรรมและยึดถือมารยาทในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นไม่ใช่หรือ แล้วตอนนี้สิ่งที่ลูกทำอยู่มันคืออะไร”
“ผมคิดเอาไว้แล้วว่าแม่จะต้องโกรธ แต่ผมก็แค่อยากจะป้องกันเอาไว้ก่อน ตอนนี้รอบตัวคุณแม่ไม่มีใครคอยดูแล ผมในฐานะลูกก็ไม่อาจจะทอดทิ้งคุณแม่ได้ เพียงแต่ในเมื่อผมจะต้องดูแลคุณแม่ก็ควรจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นหลักประกันว่าผมจะไม่ต้องดูคุณแม่อย่างสูญเปล่า”
"เผิงเจ๋อ บอกกับแม่มาตามตรงเถิด คนที่บอกให้ลูกทำอย่างนี้คือเผิงเยว่เล่อใช่ไหม หล่อนบอกกับลูกว่ายังไงบอกว่าอะไรที่แม่มีควรจะเป็นของลูกใช่ไหม บอกกับลูกว่าอะไรที่คว้าได้ก็ควรจะคว้าเป็นของตนเองใช่ไหม แล้วลูกก็เชื่อหล่อนหรือ" คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้เผิงเจ๋อพลันรู้สึกหงุดหงิดใจในทันที ไม่ว่าอย่างไรเผิงเยว่เล่อก็คือแม่แท้ๆ ของเขา แม้ว่าเขาจะเรียกเธอว่าคุณอา แต่ในใจของเขานั้นย่อมจะรู้ดีว่าเธอคือแม่ที่คลอดเขาออกมาและเขาก็รู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่มีคนต่อว่าแม่ของเขา
“ทำไมผมจะเชื่อคุณอาไม่ได้เล่าครับ คนที่รักและหวังดีกับผมที่สุดก็คือคุณอา อีกทั้งเธอยังเป็นคนที่คลอดผมออกมาจึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่มีความหวังดีมอบให้ผม” คำพูดของเผิงเจ๋อทำให้เยี่ยชิงเหมยพยักหน้า
“ดี! ดีจริงๆ ลูกชายที่ฉันเลี้ยงมากับมือสุดท้ายเผิงเยว่เล่อก็ยังมาแย่งเอาไปจนได้ ฮ่า ฮ่า” เยี่ยชิงเหมยหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ในใจของเธอรู้ดีว่าถ้าหากเธอไม่ยินยอมจะมีใครสามารถเอารัดเอาเปรียบเธอได้ เมื่อก่อนเพราะอยากเป็นพี่สะใภ้ที่ดีไม่ว่าเผิงเยว่เล่ออยากได้อะไร ทั้งของกินของใช้เธอล้วนยินยอมแบ่งปันหมดทั้งสิ้น แม้แต่หนังสือตอบรับเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเธอก็ยังสละสิทธิ์ให้เผิงเยว่เล่อ ยามนี้พอคิดย้อนไปแล้วก็ล้วนเป็นเธอที่ทำร้ายตัวเองทั้งนั้น หากเธอไม่รับเลี้ยงดูลูกของเผิงเยว่เล่อยามนี้เธอก็คงไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันน่าเจ็บปวดใจเช่นนี้
“ลูกกลับไปเถอะ เอาเอกสารนี่กลับไปด้วย แม่สามารถดูแลตนเองได้ ส่วนเรื่องพินัยกรรมอะไรนี่แม่จะเขียนด้วยตนเอง แต่ลูกวางใจได้เลยว่าแม่ไม่คิดจะยกอะไรให้ลูกสักอย่าง หลายปีที่แม่เลี้ยงดูลูกมาก็ถือว่าแม่ทุ่มเททุกอย่างให้ลูกมากพอแล้ว หลังจากนี้แม่ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะให้ลูกได้อีก” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้เผิงเจ๋อถึงกับจ้องมองเธอด้วยความคาดไม่ถึง
“นี่คุณแม่กำลังโกรธผมอยู่หรือครับ ก็เลยพูดจาประชดประชันผมแบบนี้” คำถามของเขาทำให้เยี่ยชิงเหมยส่ายหน้า
“ไม่! แม่ไม่ได้โกรธลูกแต่กำลังโกรธตัวเองอยู่ต่างหาก ดังนั้นลูกกลับไปเสียเถอะ หลังจากนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดคุยกันอีกแล้ว อย่างที่ลูกเคยพูดเอาไว้พอแม่หย่าขาดจากคุณพ่อของลูกพวกเราก็จะกลายเป็นคนอื่น ดังนั้นหลังจากวันนี้ไปลูกก็ไม่จำเป็นต้องมาหาแม่อีก” เมื่อเอ่ยจบเยี่ยชิงเหมยก็ชี้ไปที่ประตู
“ลูกไปเถอะ แม่ขอเก็บทรัพย์สินของแม่เอาไว้ เผื่อวันหน้าแม่จะขายแล้วเอาเงินส่งตัวเองเข้าไปอยู่บ้านพักคนชรา คงจะดีกว่าที่จะต้องร้องขอการดูแลจากลูก” คำพูดของเยี่ยชิงเหมยทำให้เผิงเจ๋อได้แต่ส่ายหน้า
“คุณแม่พูดออกมาอย่างนี้เพราะกำลังโกรธผมอยู่ เอาไว้รอให้คุณแม่อารมณ์ดีก่อนแล้วพวกเราค่อยมาพูดคุยกันก็แล้วกันนะครับ” เมื่อเผิงเจ๋อพูดจบเขาก็เดินออกจากร้านไปทิ้งให้เยี่ยชิงเหมยมองตามหลังเขาด้วยความเสียใจ
ส่วนหนึ่งที่เธอไม่ได้โวยวายเรื่องที่เผิงเยี่ยนนอกใจเธอก็เพราะเธอคำนึงถึงเผิงเจ๋อ ด้วยกังวลว่าเขาจะเป็นเด็กมีปัญหาเมื่อเธอกับพ่อของเขาเลิกกัน เดิมทีแค่เขาถูกแม่แท้ๆ เอามาทิ้งไว้ให้เธอเลี้ยงดูก็น่าจะเป็นบาดแผลในใจของเขามากพอแล้ว เธอจึงได้พยายามอดทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำรอจนเขาเติบโตและแยกย้ายไปมีครอบครัวเธอจึงได้คิดถึงเรื่องหย่าขาดกับสามีอย่างเป็นทางการ แต่คิดไม่ถึงว่าผลของความอดทนของเธอจะได้รับผลตอบแทนเช่นนี้
‘แล้วอย่างไรเล่า เธอเลี้ยงดูเขามาก็แค่เพราะหวังว่าเขาจะได้มีชีวิตที่ดีไม่ใช่หรือ ตอนนี้เขาก็มีชีวิตที่ดีแล้ว เธอยังจะหวังอะไรกับเขาอีก’ เมื่อคิดได้เช่นนี้เยี่ยชิงเหมยจึงได้ไม่คิดถึงเขาอีก เธอลงมือปิดร้านด้วยตนเองเพราะลูกจ้างในร้านได้กลับกันไปหมดแล้วดังนั้นเธอจึงได้เดินออกจากร้านเพียงคนเดียว
แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา แม้ว่าจะสว่างไสวแต่กลับสู้แสงไฟของเมืองที่เธออยู่ไม่ได้ การจราจรอันขวักไขว่บนท้องถนนยังคงครึกครื้นอยู่เช่นเดิมแม้ว่าจะเป็นเวลามืดค่ำแล้ว เยี่ยชิงเหมยคิดถึงช่วงชีวิตในตอนที่เธอยังเป็นเด็กสาวด้วยความอาลัย หมู่บ้านที่เธอเติบโตมามีภูเขาเขียว ลำธารใส มีอากาศอันสุดแสนจะบริสุทธิ์ที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว และที่สำคัญที่แห่งนั้นมีพ่อและแม่ของเธอรออยู่ที่บ้านด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เพียงแต่ยามนี้กลับไม่มีสิ่งเหล่านั้นให้เธอได้สัมผัสอีกต่อไปแล้ว
ละอองหิมะที่โปรยปรายลงมาทำให้เธอยกมือขึ้นไปสัมผัสด้วยรอยยิ้ม แต่แววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความเดียวดายและว่างเปล่า ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเธอมีเรื่องที่ทำให้เธอต้องเสียใจตั้งหลายเรื่อง แต่สิ่งที่เธอรู้สึกเสียใจมากที่สุดก็คือเธอไม่ยอมทำตามคำแนะนำของพ่อและแม่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเธอไม่ได้ดูแลพวกเขาให้ดีในช่วงที่พวกเขาอยู่ในวัยชรา ตอนนี้ผลกรรมก็เลยตามทันทำให้เธอต้องโดดเดี่ยวเช่นนี้
“หนูขอโทษ” เยี่ยชิงเหมยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สายตาของเธอเหลือบไปเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังจะข้ามถนน ท่าทีงกๆ เงิ่นๆ ของหญิงชราคนนั้นทำให้เยี่ยชิงเหมยรีบเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปช่วยประคอง แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เมื่อเธอไปถึงหญิงชราก็ก้าวเท้าลงไปบนถนนแล้ว สัญญาณไฟสำหรับคนข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่มีรถคันหนึ่งกำลังพุ่งตรงมาหาหญิงชราคนนั้น
“ระวัง!” เยี่ยชิงเหมยเอ่ยพลางรีบพุ่งไปดันหญิงชราคนนั้นให้พ้นจากรถที่กำลังพุ่งมาแต่น่าเสียดายที่ตัวเธอกลับหลบรถที่พุ่งเข้ามาอีกคันไม่พ้น เสียงเบรกของรถ เสียงแรงปะทะดังก้องเข้ามาในหู แรงปะทะของรถยนต์ทำให้เธอล้มลงไปบนพื้นในทันที
“เธอเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงเอ่ยถามของหญิงชราดังเข้ามาในโสตประสาทอันพร่ามัว ทำให้เธอพลันรู้ว่าแรงผลักเมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำร้ายหญิงชรา เธอจึงยิ้มออกมาด้วยความเบาใจว่าสามารถช่วยเหลือหญิงชราคนนั้นได้สำเร็จ แล้วหลังจากนั้นลมหายใจของเธอก็ขาดห้วงก่อนที่สติสุดท้ายของเธอจะล่องลอย สายตาของเธอก็จับจ้องไปที่เกล็ดหิมะที่กำลังลอยละล่องร่วงลงมา ใบหน้าของแต่ละคนที่มามุงดูไม่มีแม้สักคนที่เธอเคยรู้จัก เยี่ยชิงเหมยได้แต่ทอดถอนใจออกมาเป็นครั้งสุดท้ายและคิดในใจว่าสุดท้ายแล้วเธอก็ทำได้แค่เพียงจากไปอย่างโดดเดี่ยวและเดียวดาย ในชีวิตเต็มไปด้วยคำว่าเสียดายเช่นนี้นี่เอง
