ตอนที่ 8 ผสานรอยร้าว
ใกล้จะมื้อเที่ยงแล้วพวกเด็กๆทั้งสองคนออกไปเล่นข้างนอกยังไม่กลับมาเธอจึงเตรียมจะเดินไปตามหา เดินออกมานอกบ้านไม่ทันไรก็เห็นพวกเขา เดินพูดคุยกันมากระหนุงกระหนิงเนื้อตัวมอมแมมไปหมด
แม้จะรู้สึกดีใจที่พี่น้องรักใคร่กัน แต่มองดูชุดที่เปื้อนแล้วถึงกับต้องยืนเท้าสะเอวเตรียมหาไม้เรียวเลย ก่อนที่จะเล่นบทแม่ใจร้ายเธอก็ถอนหายใจออกมา
เสื้อผ้าเลอะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว คนเป็นแม่อย่างเธอก็ต้องซักชุดเลอะๆแบบนี้วนไปเท่านั้น
“ไปเล่นที่ไหนมา สนุกไหม”
“เล่นที่นาท้ายหมู่บ้าน สนุกมากครับแม่”เจ้าเล็กตอบ เธอพยักหน้ารับแล้วเดินจูงลูกๆเข้าบ้าน
มองตามเด็กชายสองคนพี่น้องแล้วทำให้รู้สึกหนักใจ เพราะเจ้าน้องเล็กที่ร้ายสุดของเรื่องยังไม่เกิด นั่นแปลว่าภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของเธอยังเดินทางมาไม่ถึง
การคลอดลูกในยุคที่ยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยเป็นอะไรที่เธอหวาดกลัวที่สุด
เธอควรหาทางหลีกเลี่ยงป๋อเหวินไปก่อน แต่ชายหนุ่มได้กลับมาบ้านปีละไม่ถึง 5 วัน ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวสักนิด
เขาแต่งงานกับเธอมาประมาณ 6 ปี อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้ารอบที่เธอต้องตั้งครรภ์บุตรให้เขาอีกคนหนึ่ง ตามในนิยายคือเธอจะมีลูกสาวอีก 1 คน
พอลูกคนสุดท้องอายุครบ 3 ขวบเธอก็จะเก็บผ้าผ่อนหนีตามครูหนุ่มที่มาฝึกสอน ทิ้งลูกทั้ง 3 คนให้เติบโตขึ้นมาเองไว้เบื้องหลัง พวกเขาจึงเติบโตขึ้นมาด้วยความยากลำบากลืบิดเบี้ยว
ป๋อเหวินไม่ใช่คนช่างพูดช่างเจรจาเท่าไร พอภรรยาทิ้งไปก็กลายเป็นคนที่หมดหวังกับทุกสิ่งในชีวิต หลงลืมไปว่าตัวเองยังมีอีก 3 ชีวิตให้เลี้ยงดู
เขาได้พบหน้าลูกเพียงแค่ปีละครั้ง พอได้เจอหน้ากันก็ไม่เคยแสดงออกถึงความรักให้บุตรชายและบุตรสาวได้รับรู้ แม่หวังต้องเป็นคนที่เลี้ยงดูหลานๆแทน
ก่อนหน้าที่เจิ้งเซียงเซียงจะทิ้งไป เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถูกปลดประจำการจากทหาร เขารู้สึกหมดความมั่นใจไปพักใหญ่และพยายามลุกขึ้นมาทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัวอีกครั้ง
ไม่ว่าจะถูกภรรยาตำหนิ ใส่อารมณ์หรือด่าว่าอย่างเสียๆหายๆก็พยายามอดทนเพื่อลูกๆ แม้ว่าในทุกๆวันที่ตื่นขึ้นมาต้องทนทุกข์ทรมานราวกับตกขุกนรกก็ตาม ไม่ว่าจะเจ็บแผลมากขนาดไหนเขาก็ไม่เคยปริปากบ่น
เมื่อโมโหพ่อของเด็กๆที่ไม่ยอมตอบโต้อะไรกลับมา เจิ้งเซียงเซียงจึงเอาความโกรธนี้ไปลงที่พวกลูกๆ ทั้งด่าว่า ทุบตีและทรมานจิตใจสารพัด ความเจ็บปวดในวัยเด็กทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาด
ในนิยายกล่าวถึงสาเหตุที่เป็นจุดพีคของเรื่องเอาไว้ว่าเฟิง เหมียนหรือเจ้าเล็กเกิดไปตกหลุมรักลูกสาวผู้พันเข้า ถึงขั้นละเมอเพ้อพก กินไม่ได้นอนไม่หลับเอาแต่คิดถึงหล่อน ติดที่แม่คุณมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว
เขาจึงเริ่มวางแผนจะบุกชิงตัวเธอจนเกิดเรื่องราวใหญ่โต เจ้าใหญ่ไม่สามารถปล่อยให้น้องไปเผชิญอันตรายจึงเข้าช่วยเหลือ
เดือดร้อนคนที่เป็นมันสมองของครอบครัวอย่างหวังอี้หลิน น้องสาวคนเล็กซึ่งเป็นน้องสุดท้อง ต้องออกโรงวางแผนให้พี่ๆ และเธอก็ทำสำเร็จเสียด้วย ถ้าพระเอกไม่บุกมาช่วยนางเอกเอาไว้ได้ทัน(ตลอด)
พี่ชายทั้งสองคนล้วนแต่เชื่อฟังเธอ จะเรียกว่าเธอเป็นผู้นำของพวกสามวายร้ายก็ว่าได้ จุดจบก็คือพวกเขาทั้งสามคนถูกจับขังคุกและเสียชีวิตในไม่กี่ปีให้หลัง
เวลาที่อ่านนิยายเธอมักไม่ใช่ติ่งของพระเอกหรือนางเอก ในทางกลับกันมักจะชอบเชียร์พวกตัวร้ายมากกว่า เพราะว่ามันสนุกกว่าเห็นๆ นั่นทำให้เธอต้องมาอยู่ตรงนี้สินะ
“แม่ทำไมทำหน้าแบบนั้น พวกผมดื้อเกินไปเหรอครับ”เจ้าใหญ่ถามขึ้น
“ฮ่าๆ เปล่าสักหน่อย”
“พวกเราต้องดื้อมากแน่ๆแม่ถึงทำหน้าเครียดแบบนั้น”เจ้าเล็กกอดอกแล้วเริ่มวิเคราะห์
“ดื้อสิดื้อมากๆ ทั้งสองคนมาให้แม่กอดหน่อย”เซียงเซียงอ้าแขนรอให้ลูกชายไปหา เธอชอบเลี้ยงเด็กมาแต่ไหนแต่ไร แต่ว่าไม่มีคนรักก็เลยไม่ได้คิดวาดฝันว่าจะมีครอบครัว
“ง่ำๆๆๆๆ”ทันทีที่เด็กๆยอมเข้าไปในอ้อมกอดของเธอ เธอก็ไล่งับพุงที่ผอมแห้งของพวกเขา เฟยหรงและเฟิงเหมียนหัวเราะตัวงอเพราะว่าจักจี้
อ้อมกอดของแม่มีกลิ่นหอมอ่อนๆแถมยังอบอุ่นมากอีกต่างหาก พวกเขาจึงกอดกันแน่นไม่ยอมปล่อย แม้ว่าแม่จะเคยใจร้ายกับพวกตนแต่พวกเขาก็ยังรักแม่มากๆ เซียงเซียงลูบหลังของพวกเขาอย่างแผ่วเบา
“ต่อไปนี้แม่จะดีกับพวกลูกให้มากขึ้นนะ”
“แม่”เด็กชายทั้งสองพึมพำออกมาเบาๆ เธอปล่อยตัวพวกเขาไปรับประทานอาหารกลางวันกัน มื้อนี้เธอทำอาหารง่ายๆอย่างข้าวต้มหมูโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียมและต้นหอม
“ลูกไปเชิญคุณย่ามาทานอาหารกับพวกเราด้วยสิ”
“เชิญคุณย่าเหรอครับ แม่เพิ่งทะเลาะกับคุณย่าไปนี่นา”เจ้าเล็กกอดอกพูดอย่างสงสัย
“ก็นั่นแหละ แม่รู้ตัวว่าทำไม่เหมาะสมเลยอยากจะเชิญท่านมากินข้าวต้มด้วยกัน”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปเชิญย่ามาให้”เฟยหรงวิ่งตรงไปที่บ้านใหญ่ที่อยู่ถัดไปไม่ไกลเพื่อไปหาคุณปู่คุณย่า
ณ บ้านใหญ่ตระกูลหวัง
หลังจากที่สะใภ้รองถูกทุกคนรุมซักถามอย่างละเอียดถี่ถ้วน ว่าเซียงเซียงได้มอบน้ำตาลทรายแดงและเนื้อหมูให้เธอมาจริงๆ คำตอบที่ได้รับทำให้ทุกคนตกอยู่ในความงุนงง
เกิดอะไรขึ้นกับสะใภ้สามกันแน่ ทำไมจู่ๆถึงทำดีกับสะใภ้รองทั้งที่ปกติก็ไม่ค่อยจะพูดคุยกันดีๆเท่าไร เพราะเธอถือตัวว่าตัวเองมีรสนิยมที่ดีกว่าหรือเรียกง่ายๆว่าหัวสูง
สามีของเธอเป็นถึงทหารที่มียศมีตำแหน่ง แต่สามีของพี่สะใภ้ทั้งสองนั้นเป็นแค่ชาวนาธรรมดาๆเท่านั้น ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ถกเถียงอะไรกันเจ้าใหญ่ก็มาปรากฏตัวที่บ้าน
“คุณย่า คุณแม่ให้ผมมาเชิญคุณย่าไปทานข้าวต้มครับ”
“ห้ะ!!!”แม่หวังร้องออกมาอย่างตกใจ
ขณะนี้ครอบครัวหวังกำลังถากหญ้าอยู่หน้าบ้านเพื่อเตรียมจะปลูกพืชผักสวนครัวเพิ่ม สมาชิกคนอื่นๆในบ้านออกไปทำงานเก็บแต้มค่าแรง มีเพียงแม่หวัง พ่อหวังที่ป่วยอยู่ สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองที่กำลังตั้งครรภ์จึงไม่ต้องออกไปทำงาน
“อย่าว่าแต่ทุกคนแปลกใจเลยผมก็แปลกใจ แม่บอกว่าพวกเราควรจะกตัญญูกตเวทีต่อคุณปู่ คุณย่า ต่อไปนี้แม่จะพยายามทำอาหารอร่อยให้ทานทุกวันครับ”
“บอกแม่เราด้วยว่าไม่ต้องสิ้นเปลืองขนาดนั้นหรอกเจ้าใหญ่ ที่ทะเลาะกับย่าไปคราวที่แล้วก็เพราะเรื่องนี้แหละ ยังไม่เข็ดอีกหรือ”
แม่หวังบ่นอย่างเหลืออด ปล่อยให้ลูกทั้งสองคนอดอยากแต่ตัวเองเอาเงินไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเป็นแม่คนภาษาอะไร!
“เธอรู้จักแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพวกเรามันก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วนะ ถ้าคุณย่าไม่ไปปู่จะไปเอง”
พอหวังเจ๋อหัวหน้าครอบครัวเอ่ยปากทำให้ภรรยาต้องรีบเดินตามไปด้วย ไม่ใช่ว่าเขาอยากทานข้าวต้มแต่ว่าเขาอยากให้แม่สามีและลูกสะใภ้คืนดีกันสักที
เซียงเซียงกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ เห็นคนทั้งสองเดินมาก็ยิ้มให้อย่างนอบน้อม
“เชิญนั่งค่ะคุณพ่อคุณแม่”เพราะว่ารอยยิ้มของเธอดูประดิดประดอยมากจึงได้ค้อนวงโตจากแม่สามีมา
เธอไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและบ้านใหญ่ระหองระแหงกันแบบนี้จึงพยายามจะผสานรอยร้าว อะไรที่เปลี่ยนไปในทางดีขึ้นได้ เธอก็ยินดีที่จะทำทั้งนั้น
“สะใภ้สามหายป่วยแล้วรึ วันนี้ดูหน้าตาแจ่มใส เมื่อสองวันก่อนพ่อเห็นปิดบ้านกันเงียบเชียบเลย”
“พอดีคุณแม่ไปตากลมเย็นๆเข้าก็เลยตัวร้อนครับ ตอนนี้อาการดีขึ้น จนสามารถทำอาหารอร่อยๆให้พวกเราได้แล้วครับ คุณปู่”
เจ้าเล็กเดินออกมาจากห้องน้ำพูดแทนมารดา เซียงเซียงได้ยินก็ยิ้มกว้างให้เขา ช่างเป็นเด็กที่รู้ความยิ่งนัก
“ทีหลังก็ระวังตัว หากเป็นอะไรไปแล้วพวกเด็กๆจะอยู่ยังไงกัน”
แม่หวังได้ทีตำหนิลูกสะใภ้ ไม่ใช่เพราะว่าหล่อนไม่ชอบเจิ้งเซียงเซียงแต่เป็นเพราะว่าเธอรักลูกชายคนเล็กและหลานชายมากต่างหาก
หลานชายคนแรกของวงศ์ตระกูลจะไม่รักได้อย่างไร ยิ่งเห็นพวกเขาผ่ายผอมจนหน้าแหลมก็ยิ่งรู้สึกทรมานใจนัก
“ซูเจียว”หวังเจ๋อเอ่ยปรามภรรยา เขารู้ว่าเธอเป็นคนปากร้ายใจดีแต่ก็ไม่อยากให้เสียบรรยากาศ นานๆทีสะใภ้สามจะมีแก่ใจคิดตอบแทนพวกเขา
เธอตักข้าวต้มให้แม่หวังและพ่อหวังจนพูนจาน วางไข่ลวกเอาไว้ให้คนละ 1 ฟอง ของเจ้าใหญ่และเจ้าเล็กก็มีเหมือนกัน
อากาศแม้ในยามเที่ยงก็ยังมีความเย็นอยู่ พอได้กินข้าวต้มร้อนๆเข้าไปทำให้รู้สึกอบอุ่นมากขึ้นอีก มีทั้งเนื้อ ทั้งไข่และข้าวขัดสี อาหารมื้อนี้ทำให้สองสามีภรรยาปลาบปลื้มใจยิ่งนัก
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเธอก็เก็บล้างจาน ปล่อยให้พวกลูกๆเข้าไปนั่งเล่นในห้องเพื่อเตรียมตัวนอนหลับพักผ่อน
“นี่แม่ช่วยเรื่องเงิน เมื่อกี้มีทั้งหมูทั้งไข่ต้องใช้เงินไปมากโขแน่”แม่หวังเดินเอาเงินมามอบให้เธอ
“ขอบคุณมากค่ะแม่ แต่เงินที่ป๋อเหวินให้มายังอยู่ แม่เก็บเงินเอาไว้เถิดค่ะ”
เธอพูดด้วยรอยยิ้มขอบคุณทำให้แม่หวังนิ่งไปหรือว่า เซียงเซียงจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“งั้นก็ขอบใจมากที่ชวนฉันกับพ่อหวังมากินข้าวต้ม อร่อยดี”แม่หวังพูด
“แค่แม่ช่วยดูแลเด็กๆให้ตอนที่ฉันไปทำธุระ ฉันก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ”เสิ่นซูเจียวพยักหน้า
“ที่แห่งนั้นเธอก็อย่าไปให้มันบ่อยนักล่ะ เกิดถูกจับได้ขึ้นมามันจะลำบากไปกันใหญ่”แม่หวังกระซิบ
“ฉันก็ไม่ได้ไปบ่อยมากหรอกค่ะ แค่ไปซื้อของที่จำเป็นมาเท่านั้นคุณแม่วางใจได้”
ที่แห่งนั้นของแม่หวังก็คือตลาดมืด เวลานี้หมู่บ้านยังไม่มีการแบ่งเนื้อกัน สถานที่ที่ง่ายที่สุดที่จะหาเนื้อหมูได้ก็คงจะไม่พ้นที่นั่น
แม่หวังเป็นคนฉลาดจึงคาดเดาได้ไม่ยาก จุดประสงค์ที่ต้องการชวนแม่สามีมากินข้าวต้มนอกจากจะได้สานสัมพันธ์แล้วยังดูเหมือนจะบรรลุผลที่เธอต้องการเพิ่มขึ้นมาอีก 1 อย่าง
ไม่ต้องพูดอะไรมาก คุณแม่หวังก็เข้าใจได้เองว่าเธอไปซื้อเนื้อหมูมาทำอาหารให้พวกเด็กๆกินจากที่ไหน
