ตอนที่ 6 ทำอาหารมื้อแรก
ความทรงจำของเจ้าของร่างค่อยๆพรั่งพรูออกมา ถึงจะเป็นนิยายแต่มันมีเรื่องราวอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึงในนิยายมากมาย ราวกับว่านี่…นี่เป็นชีวิตของคนจริงๆอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อไม่มีแม้กระทั่งข้าวสารในหม้อเธอก็เลยต้องหาทางหยิบฉวยเอาเสบียงอาหารออกมาเติมแล้วล่ะมั้ง แต่ไม่สามารถทำในขณะที่มีพวกเด็กๆอยู่ด้วยได้
“เจ้าใหญ่ เจ้าเล็กไปเก็บแตงกวาและผักอย่างอื่นในสวนมาให้แม่หน่อยได้ไหม”
“ได้ครับแม่” เด็กๆทั้งสองคนรีบปฏิบัติตามที่มารดาสั่ง พวกเขาอยากให้แม่เห็นว่าพวกตนเป็นเด็กดี สมควรที่จะได้รับอาหารอร่อยๆ เวลานี้แค่ได้หมั่นโถวแข็งๆมารับประทานพวกเขาก็ดีใจมากแล้ว
เซียงเซียงได้โอกาสนำเอาข้าวสารออกมาเทจนเต็มถัง แล้วรีบนำเข้าไปเก็บในมิติ ค่อยนำมาเติมอีกในโอกาสอื่นเพราะตอนนี้เรี่ยวแรงของเธอไม่ค่อยมีนัก ร่างกายนี้ไม่แข็งแรงหรือไม่ก็คงจะป่วยเป็นโรคอะไรบางอย่างจึงจากไปเงียบๆแบบนี้
โชคร้ายเป็นจังหวะที่เจ้าของร่างทะเลาะกันรุนแรงกับแม่สามี เรื่องที่เธอใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายไปกับเรื่องไร้สาระ ทำให้เลี้ยงดูแลบุตรชายทั้งสองที่เป็นหลานรักของแม่หวังได้ไม่ค่อยดี ท่านจึงไม่พึงพอใจเท่าไรนัก เป็นเรื่องจริงที่เด็กๆผอมจนเหลือแค่เพียงหนังหุ้มกระดูกแล้ว
“ต่อไปนี้ฉันจะเลี้ยงดูพวกเธอให้ดีนะ จะทำให้ตัวอ้วนและขาวกลมเลย”
จะทำอะไรเป็นอาหารให้พวกเด็กๆดีนะ ที่บ้านนี้ว่างเปล่าเหมือนถูกยกเค้าไปจนหมด คิดพลางนำไข่ออกมาจากมิติมาวางเรียงกันนับสิบฟองแล้วจัดการทำไข่ตุ๋นให้พวกเขาทันที
ข้าวสารในถังเดิมที่มีอยู่ใช้หุงได้เพียง 1-2 มื้อเท่านั้น พอถูกเติมจนเกือบเต็มถัง มองแล้วรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
โชคดีที่เตายังมีไฟอยู่เธอจึงไม่ต้องก่อไฟใหม่ เจ้าใหญ่คงจะก่อไฟเอาไว้เพื่อเตรียมทำอาหารให้น้องกระมัง
ช่วงที่รอผักจากเด็กๆและรอให้ไข่ตุ๋นสุกเธอก็เก็บกวาดบ้านไปพลางๆ กำจัดขยะที่ส่งกลิ่นเหม็นก่อน บ้านหลังนี้ขนาดกว้างพอๆกับบ้านที่เธอเคยอยู่แต่ว่าข้าวของ เฟอร์นิเจอร์ในบ้านนั้นมีน้อยชิ้นมากๆ
ขยะที่กองอยู่เต็มพื้นส่วนใหญ่เป็นของกินและขนมที่เจ้าของร่างเดิมทำเละเทะเอาไว้แล้วไม่ยอมเก็บ น่าตีจริงๆเลยเป็นแม่คนได้ยังไง ไม่รู้จักดูแลลูกและเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาบ้าง
ที่ตลกไปมากกว่านั้นก็คือมารดาที่ร้ายกาจคนนี้ชื่อ“เจิ้ง เซียงเซียง”ชื่อเดียวกับเธอเป๊ะๆ (อยากจะร้องไห้) เป็นคนหนักไม่เอาเบาไม่สู้ ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อารมณ์ร้าย เวลาไม่พอใจก็ชอบเขวี้ยงปาข้าวของ จิตใจโหดเหี้ยมบางครั้งเธอก็ลงไม้ลงมือกับสามีและลูกๆอีกด้วย
ข้อดีข้อเดียวของเจ้าของร่างก็คือสวย ใช่ เธอสวยมากจริงๆ ผิวขาวเนียนละเอียด จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตารีเรียวกับริมฝีปาก ทุกอย่างลงตัวไม่มากไม่น้อย หากเป็นสมัยก่อนคงจะเรียกได้ว่างามล่มเมืองก็คงไม่ผิด
เจิ้งเซียงเซียงแต่งงานกับหวังป๋อเหวินตั้งแต่อายุ 17 ปีเพราะว่าเขาเป็นชายหนุ่มอนาคตไกล เป็นทหารเพียงคนเดียวของหมู่บ้านแถมยังรูปหล่ออีกต่างหาก เธอเลือกเขาแต่ไม่ได้มีความรักใคร่อะไรเขาแม้แต่นิดเดียว
แต่ก็นั่นแหละ ขนาดไม่รักใคร่ก็ยังมีบุตรชายด้วยกันตั้ง 2 คน บทสรุปที่เธออ่านมาก็คือเจ้าของร่างโชคร้ายหนีไปกับครูหนุ่มเจ้าเสน่ห์มารู้ตัวอีกทีว่าเขามีภรรยาอยู่แล้วก็ตอนที่ตัวเองถูกจับไปประจานต่อหน้าคนนับร้อย
หล่อนถูกพวกทหารทำโทษต่างๆนานา ท้ายที่สุดก็ทนความอับอายไม่ไหวจึงผูกคอตายภายใน 7 วันให้หลัง
สำหรับคนสมัยนี้แล้วชื่อเสียงคือทุกอย่าง เมื่อถูกประณามอย่างไม่มีชิ้นดีเจิ้งเซียงเซียงจึงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ส่วนวายร้ายทั้ง 3 คนที่ตอนนี้ยังมีไม่ครบองค์ประชุมขาดน้องสาวตัวแสบที่ยังไม่เกิด พวกเขากลายเป็นจอมโจรชื่อดังในโลกใต้ดินมีจุดจบอนาถไม่ต่างจากบิดาของตัวเอง
อีก 3 เดือนหวังป๋อเหวินกลับมาจากสงคราม และถูกปลดระวางเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ต้องตรากตรำทำงานแทนภรรยาสารพัด บาดแผลที่เจ็บอยู่จึงไม่มีโอกาสได้หายดี เขาตายด้วยวัยเพียง 43 ปี
การจากไปของบิดานั้นเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ลูกๆตัดสินใจเดินเข้าสู่ด้านมืด จนกระทั่งกลายเป็นถลำลึกจนถอนตัวไม่ขึ้น
เธอไม่เชื่อว่าเด็กทั้งสองคนจะเลวร้ายโดยกำเนิด สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้รับความรักจากคนในครอบครัว โดยเฉพาะผู้ได้ชื่อว่าแม่แท้ๆของตนเองต่างหาก
“แม่ครับแตงกวามาแล้ว ผมเก็บมะเขือเทศและถั่วฝักยาวมาเพิ่มด้วย”เฟยหรงพูดอย่างเอาอกเอาใจ แต่เธอก็ยังสังเกตเห็นความกลัวในแววตาของเขาได้
“แม่จะเอาไปผัดใส่ไข่ให้นะ พวกลูกๆเนื้อตัวมอมแมมมากอาบน้ำก่อนดีไหม จะได้สบายตัว”
“แต่ผมหิวมากๆเลย แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว”เฟิงเหมียนเบะปากทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง
“งั้นก็ล้างหน้าสักหน่อยแล้วมากินข้าว อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว”
เฟยหรงรับหน้าที่เดินจูงมือน้องชายไปล้างหน้าล้างตา พวกเขามอมแมมและตัวเหม็นมาก แม่มักจะรังเกียจเวลาที่พวกเขาตัวเหม็นและสกปรกแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจจะอาบน้ำให้น้องก่อน
“ให้แม่ต้มน้ำให้อาบไหม”เขาสะดุ้งโหยงเมื่อมารดาเดินมาข้างหลัง บาดแผลที่หลังที่ถูกตีเมื่อวันนั้นยังไม่หายดีเลย
เซียงเซียงเห็นปฏิกิริยาของเด็กๆแล้วก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก อยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
เธอทนดูสองคนพี่น้องอาบน้ำกันเองไม่ไหวจึงเดินเข้าไปช่วยอาบ ตั้งหม้อข้าวเอาไว้แล้ว
ถ้าข้าวสุกพวกเขาก็สามารถกินไข่ตุ๋นกับข้าวได้เลย ผัดแตงกวากับไข่เพิ่มอีกสักอย่างใช้เวลาไม่นาน
อากาศยังไม่หนาวมากอีกประมาณ 2 เดือนก็จะเข้าฤดูหนาว หวังป๋อเหวินน่าจะกลับมาในช่วงหน้าหนาวพอดี การเดินทางคงจะลำบากไม่น้อย
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พาพวกเด็กๆนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะกินข้าวกลางบ้าน ข้างๆโต๊ะกินข้าวมีเตียงเตาที่ใช้สำหรับผิงเวลาที่มีอากาศหนาวมากๆ
“ค่อยๆกินนะ แม่จะไปผัดแตงกวาให้”
“แม่เอาไข่มาจากไหนครับ ผมหาทั่วแล้วไม่เห็นเจอ”เฟยหรงเอ่ยถามขึ้น
“แม่เก็บเอาไว้ในตู้กับข้าวชั้นบน กลัวพวกลูกจะเล่นกันแตกตอนที่แม่หลับน่ะสิ”
“อ้อ มิน่าล่ะผมหาเท่าไรก็ไม่เจอ”เจ้าใหญ่พูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินไข่ตุ๋นที่เธอทำอย่างเอร็ดอร่อย มองดูพวกเด็กๆกินเธอจึงได้รู้ว่าตัวเองก็หิวมากเช่นกัน
ลงมือล้างแตงกวาให้สะอาด หั่นอย่างรวดเร็วแล้วก็ผัดใส่ไข่ ผ่านไปไม่นานอาหารอีกจานหนึ่งก็เสร็จ เซียงเซียงจึงนั่งรับประทานข้าวมื้อเช้าร่วมกับพวกเขาด้วยความเอร็ดอร่อย
เฟยหรงอาสาช่วยล้างจานจนเสร็จ จากนั้นก็มาขออนุญาตออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อน เธอจึงให้เขาพาเฟิงเหมียนไปด้วยกัน
เมื่อไม่มีใครอยู่แล้วเซียงเซียงก็จัดการนำข้าวสารออกมาเติมจนเต็มถังที่มีอยู่ทั้ง 3 ถัง เติมน้ำตาล น้ำมันพืชและเครื่องปรุงต่างๆที่แกะฉลากออกแล้วลงไป ไข่ที่มีอยู่ถูกจัดเรียงลงไปเต็มตู้ เธอแบ่งเอาเนื้อหมูบางส่วนออกมา
และเพื่อไม่เป็นการให้พวกเด็กๆสงสัย เธอจะต้องหาทางออกไปข้างนอกบ้านเพื่อซื้อของบ้าง ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถอธิบายที่มาของสิ่งของมากมายที่เธอมีนี้กับพวกเขาได้
เซียงเซียงเปิดประตูบ้านออกมาหยุดอยู่ที่ตรงระเบียงหน้าบ้าน มองเห็นแม่สามีมายืนด้อมๆมองๆอยู่ ท่านคงจะเป็นห่วงที่หลานๆไม่ได้ออกไปข้างนอกมาหลายวันแล้ว
ตอนแรกเธอคิดว่าจะไปหาท่านแต่ว่าไปมือเปล่าแบบนี้ ก็คงไม่ใช่ที่ เอาไว้ทำอาหารดีๆสักมื้อแล้วค่อยให้พวกเด็กๆไปตามก็ได้
ช่วงจังหวะนั้นแม่หวังก็เดินหนีกลับเข้าไปในบ้าน สงสัยว่าจะยังโกรธเธออยู่กระมัง
ประเด็นที่ทะเลาะกันนั้นเธอไม่ได้ติดใจอะไรแล้วเพราะว่ามันเป็นความจริง ความจริงที่ต่อไปนี้เธอจะตั้งใจแก้ไขมันให้ได้
