ตอนที่ 3 กักตุนเนื้อหมู
เซียงเซียงทิ้งตัวลงบนโซฟาพร้อมกับพ่อและแม่ ทุกคนมีสภาพเหนื่อยล้าแต่ว่าดวงตาฉายแววสนุก กว่าจะได้รายการทั้งหมดมาครบ ต้องตอบคำถามเพื่อนบ้านว่าขนของอะไรมาเยอะแยะเหนื่อยกว่าขนข้าวสารนับ 10 กระสอบอีก เพียงแค่วันเดียวเธอใช้เงินเก็บหมดไปแล้วครึ่งหนึ่ง
แม้จะเผชิญกับเรื่องราวมหัศจรรย์อยู่แต่ทุกคนก็ยังยิ้มได้ครอบครัวของเธอเป็นนักอ่านตัวยง ทำให้ทุกคนยอมรับเรื่องราวที่เหลือเชื่อนี้ได้เร็ว ไม่ใช่ว่าไม่ตกใจแต่ตกใจไปก็ไม่มีประโยชน์
แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องทะลุมิตินี้มีจริงหรือไม่ แต่การเตรียมตัวเอาไว้ก่อนเพื่อความไม่ประมาทก็คงไม่เสียหายอะไร
“ต้องเอาหมูไว้ในมิติ 3 วันถึงจะรู้ผลหรือ”หลินอี้หรานถามขึ้น
“แล้วคุณมีวิธีที่เร็วกว่านั้นไหมล่ะ”
เมื่อถูกถามขึ้นแบบนั้นหลินอี้หรานไม่ตอบ แต่เดินเข้าไปในครัวครู่หนึ่งก็ถือน้ำร้อนแก้วหนึ่งออกมา แค่เห็นมารดาทำแบบนั้นเซียงเซียงจึงหัวเราะออกมาพร้อมกับบิดา
“ครึ่งชั่วโมงก็เพียงพอที่จะรู้คุณสมบัติของมิติของลูกแล้ว”
“ฮ่าๆคุณนี่ฉลาดจริงๆ”วิธีนี้ของอี้หรานเร็วกว่าจริงๆ ทำไมเขาถึงนึกไม่ออกนะ
เซียงเซียงทำตามที่แม่แนะนำ เธอนำแก้วน้ำร้อนวางในมิติ รอให้เวลาผ่านไปโดยการนั่งพักจนหายเหนื่อยดีแล้ว จึงค่อยเริ่มสำรวจข้าวของที่ได้มาในวันนี้ซึ่งทั้งหมดเป็นของใช้พื้นฐานที่เธอพอจะนึกออกได้
ข้าวสาร 10 กระสอบ น้ำมันพืช น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลกรวดที่เธอซื้อมาเยอะที่สุด แป้งสารพัดชนิดและอุปกรณ์ทำขนม ไม้ขีดไฟ สารพัดชาที่เธอชอบดื่ม กาแฟอีกเล็กน้อย
อีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยก็คือไข่ไก่ เพราะว่าไข่นั้นสามารถแลกเปลี่ยนหรือนำไปขายเป็นเงินตราได้ และเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนที่สุดแถมยังทำให้อิ่มท้องได้ด้วย ไม่ซื้อติดไปก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
ค่อยๆทยอยลำเลียงของเข้าไปในมิติจนกระทั่งครบชั่วโมงก็จัดเรียงของที่ซื้อมาได้จนครบ น้ำในแก้วที่เธอตั้งทิ้งไว้ก็ยังร้อนอยู่เหมือนเดิมเป็นอันว่ามิตินี้สามารถรักษาสภาพของเนื้อสดได้อย่างแน่นอน
เธอดีใจมากๆที่ได้รับของวิเศษนี้มา ไม่ต้องกังวลเรื่องไม่มีเนื้อเอาไว้รับประทานอีกต่อไป เธอสามารถพกเนื้อสดที่มีอยู่จำนวนมากบนโลกใบนี้ไปได้มากเท่าที่มิติจะจุไหว
เซียงเซียงจึงโทรไปสั่งเนื้อจากป้าเฉินเป็นจำนวนมาก รวมๆแล้วประมาณ 10 กิโลกรัม แม้จะถูกป้าถามว่านำเนื้อไปทำอะไร เธอก็แค่ตอบปัดไปว่ามีกินเลี้ยงกันในครอบครัว
แต่ป้าเฉินดูจะไม่ค่อยเชื่อนักเพราะว่าครอบครัวของเซียง เซียงนั้นเป็นครอบครัวเดี่ยว ไม่ใช่ครอบครัวใหญ่เหมือนกับครอบครัวทั่วไป มีเพียงป้าที่อยู่ไม่ห่างกันนักเป็นญาติที่หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น แม่ของเธอกำพร้าบิดามารดาและเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูล
พ่อของเธอก็เป็นบุตรชายคนเล็ก มีเพียงพี่สาวคนเดียวเท่านั้น คุณปู่และคุณย่าเสียไปได้ 10 กว่าปีแล้ว ทุกคนจึงเหลือกันเพียงแค่นี้
หลินอี้หรานหยิบแก้วน้ำร้อนใบนั้นไปชงกาแฟ กลิ่นหอมของกาแฟที่ผ่านการบดคั่วมาอย่างดีทำให้บรรยากาศในบ้านผ่อนคลายขึ้น
“ถ้าหากว่าพ่อกับแม่ไม่ได้เข้าไปในโลกนิยายด้วย หนูก็ไม่ต้องห่วงนะใช้ชีวิตให้ดีเหมือนที่เคยทำมาเสมอ”
“ทำไมล่ะคะ พ่อไม่อยากไปกับหนูเหรอ”
“ไม่ใช่ว่าไม่อยากไป เซียงเซียงเอ๋ยชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอนหรอก สิ่งที่กำลังเกิดกับพวกเรามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ อย่าไปคาดหวังอะไรกับมันนักเลย”เจิ้งฉานพยายามให้สติบุตรสาว
“นั่นสิลูก อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่มีใครคาดเดาได้หรอกนะ”หลินอี้หรานผู้เป็นมารดาพูดสำทับขึ้น
“ก็หนูเป็นห่วงพ่อกับแม่นี่คะ พวกเรามีกันอยู่แค่ 3 คนเอง”เซียงเซียงโผเข้าไปกอดพ่อกับแม่ หอมแก้มพวกเขาอีกคนละทีสองที
“ฮ่าๆๆ โตจนป่านนี้ยังอ้อนพ่อกับแม่อีก”
“หนูจะอ้อนพ่อกับแม่ไปจนแก่ตายเลยค่ะ”
“อ้อนอะไรกัน อีกหน่อยหนูก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว ถ้าเป็นแม่คนแล้วยังขี้อ้อนแบบนี้หลานของแม่จะเคารพหนูไหมนะ”
“หนูไม่อยากเลี้ยงลูกให้พวกเขากลัวหนูหรอกค่ะ อยากให้พวกเขารักหนูและเปิดใจคุยกับหนูได้ทุกเรื่อง เหมือนที่พ่อกับแม่เลี้ยงหนูมา”
เซียงเซียงอธิบาย ในใจพาลคิดไปถึงหน้าเด็กสองคนที่เธอเจอในฝัน พ่อกับแม่ของเธอยิ้มรับคำพูดลูกสาวก่อนจะเปิดประเด็นสนทนาขึ้นมาใหม่
“จะว่าไปแล้วเรื่องระบบหรือเสียงลึกลับที่พูดคุยกับหนูนี่มาจากแพ็คเกจที่ซื้อใช่ไหม”
“หนูเดาว่าใช่ค่ะแม่”
“อืม ราคาถูกมากเลยเนอะแค่ 1 หยวนเอง”
“ฮ่าๆๆๆ”เซียงเซียงได้ยินคำวิเคราะห์ของแม่ก็ขำก๊าก ถ้าหากระบบได้ยินคงจะร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่ๆ ถึงจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่เธอมั่นใจว่าคราวที่แล้วเขาเคืองตอนที่เธอว่าเขาราคาถูก
“อย่าหัวเราะขนาดนั้น ถ้าเขามาได้ยินเข้าคงจะน้อยใจน่าดู แม่ก็แค่รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเป็นของเทคโนโลยีชั้นสูง ไม่แน่พวกเขาอาจจะมาจากโลกอนาคตก็ได้”
“แล้วพวกเขาจะเอาเทคโนโลยีชั้นเลิศมาขายแค่ในราคา 1 หยวนจริงๆเหรอคุณ”เจิ้งฉานท้วงภรรยา
“พวกเขาก็อาจจะมีเป้าหมายบางอย่างก็เป็นได้ เพียงแค่พวกเราไม่รู้ก็เท่านั้นเอง”เซียงเซียงนอนหนุนตักแม่รู้สึกสบายจึงทำตาปรืออยากนอนเต็มที
“เหนื่อยก็นอนพักเอาแรงสักหน่อยก็ได้ลูก”
เมื่อมารดาอนุญาตแล้ว เซียงเซียงก็ถือโอกาสนอนหนุนตักคุณแม่แล้วผล็อยหลับไป หลินอี้หรานปล่อยให้ลูกสาวนอนพักครู่หนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นไปเตรียมมื้อค่ำให้ครอบครัว
ช่วงนี้หิมะตกหนักเซียงเซียงจึงไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ที่บริษัทเข้าใจและให้พนักงาน WFH ในช่วงนี้แทน แม้จะเพิ่งเลื่อนตำแหน่งมาได้ 3 เดือนแต่ลูกสาวของหล่อนก็ทำงานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นที่รักของลูกน้องและลูกค้าทั้งหลาย
ค่าคอมมิชชั่นจากการขายในแต่ละเดือนไม่ใช่น้อยๆ ทำให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายมากขึ้นตามลำดับ
จากที่เคยมีหนี้สินก้อนใหญ่หลายแสนหยวนก็สามารถใช้หนี้หมดตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน เดิมทีสามีของเธอก็ทำงานเป็นพนักงานบัญชี ทำงานนานเกือบ 30 ปีจำเป็นต้องตัดสินใจลาออกมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อนเนื่องจากปัญหาสุขภาพ
เขามักจะสอนบุตรสาวเรื่องการเก็บออมและการวางแผนด้านการเงินเสมอ เซียงเซียงจึงซึมซับนิสัยแบบนี้จากเจิ้งฉานมา ทำให้เติบโตขึ้นมาอย่างงดงามท่ามกลางอุปสรรคมากมาย
ส่วนเธอนั้นเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาๆที่มีความสุขกับการดูแลลูกและครอบครัวเท่านั้น สิ่งที่เธอจะถ่ายทอดให้บุตรสาวได้ก็เป็นเพียงเรื่องการทำอาหารหลากหลายประเภทที่เธอเคยลงคอร์ส เรียนมาสารพัดอย่าง
ไม่ใช่ว่าหลินอี้หรานเป็นคนอวดลูก แต่เซียงเซียงเรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็วมากจริงๆ ฝึกทำไม่กี่ครั้งก็จำสูตรได้และทำอาหารออกมาได้อร่อยกว่าเธอเสียอีก แต่เจ้าตัวไม่ค่อยได้แสดงฝีมือเท่าไรเพราะอยากอ้อนให้แม่ทำให้มากกว่า
กลิ่นหอมของซุปครีมเห็ดที่ลอยออกมาจากห้องครัวทำให้เซียงเซียงต้องยอมตื่นขึ้นมา เข้าไปดูคุณแม่ทำอาหารในห้องครัวแล้วรีบวิ่งขึ้นไปข้างบนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จแล้วจะได้ลงมารับประทานอาหารพร้อมหน้ากันเหมือนเช่นเคย
“พรุ่งนี้เช้าป้าเฉินบอกว่าจะให้คนมาส่งหมู รวมเป็นเงินทั้งหมดประมาณเกือบ 4,000 หยวน” ไม่รู้ว่าโลกที่รออยู่ข้างหน้านั้นเป็นอย่างไรแต่เธอจะไม่ยอมอ่อนข้อให้แน่
เนื้อหาในนิยายที่รุ่นน้องส่งมาเธอลองอ่านคร่าวๆดูแล้ว หวังว่าคงไม่ต้องเข้าไปสวมบทบาทอะไรที่มันยากเกินไปหรอกมั้ง
ขอให้เทพเจ้าแห่งโชคชะตาหรืออะไรก็ตามแต่ เมตตาต่อเธอและครอบครัวของเธอบ้างนะเจ้าคะ เซียงเซียงพนมมือขึ้นอธิษฐาน จากนั้นก็ลงไปรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัว
พรุ่งนี้ยังเป็นวันหยุดอีกวันหนึ่งเธอว่าจะลองทำซาลาเปาสูตรใหม่ที่เจอในยูทูปให้พ่อกับแม่ลองชิมดู งานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งที่เธอชอบทำก็คือการทำอาหารนี่แหละ
