ตอนที่ 10 แหล่งซื้อหมู
หลังจากได้ของกินแล้วก็เดินเลือกซื้อของใช้อย่างอื่น เป็นพวกของใช้ส่วนตัวของเจ้าใหญ่และเจ้าเล็ก ได้แก่พวกแปรงสีฟันและยาสีฟัน
แม้ยาสีฟันจะใช้ของที่เธอนำมาได้แต่เธอซื้อติดมาในปริมาณที่เพียงพอต่อการใช้งาน ซื้อใหม่ให้พวกลูกๆดีกว่า
ส่วนของเธอนั้นไม่จำเป็นต้องซื้อเพราะว่ายังมีของในมิติที่พกติดตัวมาอีกจำนวนมาก ค่อยนำออกมาใช้ทีละหน่อยดีกว่า ซื้อฝ้ายที่เป็นเป้าหมายหลักในการมาครั้งนี้มาจำนวนพอสมควร
เธอวางแผนว่าจะให้สะใภ้รองตัดเสื้อโค้ทบุฝ้ายให้พวกเด็กๆ ถ้ามีฝ้ายเหลือหล่อนก็สามารถเอาไปตัดชุดให้พวกลูกๆได้
จ่ายเงินซื้อของเสร็จแล้ว เซียงเซียงก็ออกเดินหาโรงเชือดหมูตามความทรงจำของเจ้าของร่าง
เนื้อหมูนั้นมีมากพอสำหรับรับประทานไปอีกนาน แต่เธอต้องการแหล่งซื้อหมูในโลกยุคนี้ก่อน เพื่อความกว้างขวางในกิจการขายหมูที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการของเธอ ตลาดออนไลน์จะมีของอะไรบ้างก็ไม่ทราบเธอไม่อยากประมาท
เนื้อหมูที่เธอคนเก่าเคยซื้อมานั้นมาจากตลาดมืดเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่จะนานๆซื้อมาทีเพราะว่าเธอขี้เกียจแบก
เจิ้งเซียงเซียงคนเก่าทำอาหารไม่ค่อยอร่อย ถึงแม้จะไม่งกในการซื้อหมู ซื้อไข่ แต่อาหารที่ทำก็หาความอร่อยแทบไม่ได้ ผิดกับเธอที่ชอบทำอาหารและทำอร่อยแทบจะทุกอย่าง
ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงไปในชั่วข้ามคืนแบบนี้ เธอจึงต้องมองหาคำอธิบายในเรื่องนี้โดยเร็ว โชคดีเหลือเกินที่เมื่อคืนนี้เธอบังเอิญพบหนังสือสอนทำอาหารจากในห้อง หากป๋อเหวินสงสัยเธอจะได้นำมาให้เขาดู
เซียงเซียงเดินมาเรื่อยๆก็มาหยุดอยู่ที่โรงเชือดแห่งใหม่ โรงเชือดแห่งนี้เพิ่งเปิดขึ้นมาใหม่ตามคำสั่งของรัฐ ไม่อย่างนั้นก็จะมีโรงเชือดอยู่เพียงโรงเดียวที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้คน อีกทั้งยังต้องลำบากเดินทางไกล
นั่นคือเหตุผลที่เธอคิดเอาเองเพราะว่าไม่ใช่ว่าชาวบ้านทุกคนจะซื้อเนื้อเป็นว่าเล่นแบบเธอ ปีทั้งปีพวกเขาแทบจะไม่ได้กินเนื้อกันเลย มีแค่ตอนหลังแบ่งผลผลิตกันแล้วจึงจะมีการเชือดหมูเพื่อแบ่งเนื้อกัน
แม้จะเดินมาอย่างไม่คาดหวังว่าจะซื้อหมูกลับไป แต่เธอกลับโชคดีที่ได้พบคนเดินแบกเนื้อออกมาจากด้านใน เซียงเซียงจึงเดินเข้าไปถาม “พี่สาวคุณมาซื้อเนื้อหรือเปล่าคะ”
“ใช่ เธอจะมาซื้อเนื้อด้วยใช่ไหม ได้จองเอาไว้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้จองก็ยากหน่อย”
ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองหญิงสาวที่มีอายุน้อยกว่าแล้วชี้มาที่หมูที่ตนกำลังแบกอย่างอวดๆ
เซียงเซียงสำรวจดูการแต่งตัวของพี่สาวตรงหน้า เธอดูเหมือนคนที่ค่อนข้างกว้างขวางน่าจะรู้จักคนจำนวนมาก ผูกมิตรเอาไว้ไม่เสียหายจึงพูดจาอย่างนอบน้อมว่า
“พี่สาวคะ ดิฉันเป็นเพียงแค่สาวชนบทธรรมดาไม่รู้จักใครหรอกค่ะ ไม่ทราบว่าพี่สาวพอจะมีเส้นสายที่ช่วยฉันได้บ้างไหม”
เดิมทีพี่สาวคนนั้นมีท่าทีไม่สนใจที่เซียงเซียงพูดสักเท่าไร เพราะตัวเธอเป็นเพียงสาวที่มาจากชนบท แต่พอเธอยื่นคูปองอาหารที่ใช้สำหรับพนักงาน คูปองนี้มีเพียงแค่พนักงานในคอมมูนที่จะมีสิทธิ์ใช้ซื้ออาหารที่ทางรัฐจัดหาให้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคูปองนี้มีความสำคัญมากกว่าเงินทองเพราะถ้าไม่มีคูปองเหล่านี้แล้วล่ะก็ ต่อให้มีเงินก็ซื้อของไม่ได้ เธอจึงตัดสินใจมอบให้หญิงสาวคนนั้นประมาณ 5 ชิ้น
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกมาได้เลย”พี่สาวคนนั้นหันขวับมาคว้าเอาคูปองของเธอไว้แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“พอดีว่าในชนบทที่ฉันมาไม่จำเป็นต้องใช้คูปองแลกซื้ออาหาร อีกไม่กี่วันก็จะมีการแบ่งอาหารกันแล้วแต่ลูกชายทั้งสองที่บ้านของฉันอยากกินเนื้อมาก หัวอกคนเป็นแม่อย่างฉันก็เลยต้องออกมาดิ้นรนหาให้ลูกกิน สุดท้ายก็เลยลองมาเสี่ยงดวงดูที่นี่ค่ะ
ส่วนคูปองอาหารพวกนี้เป็นของสามีของดิฉันที่เป็นทหารส่งมาให้เพราะว่าเขาไม่ต้องใช้ หากพี่อยากได้อีกฉันจะให้ค่ะแต่ช่วยซื้อเนื้อให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ”
หญิงสาวที่ได้ฟังเซียงเซียงพูดถึงลูกก็โล่งใจ ผู้หญิงตรงหน้านี้หน้าตาสะสวย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีลูกแล้วแถมเธอยังเป็นแม่ที่แสนวิเศษออกมาหาทางซื้อเนื้อหมูให้ลูกกินด้วย
“ถ้าฉันร้องขอเกินไปก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีฉันคิดว่าพี่พอจะมีคนรู้จักอยู่ในนั้น”
เซียงเซียงหันหลังเตรียมจะเดินกลับเพราะไม่อยากเซ้าซี้สตรีตรงหน้าให้มากความ
“เดี๋ยวก่อนเอาเป็นว่าพี่จะไปคุยกับเขาให้ น้องต้องการเนื้อแบบไหน มีคูปองซื้อหมูไหม ถ้าไม่มีราคาชั่งละ 10.5 หยวนต่อ 1 ชั่ง แต่ถ้ามีคูปองก็จะจ่ายแค่ชั่งละ 8 หยวน เธอจะเอาเท่าไรมันแพงมากเลยนะถ้าไม่มีคูปอง”
“ถ้าเป็นไปได้ฉันขอซื้อสัก 1 ชั่งได้ไหมจ๊ะ ถ้ามีพวกเนื้อติดกระดูกรบกวนพี่บอกให้เพชรฆาตช่วยชั่งให้ฉันด้วย”
“ได้ เดี๋ยวฉันจะไปซื้อให้เธอ”เซียงเซียงยื่นเงินให้พี่สาวใจดีคนนี้และยัดคูปองอาหารไปให้อีกจำนวนหนึ่ง
จากนั้นพี่สาวคนนั้นก็เดินเข้าไปในโรงเชือดนำเนื้อหมูติดมันมาให้เธอจำนวน 1 ชั่ง และยังมีซี่โครงและกระดูกอ่อนอีกจำนวนมากให้เธอ
เนื้อติดมันเป็นที่นิยมในยุคนี้ ตรงกันข้ามกับเนื้อที่ติดกระดูกที่มักจะไม่มีใครต้องการ มันจึงเหลืออยู่จำนวนมาก และกลายเป็นของเธอทั้งหมด
เซียงเซียงเห็นแล้วดีใจมากเพราะเธอจะได้ทำเมนูอาหารอร่อยๆไว้ให้ลูกๆรับประทานกัน
“ขอบคุณมากนะคะพี่สาว ฉันชื่อเจิ้งเซียงเซียง มาจากหมู่บ้านหวังซุน สามีของฉันชื่อหวังป๋อเหวินเป็นทหารคนเดียวของหมู่บ้าน ถามคนอื่นๆใครๆก็รู้จักตระกูลหวังค่ะเพราะพวกเขาเป็นตระกูลใหญ่”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีความจริงใจกล้าบอกถึงเรื่องในครอบครัวเธอจึงแนะนำตัวเองบ้าง
“ฉันชื่อเจียอี มีลูกสาวและลูกชายอยู่ที่บ้านเหมือนกัน”
“ลูกชายคนโตของฉันอายุ 6 ขวบและคนเล็กอายุ 4 ขวบค่ะ กินเก่งยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็หายไปในชั่วพริบตา”
แม่ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนเธอได้รู้ว่าเจียอีทำงานอยู่ที่สหกรณ์
หากขาดเหลืออะไรก็สามารถมาให้เธอช่วยเหลือได้ พวกเธอสนิทกันอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะว่ามีลูกชายอยู่ในวัยใกล้เคียงกันก็เป็นได้
คูปองที่ได้มาแม้ไม่สุจริตแต่เจียอีจะปฏิเสธได้อย่างไร เธอไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนและก็ทำตามหน้าที่ได้เป็นอย่างดีเสมอมา ผ่านไปครึ่งชั่วโมงทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันไป
เซียงเซียงถือตะกร้าใส่เนื้อหมูที่เพิ่งซื้อมาและซี่โครงเอาไว้เป็นอย่างดี อาศัยช่วงที่ลับตาคนก็นำเนื้อหมูและซี่โครงเข้าไปเก็บไว้ ในส่วนของหมูติดมันเธอเก็บเอาไว้อย่างดีในมิติเพราะมันอาจจะเตะตาคนอื่นมากไป นำเพียงกระดูกซี่โครงออกมา ชาวบ้านเห็นเธอถือของพะรุงพะรังก็พากันซุบซิบเหมือนดังเช่นเคย
เวลานี้ประมาณ 10 โมงเช้าแล้วเธอจึงเตรียมตัวจะกลับบ้าน หากอยากได้ของชิ้นใหญ่กว่านี้อย่างพวกเตา หม้อหรือกระทะต้องเข้าตัวเมืองไปซื้อเท่านั้น แต่นั่นก็ยังไม่ถือว่าจำเป็นเท่าไร
แม้จะลำบากไปหน่อยที่มีเตาเพียงแค่เตาเดียวที่ใช้ทำอาหาร ต้มน้ำหรือหุงข้าวได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งในแต่ละครั้งเท่านั้น
พวกแป้งในมิติยังไม่ได้นำออกมาใช้สักเท่าไร เธออยากอบขนมจึงวางแผนว่าจะก่ออิฐทำฐานเตาอบแทน คิดเอาไว้ว่าจะทำเป็นเตาอบหน้าหมีเลยว่าจะให้พวกเด็กๆช่วยกันทำ ค่อยๆทำไปก็คงจะทำได้
กว่าจะเดินทางกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาประมาณ 11 โมง เซียงเซียงเดินกลับเข้าไปในบ้านนำเนื้อหมูออกมาหมักเกลือ แยกประเภทเนื้อออกจากกันเป็นเนื้อแดง เนื้อสามชั้นและเนื้อส่วนอื่นๆด้วย
กระดูกอ่อนที่ได้มานั้นเธอนำไปสับแล้วเตรียมจะทำซุปหมูกระดูกอ่อน แล้วว่าจะตักแบ่งให้แม่หวังเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยดูแลเด็กๆให้อีกทีหนึ่ง
เสร็จจากการจัดแบ่งของในครัวก็เดินไปรับพวกเด็กๆที่เล่นอยู่ที่สวนผักในลานบ้าน ที่สวนแห่งนี้ปลูกมะเขือ แตงกวา กวางตุ้ง ผักกาด กะหล่ำปลีและแครอทอยู่เป็นแถวๆ
ผักทั้งสวนได้รับการดูแลอย่างดีจากพวกเด็กๆ ตอนนี้พวกเขากำลังขุดดินทำสวนผักอยู่อีกแปลงหนึ่ง
“เฟยหรง เฟิงเหมียนพวกลูกทำอะไรกันอยู่”
“ทำแปลงผักครับแม่ พวกเราได้เมล็ดมาจากบ้านของคุณย่า มีถั่วลิสงด้วยครับ ผมตั้งใจว่าจะปลูกถั่ว”เจ้าใหญ่พูด
“ส่วนผมจะปลูกบวบกับพริกเพิ่มครับ พวกเราจะได้มีผักไว้กินกันทั้งปี”
“ดีเลย แม่ซื้อหมูมาเดี๋ยวจะทำอะไรอร่อยๆให้กินนะ”
“เย้ๆๆๆ”
“พวกเราจะเร่งมือรีบทำแปลงให้เสร็จเร็วๆครับ”เจ้าใหญ่บอกอย่างฮึกเหิม
“แม่หมักหมูเอาไว้แล้ว เดี๋ยวแม่จะช่วยพวกลูกขุดแปลงเพิ่มแล้วกันนะ”
เธอเองก็ทำสวนเป็นถ้าอยากจะทำ ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ทำก็เพราะว่า…ขี้เกียจ แค่ภาระงานก็มากพออยู่แล้ว แต่ทุกอย่างที่กลับตาลปัตรไปเธอค่อนข้างว่างมาก ช่วยลูกๆทำสวนดีกว่า
“ผมเก็บไส้เดือนตามข้างทางเอาไว้ใส่แปลงผักของเราครับ พ่อเคยบอกว่า ถ้าสวนเรามีไส้เดือนคอยพรวนดิน จะยิ่งดีกับพืชผักที่พวกเราปลูก”เจ้าเล็กอธิบาย
“เอ่อ ก็ดีนะ พวกลูกขยันหมั่นเพียรมากเลยนะ แม่ภูมิใจมากๆ”
สองคนพี่น้องได้ยินมารดาเอ่ยชมดังนั้นก็ทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
สามคนแม่ลูกช่วยกันทำสวนอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับเข้ามารับประทานอาหารเที่ยงเป็นซาลาเปาคนละลูก รอกินหมูสามชั้นหมักเกลือแสนอร่อยทอดตอนเย็น
