เพราะโง่เขลาถึงได้มีสภาพเช่นนี้
“ในเมื่อเป็นคำสั่งของท่าน ข้าย่อมต้องจำได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ” ฟางซินตอบ ขณะที่มือกำหมัดแน่นยามคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ตัวเองเอ่ยเรียกคนตรงหน้าว่าท่านน้า นางก็ถูกฝ่ามือเรียวยาวตบเข้าที่หน้าหลายทีต่อหน้าบ่าวรับใช้ในจวนทุกคน
“วันนี้เจ้าต้องไปช่วยอวี้โหรวถือของ เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“เข้าใจเช่นนั้นก็ดี แล้วอย่าได้คิดได้ฝันว่าจะได้กลับมาเป็นคุณหนูอีก คนอย่างเจ้าเป็นได้เพียงข้ารับใช้ของข้ากับลูกเท่านั้น”
“ข้าจำได้เจ้าค่ะ”
“เป็นเพราะเจ้าโง่เขลา เจ้าถึงได้มีสภาพเช่นนี้” ลู่จิ่งอี้เอ่ยพรางเปรยตามองบุตรสาวของพี่สาวต่างแม่ด้วยท่าทีเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง
หลายปีมาแล้วที่นางคอยประจบสอพลอเอาอกเอาใจลู่หลินซีจนคนสกุลฟู่ไว้เนื้อเชื่อใจ ทุกอย่างที่นางมีในวันนี้ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่นางควรได้รับจากการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตัวเอง เดิมทีนางไม่ต้องการให้สองพี่น้องแซ่ฟู่มีชีวิตอยู่ แต่ถูกสามีห้ามปรามไว้เสียก่อน ด้วยเกรงว่าอาจถูกครหาได้ว่าทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ตนได้มาเป็นเพราะข่มเหงไม่ใช่เพราะได้มาอย่างใสสะอาดถึงได้ปล่อยให้สองพี่น้องมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ ทว่าแม้ไม่อาจฆ่าพวกเขาได้โดยตรง แต่ใช่ว่านางไม่สามารถทรมานได้นี่ อยากรู้นักว่าพี่น้องคู่นี้จะสามารถมีชีวิตได้จนถึงเมื่อใด
เสิ่นอวี้โหรวมีนิสัยชอบโอ้โอด ทุกครั้งที่นางออกจากจวนนางชอบสวมใส่อาภณ์ราคาแพงเสียยิ่งกว่าทอง เนื้อตัวของนางเต็มไปด้วยเครื่องประดับราคาสูงลิ่ว
“มัวมองอันใดอยู่เล่า ถือของให้ข้าสิ!”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” อวี้โหรวมักกลั่นแกล้งนางอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกอับอายมากเท่าใด ตัวนางเองยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น เหตุเพราะแต่ก่อนนางริษยาและเกลียดชังฟู่ฟางซินที่เกิดในตระกูลใหญ่ ทั้งยังมีเงินทองให้ใช้จ่ายไม่มีวันหมด ครานี้เมื่อมีโอกาสได้ใช้ชีวิตสุขสบายไม่ต่างจากนางในเมื่อก่อน ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะกดขี่เพื่อตอกย้ำว่าผู้ใดกันแน่ที่อยู่เหนือกว่า
“แม่นางเสิ่น มาซื้ออะไรหรือ”
“ข้ามาเลือกซื้อผ้าเพื่อนำไปตัดชุด เตรียมใส่ไปงานเลี้ยงจวนอ๋อง”
“งั้นหรือ” แม่นางจ้าวเอ่ยขึ้น ขณะที่สายตามองสตรีตรงหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น นางรู้สึกสมเพชทั้งยังรู้สึกอับอายแทนสตรีผู้นี้ด้วยซ้ำ งานเลี้ยงจวนอ๋องงั้นหรือ ช่างน่าขันนัก
“แล้วแม่นางจ้าวเล่า เจ้ามาซื้ออะไรงั้นหรือ”
“ข้าก็เหมือนกับเจ้า เพียงแต่ต่างกันตรงที่จวนซู่อ๋องส่งเทียบเชิญมาให้ท่านพ่อของข้าด้วยตัวเอง แม้ไม่อยากไปก็จำต้องไป” นางเกทับด้วยความสะใจ
“เช่นนั้นหรือ” อวี้โหรวเพียงส่งยิ้มเจื่อน เมื่อได้ยินคำกล่าวเมื่อครู่
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงของคุณหนูสูงศักดิ์จากตระกูลอื่น ๆ ได้เอ่ยเรียกจ้าวอี้หมิ่นเข้าเสียก่อน
“แม่นางจ้าว เชิญทางนี้”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” หญิงสาวไม่ได้รอให้ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยตอบอันใดสักนิด นางได้เดินตัวปลิวไปเสียแล้ว ก่อนที่เสียงซุบซิบนินทาจะดังตามหลังมาเพื่อให้นางได้ยิน
“น่าขันนัก นางคิดว่านางเป็นใครกันถึงได้คิดว่าตระกูลเสิ่นเทียบเท่ากับพวกเรา พ่อของนางไม่ได้เป็นขุนนางเสียด้วยซ้ำ”
“จวนที่นางอาศัยอยู่ในตอนนี้เคยเป็นจวนของตระกูลฟู่ไม่ใช่หรือ เห็นทีคงแย่งชิงจวนผู้อื่นมาเป็นของตนล่ะสิไม่ว่า”
“พวกเจ้าอย่าได้เข้าไปสนทนากับนางเชียว ไม่เช่นนั้นอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเดียวกับนางก็เป็นได้” คำพูดทุกประโยคของพวกนางดังเข้าหูเสิ่นอวี้โหรวชัดเจน จนหญิงสาวเกิดอาการควบคุมอารมณ์กรุ่นโกรธของตัวเองไว้ไม่อยู่พลั้งเผลอผลักฟางซินล้มลงไปกับพื้นทำให้ข้าวของที่นางถืออยู่ร่วงหล่นลงตามไปด้วย
