คนที่นางชน
แม้จะรู้สึกเจ็บตัวอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกสะใจนั้นมีมากกว่า เสิ่นอวี้โหรวควรรู้เสียบ้างว่าตัวเองไม่อาจเทียบชั้นได้กับบุตรสาวของขุนนางอื่น ถึงแม้ว่าจะมีทรัพย์สินมากมายก็ตามที นางจะคอยเฝ้าดูว่าคนแซ่เสิ่นทั้งสามนี้จะมีจุดจบเช่นไร ซึ่งแน่นอนว่าตัวนางเองจะไม่ยอมอยู่เฉยเช่นกัน กรรมใดที่คนพวกนี้เป็นคนก่อ นางจะเป็นคนตามสนองเอง ความสูญเสียและความเจ็บปวดแสนสาหัสในอดีตที่เคยได้รับ นางจะให้คนทั้งสามได้รับรู้รสชาติอย่างสาสมทีเดียว
ครั้นกลับถึงเรือนนางเดินตรงไปยังมุมห้องที่มีเชิงเทียนตั้งอยู่ ฟางซินยกเชิงเทียนออกจากนั้นล้มตัวลงนั่งกับพื้นพร้อมกับเลื่อนแผ่นไม้ขึ้น เผยให้เห็นถุงหอมเปื้อนฝุ่นจนแทบจะกลายเป็นสีดำสนิท
“โชคดีที่ยังอยู่” นางเอ่ยขึ้น หลังเห็นตราประจำตระกูลที่แอบสับเปลี่ยนไว้เมื่อสามปีก่อน
กระทั่งกลางดึกคืนหนึ่งนางได้แอบเขียนจดหมายร้องเรียนเตรียมส่งให้ท่านรองเจ้ากรมยุติธรรม เนื่องจากวันรุ่งขึ้นถึงคราวสบโอกาสที่ต้องไปรับผ้าจากช่างตัดเย็บนอกจวน จึงคิดใช้โอกาสครั้งนี้ให้เกิดประโยชน์ แม้ใต้เท้าเซี่ยจะมีอำนาจมากในราชสำนัก แต่กรมยุติธรรมนั้นยังมีตำแหน่งรองเจ้ากรมที่ไม่ใช่คนของตระกูลเซี่ย นางยังมีโอกาสอยู่ถึงแม้จะน้อยมากก็ตามที
พอดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าได้หนึ่งชั่วยาม หญิงสาวมุ่งหน้าไปที่กรมยุติธรรมอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม ทว่าเป็นเพราะสภาพซอมซ่อดูสกปรกประหนึ่งขอทานทำให้ทหารยามที่ยืนเฝ้าประตูไม่ยอมให้นางได้เฉียดเข้าไปด้านใน แม้ว่านางจะขอร้องอ้อนวอนเพียงใดก็ตาม ในขณะที่ฟางซินกำลังจะยอมแพ้ นางกลับชนเข้ากับแผงอกของบุรุษผู้หนึ่งเข้าเสียก่อน
“นี่เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังชนผู้ใดอยู่!” เสียงบุรุษที่เดินตามหลังมาพูดด้วยน้ำไม่พอใจ จนกระทั่งชายหนุ่มตรงหน้ายกมือห้ามปรามไว้
“ยังไม่รีบขอโทษอีก” เขาพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมข้าต้องขอโทษด้วย ทั้งที่ข้าไม่ได้เป็นคนชนคุณชายท่านนี้” ตอบพลางจ้องหน้าบุรุษตัวสูงใหญ่ด้วยท่าที่ไม่ได้เกรงกลัวสักนิด
“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่าข้าเดินมาชนเจ้างั้นหรือ” เขายกยิ้มมุมปาก ขณะมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสนอกสนใจทีเดียว เพราะไม่มีสตรีใดที่กล้าจ้องหน้า
“หรือท่านจะบอกว่าไม่จริงล่ะเจ้าคะ” ฟางซินถามกลับอย่างไม่ลดละ เพราะตนไม่ได้เป็นคนชน แต่เป็นเขาต่างหาก
“ข้าผิดเอง ขอแม่นางโปรดให้อภัยข้าสักครั้ง” ครั้นได้ยินคำเอ่ยเมื่อครู่ของผู้เป็นเจ้านาย ลูกน้องทั้งสองได้แต่เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ แต่ไหนแต่ไรนายท่านของพวกเขาเคยพูดเช่นนี้ที่ไหนกัน
“ในเมื่อท่านขอโทษข้าแล้ว ข้าไม่ได้ติดใจเอาความอันใด ตอนนี้ข้ากำลังรีบ” ว่าพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปอีกทางทำให้จดหมายที่ซ่อนไว้ตรงชายเสื้อหล่นลงพื้นโดยที่นางไม่รู้ตัว
“เทียนหมิง เจ้าเก็บขึ้นมาที” เขาหันไปสั่งบ่าวรับใช้ทันที
“ก็แค่กระดาษมิใช่หรือขอรับ ข้าว่านายท่านอย่าใส่ใจเลย” นอกจากเขาจะไม่ยอมทำตามคำสั่งแล้ว ยังทำทีหันหน้าไปอีกทางราวกับว่ารังเกียจที่จะจับกระดาษแผ่นนี้ จนหันมาสบตากับผู้เป็นเจ้านายอีกทีถึงได้จำใจก้มลงเก็บของสิ่งนั้นขึ้นมาส่งให้
“นี่ขอรับ”
เฉินเฟยหลงคลี่จดหมายออก แม้จดหมายนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองก็ตามที ทว่าด้วยความอยากรู้ว่าสตรีคนเมื่อครู่มาที่นี่ด้วยเหตุใดถึงได้ถือวิสาสะเปิดอ่าน
“ตราประทับของตระกูลฟู่ไม่ใช่หรือ” เขาพูดขึ้น หลังอ่านจดหมายจบ
“นายท่าน ดูผิดหรือเปล่าขอรับ ตอนนี้มีตระกูลฟู่ที่ไหนกัน นับตั้งแต่ใต้เท้าฟู่กับฮูหยินประสบอุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อน จวนสกุลฟู่ได้เปลี่ยนป้ายชื่อไปเป็นสกุลเสิ่นแทนแล้วไม่ใช่หรือ” เทียนหมิงแย้ง
“หากเจ้าบอกว่าข้าดูผิด เจ้าก็เอาไปดูเองเถิด” ว่าพลางส่งจดหมายในมือไปให้
“นะ...นี่มัน เป็นไปได้อย่างไร”
