บทที่8 กระบี่ไท่อี
กว่าที่ซางเหยียนจะกลับเข้าเมือง แสงแรกของรุ่งอรุณก็มาเยือน หมอกสีม่วงที่เคยปกคลุมอำเภอเหอ บัดนี้ได้จางหายไปแล้ว ร่างสูงก้าวเดินอย่างเชื่องบนถนนอันร้างผู้คน จนกระทั่งมาหยุดที่หน้าเรือนหลังใหญ่
ทันทีที่ประตูเปิดออก ผู้คนที่กำลังยืนถกเถียงอยู่ที่ลานเรือนก็พลันหยุดชะงักลง และหันมองไปยังทิศประตูใหญ่ เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร คนที่ตรงดิ่งเข้ามาพวกเขาก่อนผู้ใดคือเยว่เหยา หญิงงามแห่งสำนักกระบี่จิงเทียน
"ซางเหยียน!"
ผู้เป็นเจ้าของชื่อส่งยิ้มบางให้แก่หญิงงาม พลางกวาดสายตาสำรวจร่างงามตรงนี้หน้า ทันทีที่เห็นว่าบาดแผลบนกายนางได้รับการฟื้นฟูแล้วก็พลันโล่งใจ แต่พอก้มมองร่างของผู้เป็นศิษย์น้องก็ได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วจึงเอ่ยว่า "รบกวนเจ้าด้วย"
เยว่เหยามองร่างบางที่อยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่มแล้วพยักหน้า ก่อนจะเดินนำไปในห้องที่เมิ่งหลานเคยพัก หลังจากที่จัดการผลัดเปลี่ยนชุดให้นาง ซางเหยียนก็เข้ามาตรวจจับชีพจรของหญิงสาว
"นางเป็นอย่างไรบ้าง"
"ก็แค่ใช้พลังมากเกินไป ให้นางพักอีกหน่อยก็พอแล้ว"
เยว่เหยาเหลือบมองร่างของนอนหลับบนเตียงนุ่ม ก่อนจะเดินเข้าหาชายคนรัก "เจ้าเองก็ควรพักควรเหมือนกัน"
นางรู้ว่าซางเหยียนทะนุถนอมศิษย์น้องผู้นี้ของเขาเพียงใด ที่เมิ่งหลานต้องมาอยู่ในสภาพนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของนาง
หากวันนั้นนางไม่ใจร้อนเข้ามาในอำเภอเหอคนเดียว ก็ไม่ต้องไปติดกับดักของปีศาจร้ายตนนั้น ซางเหยียนก็ไม่ต้องมาเสี่ยงอันตรายจนพานให้ถูกจับตัวไปด้วยอีกคน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ล้วนแต่เป็นเพราะไม่รอบคอบของนาง พวกเขาทั้งสองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
"อาเหยา เรื่องข้าไม่โทษเจ้า เสี่ยวหลานเองก็เช่นเดียวกัน เจ้าไม่คิดมาก ช้าเร็วปีศาจร้ายตนนั้นก็จะถูกกำจัดอยู่ดี เพียงพวกเราแค่ทำให้มันเร็วขึ้นก็เท่านั้น" ซางเหยียนกุมมือของหญิงงามไว้แน่น เพราะรู้ดีว่าคนรักของตนรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงใด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นต่อ "ตัวเจ้าก็เสียพลังวิญญาณไปไม่น้อย รีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่ดูเสี่ยวหลานอีกหน่อย"
แม้ว่าจะในของนางไม่อยากจากไป แต่ด้วยท่าทีที่เคร่งเครียดของซางเหยียนในตอนนี้ คาดว่าพวกเขาสองศิษย์พี่น้องจะต้องมีเรื่องสำคัญพูดคุยกันเป็นแน่ นางจึงตัดสินใจหันหลังจากไป ปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
"สนุกหรือไม่ ที่ได้แอบฟันคนอื่น" ซางเหยียนหันกลับมามองร่างที่นอนอยู่บนเตียงนุ่ม
ร่างบางหรี่ตามองก่อนจะยันกายลุกขึ้น ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้แก่ผู้เป็นศิษย์พี่ของตน "ท่านรู้ด้วยหรือ ว่าข้าแสร้งหลับ"
เดิมทีนางฟื้นคืนสติตั้งแต่ที่สตรีในดวงใจของซางเหยียนช่วยปลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้แล้ว ทว่าความรู้สึกที่มีคนคอยดูแลมันก็ไม่เลวเหมือนกัน จึงแกล้งหลับต่อไป แต่เพราะความคิดพิเรนทร์ของนาง เลยทำได้ให้เห็นว่าแม่นางเยว่เหยาผู้ที่หยิ่งทะนงในยามที่อยู่ด้วยกันกับเขาจะกลายเป็นสตรีที่อ่อนโยนผู้หนึ่ง ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก นางจึงอยากดูให้นานหน่อยก็เท่านั้น
"เจ้าอย่าลืมว่าข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า แม้จะหลอมยาสู้เจ้ามิได้ ทว่าวิชาแพทย์ข้าก็ไม่ด้อยว่าผู้ใด" ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างหน่ายใจให้กับความคิดพิเรนทร์ของหญิงสาว บางครั้งศิษย์น้องผู้นี้ของเขาก็ชกซนราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง เพราะด้วยเหตุนี้เขาถึงอยากจะปกป้องนางให้พ้นจากกิเลสในโลกมนุษย์ แต่พอคิดถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นหมาด ๆ สีหน้าของเข้าก็มืดครึ้มในบัดดล ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม "เจ้าจำเหตุการณ์ที่ชายป่าทิศเหนือได้หรือไม่"
ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น ร่างบางพลันสั่นสะท้านขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เมื่อคืนนี้นางพึ่งจะสังหารคน ถึงแม้คนผู้นั้นจะเป็นปีศาจร้ายก็ตาม...
"จำได้" เมิ่งหลานตอบกลับด้วยเสียงแผ่ว
นางกลัว กลัวว่าเขาจะตาย จึงได้ขาดสติ บางทีด้วยอารมณ์ในขณะนั้นของนางอาจจะปลุกความดำมืดที่อยู่ในใจเจ้าของร่างเดิมขึ้นมาก็เป็นได้
ร่างบางพลันเหลือบมองหยกพกที่ห้อยอยู่ข้างเอว
"เรื่องนี้หากมีคนมาถาม ก็ให้บอกไปว่าเจ้าจำอะไรไม่ได้ ที่เหลือข้าจะออกหน้ารับให้เจ้าเอง"
"ถ้าเช่นนั้น ก็รบกวนท่านแล้ว" หญิงสาวยิ้มบาง
"เจ้าก็พักผ่อนเถอะ รอให้ข้าจัดการธุระเสร็จแล้วพวกเราค่อยกลับหุบเขาไฉซางพร้อมกัน ดีหรือไม่"
"อืม"
เมื่อเห็นว่านางพยักหน้าหงึกหงักราวกับเด็กน้อย ซางเหยียนก็พลันนึกเอ็นดูขึ้นมา ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน
"ระหว่างนี้เจ้าก็ดูแลตัวเองให้ดี มิต้องคิดมาก ข้าไปก่อน" เขารู้สึกว่าตั้งแต่ที่กลับมาจากชายป่าทิศตะวันตกเมิ่งหลานดูแปลกไปไม่น้อย ราวกับมีเรื่องในใจที่คิดไม่ตก ก่อนที่เขาจะไปจึงอดที่จะกำชับอีกสักประโยคเสียไม่ได้
เมิ่งหลานมองแผ่นหลังของเขาจนหายลับตาลง เมื่อภายในห้องเหลือแค่นางคนเดียว จึงอยากจะทดสอบในสิ่งที่ตนกำลังสงสัย นางติดยันต์อาคมสกัดกั้นไว้ทั่วห้อง เพื่อไม่ให้สิ่งที่ตนจะทำต่อไปนี้เล็ดลอดออกไปข้างนอกได้
ร่างบางปลดหยกพกออกจากเอวแล้วกำไว้ในมือ ก่อนจะปล่อยพลังวิญญาณเข้าสู่หยกงาม วิธีนี้นางลอบจดจำวิธีมาจากซางเหยียนในยามที่เขาฝึกกระบี่
ทันทีที่หยกงามได้รับพลังวิญญาณ ก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่สีนิลกาฬอีกครั้ง เมิ่งหลานสัมผัสได้ถึงความกระหายเลือดที่แผ่ออกมาจากมันได้อย่างชัดเจน คาดว่าที่นางคลุ้งคลั่งจนขาดสติ คงเป็นเพราะกระบี่เล่มนี้เป็นแน่
ว่ากันว่าอาวุธวิเศษแต่ละชิ้น ล้วนแต่จิตวิญญาณเป็นของมันเอง เกรงว่ากระบี่ในมือนางก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน แต่จะปรากฏเป็นรูปลักษณ์ของจิตกระบี่หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่ที่ว่าผู้เป็นเจ้าของจะมีพลังแกร่งกล้าสักเพียงไหน
เมื่อมือเรียวลูบไล้ไปที่ตัวกระบี่ ทันใดนั้นก็มีชื่อหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในหัวของนาง 'ไท่อี'
นี่คงมิใช่ชื่อกระบี่กระมัง
แต่ด้วยกลิ่นอายกระหายเลือดที่กระบี่เล่มงามแผ่ออกมา นางหมายมั่นไว้ในใจ ว่าหากไม่ตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิต ก็จะไม่หยิบออกมาใช้เป็นอันขาด
อาวุธวิเศษที่สามารถควบคุมจิตของผู้เป็นนายได้ ย่อมเป็นศาสตราวุธที่มีอานุภาพแรงกล้า ตัวนางยังอ่อนด้วยและถือว่ายังใหม่ในโลกใบนี้นัก ถ้าหากผู้มีความโลภรู้ว่านางได้ครองอาวุธที่ทรงพลัง คนพวกนั้นย่อมต้องอยากที่จะช่วงชิงมันแน่ ทางที่ดีควรลืมการมีอยู่ของมันไปซะ ทำราวกับว่ามิเคยมีมันอยู่บนโลกไปเลยยิ่งดี
ดั่งวลีที่ว่า คนไม่ผิด แต่ผิดที่ครอบครองหยก
เมิ่งหลานพยักหน้าให้กับความคิดของตนเอง จากนั้นจึงเก็บพลังวิญญาณกลับคืนเข้าร่าง กระบี่สีนิลกาฬก็กลายเป็นหยกสีขาวนวลดังเดิม ก่อนที่มันจะลอยกลับเข้าสู่เอวบางเฉกเช่นเดียวกับที่มันคอยอยู่...
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ซางเหยียนออกจากห้องพักของเมิ่งหลาน ก็พบกับไป๋อีศิษย์เอกของสำนักกระบี่จิงเทียนที่ดักรอเขาอยู่
"ท่านหมอซาง ช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับพวกท่านกันแน่"
"เชิญคุณชายไป๋ตามข้ามาทางนี่เถอะ" ซางเหยียนเอ่ยขึ้น พร้อมกับเดินนำชายหนุ่มไปที่ศาลากลางน้ำ
เดิมทีเขาก็เตรียมใจไว้แล้วว่าอย่างไรก็ต้องถูกไป๋อีซักไซ้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน รวมถึงหมอกสีม่วงที่หายไปในตอนเช้าตรู่ของวันนี้ เพราะเหตุนี้จึงได้เชิญเขาไปสนทนาด้วยลำพังเพียงสองคน
ทันทีที่พวกเขามาถึงไป๋อีก็ถามขึ้นอีกครา "เรื่องที่ท่านหมอซางประสบมาเมื่อคืนกับหมอกสีม่วงที่แผ่กระจายเป็นบริเวณกว้างในอำเภอเหอ มันเกี่ยวข้องกันหรือไม่"
"ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกันแน่นอน" ซางเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นและเริ่มเล่าตั้งแต่ที่ตนออกไปตามหาเยว่เหยาที่ถูกจับไป "ข้าตามรอยอาเหยาจนไปถึงชายป่าทางทิศตะวันตกของเมือง ก็พบว่านางถูกปีศาจแมงมุมล่อล่วงไปที่นั่น จึงช่วยนางออกมา แต่ข้ากลับโดนกับดักของมันเข้า ต่อมาก็ค้นพบว่าหมอกพิษที่แผ่กระจายอยู่ทั่วเมืองก็เป็นฝีมือของปีศาจตนนั้น ดีที่เสี่ยวหลานมาช่วยข้าออกจากกับดักใยแมงมุม ตอนนี้ปีศาจร้ายตนนั้นก็ถูกสังหารแล้ว"
"นางเป็นคนสังหารหรือ..." ไป๋อีเลิกคิ้วถาม
ซางเหยียนถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า "พลังวิญญาณของเสี่ยวหลานต่ำถึงเพียงนั้นจะสังหารปีศาจที่มีตบะหลายร้อยปีได้อย่างไร"
"เช่นนั้นก็เป็นท่านที่สังหาร" ไป๋อีหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างจับผิด เขาไม่อยากจะปักใจเชื่อนักว่าจะเป็นฝีมือของคนตรงนี้ เพราะจากสภาพของทั้งสองเมื่อเช้า ซางเหยียนเหมือนจะถูกสูบตบะจนแทบไม่เหลือ อีกทั้งบนกายปีศาจสาวตนนั้นก็เต็มไปด้วยคราบเลือดของปีศาจแมงมุม มิว่าจะมองเยี่ยงไร นางต้องผู้ลงมืออย่างแน่นอน
ซางเหยียนเพียงยิ้มบาง เพราะในใจรู้ดีว่าเขาต้องไม่เชื่อตนเป็นแน่
"หากคุณชายไป๋มิเชื่อ ก็ส่งตนไปตรวจสอบได้" เขาเหลือบไปยังร่างของเหลียงซ่งที่เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสระน้ำจึงเอ่ยว่า "ข้ายังมีธุระที่ท่านอาจารย์ฝากฝังยังไม่เสร็จ ไม่ดื่มชาเป็นเพื่อนคุณชายแล้ว"
"รบกวนเวลาของท่านหมอซางแล้ว"
ไป๋อีพยักหน้าเล็กหน้า ซางเหยียนจึงลุกขึ้นค้อมกายให้ชายหนุ่มแล้วเดินออกไปจากศาลกลางน้ำ...
