บทที่7 ช่วยเหลือ
"พวกเจ้าถอยออกไปให้หมด ข้าจะรักษาเอง!"
ร่างบางเดิมแทรกคนเข้าไป แล้วลวงเอาเข็มทองออกมาจากถุงเฉียงคุณวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะใช้ปราณพลังควบคุมเข็มทองทั้งเก้าพุ่งเข้าหาร่างของหญิงงามที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่บนเตียงนุ่ม
เข็มทองของเมิ่งหลานตรงเข้าไปยังจุดชีพพรสำคัญทั้งเก้าอย่างแม่นยำ และด้วยการสอนอันเข้มงวดของจ้าวเต๋อ ทำให้นางสำเร็จวิชาฝังเข็มด้วยเวลาเพียงไม่กี่เดือน
เฮือก!
ทันใดนั้นร่างงามสะดุ้งตื่น พลันมั่งคงขึ้น เมิ่งหลานจึงเก็บเข็มทองกลับมาและตรงดิ่งเข้าไปตรวจชีพจร คิ้วเรียวพลันขมวดแน่ ก่อนจะนำโอสถคืนวิญญาณยัดใส่ปากหญิงงาม
เมื่อกลิ่นหอมของสมุนไพรอบอวลอยู่ในปาก เยว่เหยาจากที่ยังงัวเงียได้สติไม่เต็มที่นัก ก็พลันลืมตาตื่นเต็มตา นางรับคว้าจับมือเมิ่งหลานแน่ "ต้องรีบไปช่วย...ช่วยซางเหยียน"
"ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน พวกท่านไปเจอกับอะไรมากันแน่"
"ทางตะวันตก..."
"ศิษย์น้องเจ้ายังบาดเจ็บอยู่ เรื่องของซางเหยียน พวกเราต้องไปช่วยเขาแน่ เจ้าอยู่ที่นี่ พักผ่อนรักษาตัวให้ดี"
ยังไม่ทันที่เยว่เหยาได้เอ่ยจบสุ้มเสียงอันเรียบนิ่งของศิษย์เอกแห่งสำนักกระบี่จิงเทียนดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ทำให้เมิ่งหลานไม่อาจถามรายละเอียดที่เหลือได้ นางจึงตวัดสายตามองเขาอย่างขุ่นเคือง พลางจดชื่อของคนผู้นั้นไว้ให้บัญชีแค้น
หากซางเหยียนเป็นอะไรไป นางจะมาคิดบัญชีกับเขาเป็นคนแรก!
ร่างบางหมายมั่นไว้ในใจ ก่อนจะหมุนตัวออกไป แม้จะรู้รายละเอียดไม่มาก แต่ก็พอได้รู้ว่าที่อยู่คร่าว ๆ ของซางเหยียนแล้ว เมิ่งหลานไม่รอช้ารีบพุงทะยานไปทางทิศวันตกของเมืองทันที
ภายใต้รัตติกาลอันมืดมิด พอมีหมอกสีม่วงเข้าปกคลุม ทุกอย่างก็ราวกับตกอยู่ในห้วงอันธการไร้ที่สิ้นสุด ทันใดนั้นพลันมีเงาดำร่างหนึ่งที่เคลื่อนตัวฝ่าความมืดไปด้วยความรวดเร็ว และเงาดำว่านั้นก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็นเมิ่งหลานที่เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นกลุ่มควันนั้นเอง
เมื่อเท้าของนางเหยียบลงพื้นก็พลันดังก้องไปทั่วบริเวณ ร่างบางเดิมตามร่องรอยของพลังวิญญาณที่ซางเหยียนเหลือเอาทิ้งไว้ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ชายป่านอกเมืองทางตะวันตก ซึ่งห่างจากตัวเมืองไปราว ๆ ห้าลี้
ทันใดนั้นเองกลิ่นเหม็นคลุ้งลอยมาปะทะจมูก คิ้วเรียวพลันขมวดแน่ และเมื่อนางสาวเท้าเดินเข้าไปก็พลันเห็นกับดักใยแมงมุมอยู่เต็มไปหมด ทั้งยังมีร่างเยื่อที่ถูกห่อหุ้มด้วยใยหนา
และเยื่อที่ว่านั้นก็คือเศษซากของโครงกระดูกมนุษย์!
เมิ่งหลานเห็นแล้วนึกขยาด ขนกายพลันลุกชันขึ้นมาทันใด คาดว่าต้นของหมอกพิษก็น่าจะมาเป็นสถานที่แห่งนี้เป็นแน่ นางจึงไม่รอช้า เร่งฝีเท้ารีบตามหาผู้เป็นศิษย์พี่ของตนให้พบ แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไป ก็ยิ่งเจอเยื่อที่เป็นมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจ ในใจก็พลันเต้นระรัว กลัวว่าในกลุ่มคนเหล่านั้นจะมีคนคุ้นเคยของตน
"ซางเหยียน..."
และแล้วสิ่งที่หญิงสาวหวาดกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น เมื่อนัยน์ตาหงส์ไปสะดุดกับร่างของชายหนุ่มที่ถูกห่อหุ้มด้วยใยหนา
"ซางเหยียน!" ร่างบางรีบวิ่งเข้าไปกระชากดึงใยหนาที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาออก แต่เมื่อนางได้สัมผัสเข้ากับใยแมงมุม ตบะของนางก็ถูกดูดกลืนเข้าไป
ทางด้านซางเหยียนที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคย ก็พลันลืมตาขึ้น ปรากฏว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเมิ่งหลาน เขาจึงเอ่ยความด้วยน้ำเสียงกันอ่อนแรงว่า "เสี่ยวหลานรีบหนีไป..."
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ไอเย็นยะเยือกก็พลันคืบคลานมาตากทางด้านหลังของนาง ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงอันน่าขนลุกดังลอดออกมา
"ปีศาจน้อย เจ้าคิดจะปล้นชิงเหยื่อชั้นเลิศของข้าหรือ"
เมื่อเมิ่งหลานหันหลังไป ก็พบกับร่างของอสุรกาย ที่มีครึ่งบนเป็นมนุษย์ ครึ่งล่างเป็นปีศาจแมงมุม
"หมอกสีม่วงที่แผ่กระจายอยู่ทั้งอำเภอเหอ เป็นมือเจ้าสินะ" นางพยายามทำใจดีสู้เสือ จับจ้องมองไปยังปีศาจแมงมุมด้วยความหวาดระแวง มือของหนึ่งก็ล้วงหยิบยันต์วิญญาณในถุงเฉียงคุน
"เป็นฝีมือข้าแล้วอย่างไร มนุษย์โลภมาก กิเลนหนา สมควรแล้วที่จะมากเป็นของบำรุงชั้นยอดให้แก่ข้า แต่ดูเจ้านี่สิ เป็นปีศาจแท้ ๆ กลับไปเข้าข้างพวกมนุษย์เสียนี่ ช่างเสียชาติเกิดยิ่งนัก!" ปีศาจร้ายจับจ้องกำไลที่ข้อมือของหญิงสาวด้วยความวาวโรจน์ สิ่งของที่อยู่ในมือของปีศาจน้อยล้วนแต่เป็นอาวุธวิเศษที่พวกสำนักเซียนชอบใช้กัน ความโกรธของมันพวยพุ่งขึ้นในอก "ดียิ่ง! ในมีเจ้าเลือกที่จะอยู่ข้างเดียวกับพวกมัน เช่นนั้นข้าจะเอามุกวิญญาณของเจ้ามาเพิ่มพูนตบะด้วยเสียเลย"
เดิมทีเซียนและปีศาจไม่อาจเดิมร่วมทางกันได้! ทว่าปีศาจน้อยตนกลับคิดทรยศเผ่าพันธุ์ของตนเอง ไปเข้าร่วมกับสำนักเซียน มันจึงรู้สึกราวกับว่าถูกพวกเดียวกันทรยศหัก เจ้าปีศาจร้ายไม่จะรอช้า เคลื่อนย้ายร่างอันใหญ่โตพุ่งเข้าหาร่างบาง
เมิ่งหลานหยิบยันต์สายฟ้ามาได้ ก็คว้างออกไปใส่ร่างของปีศาจแมงมุมทันที
สายฟ้าเส้นเล็กพุ่งเข้าโจมตี ปีศาจแมงมุมยักษ์พลันเคลื่อนตัวหลบหลีกได้อย่างว่องไว ซึ่งขัดกับร่างอันใหญ่โตของมันยิ่งนัก เพียงไม่นานก็ฝ่าปราการสายฟ้ามาหยุดตรงหน้าของเมิ่งหลาน
"เสี่ยวหลานหลบเร็วเข้า!"
ซางเหยียนร้องเตือนผู้เป็นศิษย์น้อง แต่ก็ช้าเกินไปอยู่ดี ปีศาจแมงมุมได้พ่นไอพิษของมันใส่เมิ่งหลาน จึงทำให้นางหมดสติไปในที่สุด
"เสี่ยวหลาน...เสี่ยวหลาน!"
ชายหนุ่มร้องตะโกน พยายามดิ้นรนฉีกกระชากใยที่ห่อหุ้มให้ออกจากตัว ทว่าใยมันเหนียวเกินไป ทำอย่างไรก็ไม่ขาดเสียที จนกระทั่งร่างของนางถูกหุ้มด้วยใยหนาเช่นเดียวกับตน
"หนุ่มน้อย เจ้าไม่ต้องกลัว เมื่อข้าสูดเอาวิญญาณหมดเจ้าแล้ว ข้าจะให้นางตามไปในไม่ช้า"
ร่างปีศาจร้ายเคลื่อนกายเข้าหาชายหนุ่มและโน้มหน้าได้ไปหาเขา ก่อนจะสูดเอาวิญญาณของเขาอย่างช้า ๆ มันไม่อยากให้คนตรงหน้านี้ตายเร็วนัก เพราะต้องการให้ปีศาจน้อยตนนั้นได้เห็นที่บุรุษอยากช่วยสิ้นชีพไปกับตาตนเอง...
ด้วยที่เมิ่งหลานเดิมทีก็เป็นปีศาจ พิษปีศาจเหล่านั้นทำอันตรายนางไม่ได้มากนัก มากที่สุดก็ทำให้หมดสติไปแค่ชั่วจิบชาเพียงเท่านั้น เมื่อนางตื่นขึ้น ก็พลันพบว่าซางเหยียนกำลังถูกปีศาจร้ายดูดกลืนวิญญาณ ใบหน้างามก็พลันมืดครึ้มขึ้นมาทันใด
นับแต่ที่นางเข้ามาอยู่ในร่างนี้ นอกนักพรตจ้าวเต๋อที่เก็บนางมาจากริมลำธาร ก็มีซางเหยียนที่ดีกับนาง พวกเขาเปรียบเสมือนเพื่อน ที่พึ่งพิงและครอบครัว นางจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาพรากพวกเขาไปจากนางเด็ดขาด แม้แต่สวรรค์นางก็ไม่ยินยอม!
นัยน์ตาหงส์พลันดำมืด ในใจพลันคลุ้งโกรธ ไอปีศาจพวยพุ่งออกจากร่างบาง หลอมละลายใยเหนียวของปีศาจแมงมุม ทันใดนั้นจี้หยกที่ห้อยเอวก็เปล่งแสง ก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นกระบี่สีนิลกาฬลอยเด่นอยู่ตรงหน้าของเมิ่งหลาน
เมื่อโทสะเข้าครอบงำจนขาดสติ ร่างบางคว้าจับกระบี่ตรงหน้าแล้วพุ่งโจมตีร่างของปีศาจร้าย
ปีศาจแมงมุมมันสัมผัสถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวได้จากทางด้านหลังของตน จึงยุติการดูดซับวิญญาณครึ่งเซียนตรงหน้า ทันทีที่มันหันหลังกลับไปพบ ก็ว่าเป็นปีศาจน้อยที่พุ่งมาใส่ตน มันเห็นเช่นนั้นจึงคิดจะเบี่ยงกายหลบ ทว่าตัวแรงกดมหาศาลที่แผ่ออกจากร่างบาง ทำให้มันไม่อาจขยับตัวไปไหนได้ ได้แต่ยืนนิ่งให้กระบี่เล่มงามแทงทะลุร่าง...
แต่เหมือนว่าเมิ่งหลานจะยังไม่พอใจ นางยกกระบี่ทิ่มแทงครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างบ้าคลั่งราวกับคนขาดสติ เลือดสีเขียวสดของปีศาจแมงมุมสาดกระเซ็นเปื้อนชุดงาม
เมื่อปีศาจร้ายถูกสังหารใยหนาที่พันธนาการร่างของซางเหยียนก็พลันคลายออก แม้เขาจะอ่อนล้าไปบ้าง ทว่าก็ยังลากสังขารมาหยุดตรงหน้าของผู้เป็นศิษย์น้อง
"เสี่ยวหลานพอเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว" เขาคว้าจับมือของเมิ่งหลานพลางส่งยิ้มให้นาง
"ซางเหยียน" นางหันกลับไปมองชายหนุ่มตรงหน้า หยาดน้ำตาพลันไหลรินอาบแก้มนวล กระบี่ในมือพลันร่วงลงสู่พื้น นางกลัวเหลือเกินว่าเขาจะตาย...
ซางเหยียนเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกจากแก้มนาง พลางสวมกอดร่างบาง ลูบหลังปลอบโยน ก่อนจะกระซิบอย่างแผ่วเบา "ข้าไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไม่ต้องร้อง"
ทันทีที่เมิ่งหลานรู้ว่าเขาปลอดภัย ความรู้สึกหนักอึ้งในใจก็คลี่คลาย จากนั้นจึงหลับใหลลงสู่อ้อมกอดของชายหนุ่ม
เมื่อเห็นว่าศิษย์น้องของตนหลับไปแล้ว ซางเหยียนอุ้มนางสู่อ้อมอก พร้อมทั้งสาวเท้าเดินออกจากชายป่าแห่งนี้มุ่งตรงไปยังเรือนพักที่อยู่ในตัวอำเภอเหอ โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากระบี่สีนิลแปลเปลี่ยนเป็นหยกพกสีขาวนวลลอยเข้าไปในอุ้มมืองาม...
