บทที่9 เสี่ยงโชค
ซางเหยียนใช้เวลาจัดการธุระอยู่ที่อำเภอเหอเกือบหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ เมิ่งหลานนอนอยู่บนเตียงได้เพียงวันเดียวก็เบื่อแล้ว จึงออกไปช่วยเขาและสำนักกงซินตรวจรักษาชาวเมืองที่ได้รับพิษจากหมอกสีม่วง และด้วยความที่นางมีรูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์และวิชาแพทย์ที่มิได้ด้อยไปกว่าศิษย์ผู้พี่ ชาวบ้านที่ถูกนางรักษาจนหายดี จึงเรียกขานเมิ่งหลานว่าท่านหมอน้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้ซางเหยียนผู้เป็นศิษย์พี่ยิ้มหน้าบานไปหลายวันทีเดียว
ส่วนทางด้านของสำนักกระบี่จิงเทียนที่เข้าไปตรวจดูสถานที่เกิดเหตุ หลังจากตรวจสอบอยู่นานสามวัน พวกเขาก็มิได้พบร่องรอยอื่นใดนอกเหนือจากที่ซางเหยียนบอกเล่าเลยแม้แต่น้อย จึงเดินทางกลับสำนักของพวกเขาไป
อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวของพวกไป๋อี เมิ่งหลานก็มิได้ใส่ใจกับมันมากนัก ออกจากดีใจด้วยซ้ำที่เขากลับไปสักที เพราะช่วงหลายวันมานี้คนผู้นั้นทำให้นางระแวงแทบตาย กลัวว่าวันไหนเขานึกอยากขจัดมารปราบปีศาจขึ้นมา จะเอากระบี่มาจ่อคอตนอีก ในเมื่อเขาจากไปแล้ว ปีศาจน้อยที่มีพลังตบะต่ำต้อยเช่นนาง ถึงได้หายใจหายคอได้สะดวก ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไป
ช่วงสายของวันที่เจ็ด ซางเหยียนพานางขี่กระบี่บินกลับไปยังหุบเขาไฉซาง ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม[1]ก็ถึง
"เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะเข้าไปรายงานท่านอาจารย์ก่อน" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขาเหยียบลงพื้นดินแล้ว
"อืม" เมิ่งหลานพยักหน้าก่อนจะตรงไปยังห้องพักของตน นางไม่อยู่หลายวัน ข้างของเครื่องใช้ฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ร่างบางลงมือทำความสะอาดและเริ่มทำอาหารเย็น
พลบค่ำทั้งอาจารย์และศิษย์อีกสองคนก็มานั่งรวมตัวที่โต๊ะอาหาร แม้ว่าจ้าวเต๋อกับซางเหยียนอยู่ได้โดยไม่กินไม่ดื่ม แต่หากปล่อยให้เมิ่งหลานกินข้าวคนเดียวก็กลัวว่าจะเงียบเหงาจนเกินไป ฉะนั้นสองศิษย์อาจารย์จึงตกลงกันว่าทุกมื้ออาหารเย็น พวกเขาจะรวมตัวนั่งกินข้าวด้วยกัน
"เรื่องที่เกิดขึ้นที่อำเภอเหอ ข้ารู้จากซางหยียนแล้ว" จ้าวเต๋อเอ่ยขึ้นพร้อมตะเกียบลงหลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว
เมิ่งหลานได้ยินเช่นนั้นก็พลันชะงัก ก่อนจะคีบอาหารเข้าปากแล้วตอบเสียงแผ่ว "เช่นนี้หรือ"
"ข้าขอดูกระบี่เล่มนั้นของเจ้าไปหรือไม่"
นางหันไปมองซางเหยียน เมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้า ร่างบางจึงเอื้อมมือไปปลดหยกห้อยเอว จากหยกสีขาวนวลก็แปลเปลี่ยนให้มันเป็นกระบี่งามทันที เมิ่งหลานจึงส่งให้ผู้เป็นอาจารย์
สัมผัสแรกที่จ้าวเต๋อรู้สึกได้หลังจากที่รับกระบี่มาจากศิษย์คนเล็ก ก็คือความแรงกดดันอันหนักหน่วงที่ซึ่งไม่ธรรมดาผนวกกับความหนักอึ้งของตัวกระบี่ ทำให้เขารีบส่งคืนผู้ที่เป็นเจ้าของทันที
"เกิดอะไรขึ้นหรือ" ซางเหยียนเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทีอาจารย์ของตนแปลกไป
"กระบี่หนักเกินไป ข้าถือไม่ไหว"
"..."
ชายหนุ่มถึงกับพูดไปออกไปชั่วขณะ พลางเหลือบมองไปยังผู้เป็นศิษย์น้องด้วยความสงสัย
"หนักหรือ..." เมิ่งหลานหลุบตามองกระบี่งามในมือ จึงลองกะน้ำหนักของมันแล้วเอ่ยว่า "ไม่เห็นจะหนักตรงไหน ซางเหยียน ท่านลองดูหน่อย" ก่อนจะยื่นกระบี่ไปให้เขา
ทันทีที่ได้รับกระบี่มา ซางเหยียนเองก็รู้สึกไม่ต่างจากผู้เป็นอาจารย์นัก จึงส่งคืนให้แก่ผู้เป็นศิษย์น้อง "กระบี่นี่หนักดั่งที่ท่านอาจารย์กล่าวจริงๆ"
หากไม่ได้รับการยืนยันจากเขา เมิ่งหลานก็คงจะไม่ชื่อว่าอาวุธวิเศษที่อยู่ในมือตนจะหนักมากเสียจนผู้ฝึกตนอย่างซางเหยียนและจ้าวเจ๋อถือแทบไม่ไหว แต่แล้วเหตุใดพออยู่ในมือนาง ถึงได้เบาราวกับขนนกเช่นนี้เล่า
จ้าวเต๋อผู้เป็นอาจารย์เห็นว่าศิษย์คนเล็กมีสีหน้าคล้ายกับไม่เข้าใจบางอย่าง เขาจึงอธิบายขึ้น "ศาสตราวุธบางชนิดก็ถูกสร้างขึ้นเจาะจงเฉพาะบุคคล บางทีอาวุธวิเศษชิ้นนี้อาจจะสร้างขึ้นมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะก็เป็นได้ เมื่อไปอยู่ในมือของผู้อื่น มันจึงได้มีปรากฏการณ์ดังเช่นที่เห็น"
"ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้" เมิ่งหลานพยักหน้าอย่างเข้าใจ ในโลกของผู้บำเพ็ญมีความล้ำลึกมากเสียจนคนที่พึ่งมาอยู่ได้แค่ปีกว่าเช่นนางจะจินตนาการถึง
เรื่องบางอย่างก็มิใช่ว่าจะทำความเข้าใจได้ในเวลาอันสั้น ฉะนั้นแล้วทุกอย่างจึงต้องคอยเป็นคอยไป รีบร้อนไปก็ใช่ว่าจะดี
"เจ้าจงเก็บกระบี่เล่มนี้ไว้ให้ดี ถึงแม้จะมีเพียงเจ้าที่สามารถถือครองมันได้โดยที่ไม่ถูกอานุภาพของกระบี่ย้อนกลับมาทำร้าย แต่ใต้หล้านี้ ที่ไม่ขาดเลยก็คือผู้แข็งแกร่ง หากคนเหล่านั้นมีความโลภ คิดอยากได้อาวุธวิเศษในมือของเจ้า ก็มิใช่ว่าพวกเขาจะทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นปีศาจน้อย นับแต่วันพรุ่งนี้ต้นไป เจ้าจงร่วมฝึกปรือพลังวิญญาณในช่วงร่วมกับศิษย์พี่เจ้าซะ!"
สิ้นเสียงของนักพรตจ้าวเต๋อ สีหน้าของเมิ่งหลานก็ราวกับว่ากำลังกลืนยาขมอย่างไรอย่างนั้น
ลำพังแค่เรียนวิชาแพทย์กับหลอมยาก็แทบจะรากเลือดแล้ว ไหนยังจะต้องฝึกฝนในช่วงเช้าร่วมกับซางเหยียนอีก
สวรรค์! ฆ่านางให้ตายตอนนี้เสียเถอะ!
แม้ในใจของเมิ่งหลานจะร่ำไห้คร่ำครวญสักเพียงใด แต่พอถึงวันรุ่งขึ้น นางก็ต้องหอบสังขารมาฝึกฝนร่วมกับซางเหยียนอยู่ดี โดยมีนักพรตเจ้าเต๋อคอยคุ้มเข้มอยู่ด้านข้าง
จนกระทั่งวันเวลาล่วงเลยไปจากหนึ่งปีเป็นสองปี จวบจนถึงบัดนี้ สาวออฟฟิศธรรมดาก็ทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณเป็นเวลาสามปีเข้าไปแล้ว ทว่าความทรงจำเจ้าของร่างเดิมก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับมา แต่ถึงกระนั้นมันก็มิได้กระทบกับชีวิตประจำของนางมากนัก
"เอ๊ะ! แม่นางเมิ่ง เจ้าจะไปเก็บสมุนไพรอีกแล้วหรือ"
น้ำเสียงอันร่าเริงของชายหนุ่มดังขึ้น เมิ่งหลานไม่ต้องหันมองก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นผู้ใด จึงอดที่จะกลอกตาขึ้นมาเสียงมิได้
"คุณชายเหลียง ช่วงนี้ท่านว่างนักหรือ ถึงได้มาที่นี่บ่อยนัก"
นับแต่ได้พบกันเมื่อปีก่อน ก็มิรู้ว่าคนผู้นี้ติดใจอะไรหุบเขาไฉซางหนักหนา ทุกสิบวันครึ่งเดือนก็มักจะวิ่งแจ้นมาคลุกตัวอยู่ที่นี่เป็นประจำ
"ข้าจะมาชวนเจ้าไปเสี่ยงโชค" เหลียงซ่งยิ้มอย่างมีเลศนัย
"เสี่ยงโชค..."
"ใช่" เขาพยักหน้าก่อนจะคว้ามือของนางแล้วเอ่ยว่า "ไป! ข้าจะอธิบายให้เจ้ากับซางเหยียนฟังพร้อมกันทีเดียว"
จากนั้นก็ลากหญิงสาวไปที่กระท่อมบนเขา
เมื่อคนมารวมตัวกับครบแล้ว ซางเหยียนจึงได้เอ่ยถามขึ้น "ที่ว่าจะชวนพวกเราไปเสี่ยงโชค เจ้าหมายความว่าอย่างไร"
"พวกท่านเคยได้ยินห้วงมายาหรือไม่"
ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนส่ายหน้าพร้อมกัน ก่อนที่ซางเหยียนจะหันไปถามผู้เป็นอาจารย์ของตนว่า "ท่านอาจารย์ท่านเคยได้ยินหรือไม่"
จ้าวเต๋อพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น "ห้วงมายาเป็นมิติพิเศษ ได้ยินมาว่าเป็นสิ่งที่สัจเทพในสมัยบรรพกาลทิ้งไว้บนโลกก่อนที่จะดับขันธ์ ว่ากันว่าจะเขตแดนจะเปิดขึ้นในทุกห้าร้อยปี ข้าเองก็ไม่เคยเข้าไปเช่นกัน" จากนั้นจึงหันไปถามแขกประจำอย่างเหลียงซ่ง "ว่าแต่สหายน้อยเหลียง เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร"
"ด้านนอกมีข่าวลือว่าอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนเขตห้วงมายาก็จะเปิดขึ้น"
"อ๋อ...เพราะอย่างนี้เจ้าถึงมาชวนพวกข้าไปเสี่ยงโชคด้วย" เมิ่งหลานหรี่ตามองอย่างจับผิด เพราะจากนิสัยของเขา คงไม่แคล้วต้องกระโดดไปร่วมวงเล่นสนุกอีกเป็นแน่
เมื่อถูกนัยน์ตาหงส์ตวัดมองอย่างรู้ทัน เหลียงซ่งพลันกระแอมขึ้นเสียงดัง "แล้วพวกท่านมิอยากลองดูสักหน่อยหรือ ว่ากันว่าคนที่เข้าไปในมิติพิเศษแห่งนั้น พวกเขาได้ค้นพบโชคลาภอันยิ่งใหญ่ บางคนถึงขั้นบรรลุสัจธรรมจนได้เลื่อนขั้นเซียน โบกบินขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้าเลยนะ"
"หากเรื่องที่เจ้าพูดเป็นความจริง ก็ย่อมต้องมีผู้บำเพ็ญมากมายที่ปรารถนาเข้าไปในห้วงมิติเร้นลับแห่งนั่น สำนักเซียนใหญ่ ๆ ก็ต้องเข้าร่วมเป็นแน่ โชคลาภวาสนาที่เจ้าว่า เกรงว่าจะมาไม่ถึงมือพวกเรา" ซางเหยียนเอ่ยขึ้น มีผู้บำเพ็ญมากมายที่อยากใช้ทางลัดเพื่อเลื่อนขั้นเซียน หากข่าวลือนั้นเป็นความจริง ก็ย่อมต้องมีผู้คนมากมายที่อยากเข้าไปเสี่ยงโชคในมิติแห่งนั้น หากเมิ่งหลานกระโดดเข้าไปร่วมวงด้วย เขากลัวว่าความลับของนางจะถูกคนพวกนั้นมองออก
จ้าวเต๋อและซางเหยียนเป็นศิษย์อาจารย์กันมาหลายสิบปี มีหรือเขาจะไม่รับรู้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ของศิษย์เอกผู้นี้ จึงได้เอ่ยขึ้น "อืม...เรื่องนี้ก็กับว่าน่าสนใจ เสี่ยวเหยียน เจ้าก็พาเสี่ยวหลานก็ดูหน่อยเถอะ บางทีอาจมีเรื่องน่าสนุกรอพวกเจ้าอยู่ภายในนั้นก็ได้"
"แล้วท่านอาจารย์ไม่ไปด้วยหรือ"
"ข้าน่ะแก่แล้ว กระดูกกระเดี้ยวของเขาสู้คนหนุ่มอย่างพวกเจ้ามิได้หรอก การต่อสู้แย่งชิงอะไรนั้น ข้าทำไม่ไหว แทนที่จะไปทรมานตัวเอง มิสู้อยู่เฝ้าที่นี่ดีกว่า"
"เช่นนั้นศิษย์ก็จะฟังคำท่านอาจารย์"
"เอ่อ...คือว่าท่านผู้อาวุโสจ้าว พอดีเรื่องนี่มีปัญหาอยู่นิดหน่อย" เหลียงซ่งที่เงียบไปนานก็เอ่ยขึ้น
"ปัญหาอะไร" จ้าวเต๋อเลิกคิ้วถาม
"คือ...ข้ามิทราบตำแหน่งประตูเข้าเขตแดน ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจ้าวทำนายให้ได้หรือไม่"
"..."
--------------------------------------------------------------
[1] ครึ่งชั่วยาม เทียบเท่ากับ 1 ชั่วโมง
