บทที่5 ศิษย์เอกแห่งสำนักกระบี่จิงเทียน
"ผู้ใด!"
ซวยแล้ว!
เร็วเท่าความคิด ร่างบางรีบสาวเท้าวิ่งออกไปในทันที ทว่ากระบี่เล่มงามก็ไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ เมิ่งหลานเห็นเช่นนั้น ก็ลวงยันต์คุ้มภัยที่พกติดตัว ปาออกไปใส่กระบี่ แต่เพราะอักขระในแผ่นกระดาษ เป็นนางที่เขียนขึ้นเองด้วยพลังวิญญาณอันน้อยนิดของตน จึงไม่อาจจะทำลายกระบี่งามได้ ทำได้แค่ให้มันหยุดชะงักเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาบินไล่นางเหมือน
"บัดซบ! รู้อย่างนี้ของยันต์รวมวิญญาณมาจากตาเฒ่าไว้ก็ดี" ร่างบางสบถออกมาอย่างหัวเสีย ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปข้างหน้า โดยไม่สนว่าอาภรณ์ตัวงามของตนเกี่ยวเข้ากับกิ่งไว้จนฉีดขาด
ปึก!
"โอ๊ย!!"
ร่างน้อยของเมิ่งหลานชนเข้ากับของแข็งจนล้มลงพื้น เมื่อนางเงยหน้ามอง ก็พบว่าเป็นเงาร่างใหญ่สีดำทะมึน ความหวาดกลัวแล่นเข้าปกคลุมภายในใจ
แต่เมื่อกลุ่มเมฆาที่ลอยบดบังจันทราเคลื่อนออก แสงจันทร์พลันส่องสว่าง สาดส่องมายังบนโลก ร่างของชายหนุ่มรูปงามปรากฏขึ้นตรงหน้าของปีศาจสาว นางแหงนขึ้นมองชายหนุ่มด้วยความตะลึงงั้น
องค์พายัพทั้งห้างามล้ำรวมกับสวรรค์สร้าง จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักได้รูป หากเทียบกับศิษย์พี่ผู้นั้นของนางที่รูปงามประหนึ่งหยก ชายผู้นี้ก็เป็นดั่งเทพเซียนผู้สูงส่งที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ กลิ่นอายลึกล้ำยากลึกสุดหยั่ง เพียงแค่มองก็ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นได้
ถ้าจะให้เลือก นางชอบซางเหยียนที่ดูอบอุ่นและนุ่มละมุนมากกว่า...
ในระหว่างที่เมิ่งหลานตกอยู่ในภวังค์ความคิด กระบี่เล่มงานที่อยู่ในมือของชายหนุ่มก็พาดเฉียงลงบนบ่านาง ความเย็นของคมเหล็กกล้า ร่างบางพลันสะดุ้งตื่น
"เฮ้ ๆ ระวังหน่อยสิ กระบี่มันไม่มีตานะ" นางยกมือขึ้นอย่างจำนน แต่สายตาก็ยังไม่วายสอดส่ายไปทั่ว เพื่อหาทางรอดให้แก่ตนเอง
"ปีศาจต้องถูกกำจัด" น้ำเสียงอันเรียบนิ่งพลันดังขึ้น เขาเห็นพลังวิญญาณที่นางปลดปล่อยออกมาในขณะร่ายอาคมใส่ยันต์ มันเคลือบแฝงไปด้วยกลิ่นอายปีศาจอยู่จาง ๆ ถึงแม้จะบางเบา ทว่าคนที่ไวต่อสัมผัสของปีศาจเช่นเขาแล้ว มันง่ายนิดเดียวที่จะแยกแยะว่าผู้ใดเป็นคนหรือว่าปีศาจ...
คมกระบี่สะท้อนกับแสงจันทร์เป็นประกายวาววับ เมิ่งหลานเห็นแล้วก็กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ไอสังหารที่แผ่นออกมาจากร่างของชายหนุ่มตรงหน้า ทำให้นางรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ร่างบางหลับตาด้วยความจำนนให้กับชะตาชีวิต ในใจก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าสวรรค์
ให้นางเกิดมาทั้งที ก็ควรมอบโชคชะตาที่ดีให้มิไช่หรือ แต่นี่มันอะไรกัน! ชีวิตก่อนยังเล่นตลกกับชะตาชีวิตของนางไม่พออีกหรือ ถึงต้องส่งให้นางมาอยู่ในร่างของปีศาจ ที่แม้แต่เทพยังขยาด มนุษย์ยังเกลียดชัง!
เมื่อทุกอย่างกำลังจะไปได้ดี กลับต้องมาจบชีวิตภายใต้คมกระบี่ของหนุ่มหล่อเช่นนี้อีก!
วินาทีที่กระบี่กำลังแทงทะลุร่าง กระแสเสียงสายหนึ่ง ก็พลันดังขึ้น "ศิษย์พี่ใหญ่! ช้าก่อน!"
จากนั้นไม่นานร่างของหญิงงามก็ปรากฏขึ้น นางร่อนกระบี่ลงพื้นดิน ก่อนจะเดินเข้าหาคนทั้งสองและโค้งคำนับให้แก่ชายหนุ่ม "ศิษย์พี่ใหญ่"
ราวกับว่าสวรรค์ยังมิอยากให้นางตายตอนนี้ จึงส่งเทพธิดามาช่วยชีวิตน้อย ๆ ของนาง เมิ่งหลานจึงลืมตาขึ้น ปรากฏว่าหญิงสาวผู้เป็นใหม่คือเยว่เหยา คนรักของซางเหยียนนั้นเอง เมื่อเห็นดังนั้นนางจึงส่งยิ้มให้แก่หญิงงาม
เยว่เหยาเดินผ่านร่างเมิ่งหลานไป เมินรอยยิ้มอันประจบประแจงของหญิงสาว นางหันมาเอ่ยกับผู้เป็นศิษย์เอกของสำนักว่า "ศิษย์พี่ไป๋ ได้โปรดยั้งมือด้วย"
"แต่นางเป็นปีศาจ" ไป๋อีปรายมองของปีศาจสาวอย่างเรียบเฉย
"ศิษย์พี่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว นางคือศิษย์น้องของซางเหยียน เป็นศิษย์ที่ผู้อาวุโสจ้าวพึ่งรับเข้ามา"
ทันทีที่ไป๋อีได้ยินเช่นนั้นจึงลดกระบี่ในมือลง เห็นแก่หน้านักพรตจ้าวเจ๋อ เขาจะปล่อยปีศาจน้อยตนอีกไปสักครั้ง แต่หากนางลงมือกับทำร้ายมนุษย์เมื่อไร เขาก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารปีศาจเพิ่มอีกตน ชายหนุ่มหรี่ตามองอย่างมาดร้าย
ด้านทางเมิ่งหลานที่เห็นชายหนุ่มเก็บกระบี่แล้ว ก็หยัดตัวขึ้นและค่อย ๆ ปัดฝุ่นออกจากร่างอย่างไม่เร่งรีบ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตนนั้นถูกหมายหัวเข้าให้แล้ว นางเดินเข้าหาหญิงงามผู้ซึ่งที่เป็นยอดดวงใจของซางเหยียน "แม่นางเยว่เหยา"
"เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร"
แต่ดูเหมือนว่าหญิงงามนางนี้จะไม่ค่อยเป็นมิตรกับตนนัก พบหน้ากันทีไร เมิ่งหลานก็ไม่ค่อยเห็นสีหน้าดี ๆ ของสตรีนางเลยสักครั้ง นางชอบทำหน้าบึ้งตึงใส่อยู่เรื่อย แต่ก็ช่างปะไร ขอเพียงซางเหยียนดีกับนาง คนอื่นจะคิดอย่างไร ก็ไม่เห็นต้องสนใจ
"ตาเฒ่านั้นให้ข้ามาส่งยาให้ซางเหยียน"
"ซางเหยียนก็อยู่ที่อำเภอเหอหรือ"
"เขาลงเขามาได้ครึ่งเดือนแล้ว"
สิ้นเสียงของเมิ่งหลาน คิ้วเรียวงามของเยว่เหยาพลันขมวดเป็นปม ซางเหยียนไม่เคยบอกมาก่อนว่าจะลงเขา อีกทั้งยามนี้อำเภอเหอเกิดโรคประหลาดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเพราะภัยธรรมชาติหรือเป็นฝีมือปีศาจ
ในใจก็พลันนึกเป็นห่วงคนรักขึ้นมา จึงกระโดดขึ้นขี่กระบี่ประจำกาย ก่อนจะบังคับให้มันมุ่งหน้าไปที่อำเภอเหอทันใด
"เอ๊ะ! นี่..." ยังไม่ทันขาดคำ กระบี่ที่เยว่เหยาขึ้นขี่ก็บนหายไปในความมืดมิดของรัตติกาลเสียแล้ว เมิ่งหลานหันไปยิ้มให้แก่คนที่ถูกเยว่เหยาเรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่แล้วเอ่ยว่า "ศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้ ข้ามิรู้วิธีขี่กระบี่ มิทราบว่าท่านพอจะพาข้าไปด้วยได้หรือไม่"
ไป๋อีถอนหายใจ ก่อนจะคว้าเข้าที่คอเสื้อของปีศาจสาว พานางขึ้นขี่กระบี่ มุ่งตรงไปยังอำเภอเหอ
เมิ่งหลานที่ยืนซ้อนหลังชายหนุ่ม ก็มิรู้ว่าจะเอามือวางไว้ที่ใด จึงเอื้อมจับชายเสื้อของเขาไว้
เมื่อรัตติกาลผ่านไป รุ่งอรุณมาเยือน แสงสีทองสาดส่องไปทั่วท้องนภา นางเป็นหญิงสาวผู้ที่มาจากอีกยุคสมัย ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าออกไปดู กระบี่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าจึงเสียสมดุลไปเล็ก จากมือที่จับอยู่ชายเสื้อของศิษย์เอกแห่งสำนักกระบี่จิงเทียน เปลี่ยนมาเป็นสวมกอดคนด้านหน้าอย่างแนบแน่น
"ยืนดีๆ"
เสียงทุ้มของชายหนุ่มกับดังขึ้น เมิ่งหลานที่เห็นดังนั้นจึงรับคลายอ้อมกอดแล้วเอ่ยเสียงเบา "ขออภัย"
ทั้งสองขี่กระบี่บินฝ่าไอหมอกของยามเช้า ในที่สุดก็มาถึงจุดมุ่งหมาย ไป๋อีควบคุมกระบี่คู่กายร่อนลงสู่พื้นดิน
"ศิษย์พี่ไป๋" คนที่มาถึงก่อนหน้านี้ เมื่อหน้าการปรากฏของผู้เป็นศิษย์เอกของสำนักจึงเข้ามาทักทาย
"เข้าไปได้หรือไม่" ไป๋อีเอ่ยถาม ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปยังไอหมอกหนาทึบที่อยู่เบื้องหน้า
ไอหมอกสีม่วงที่จู่ ๆ ปรากฏขึ้นอย่างไร้ที่มาในอำเภอเหอเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านเป็นโรคประหลาด แรกเริ่มหมอกสีม่วงอันไม่ได้หนาแน่นเช่นนี้ ต่อมาชาวบ้านทยอยกันล้มป่วยทีละคน แม้แต่หมอที่ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจที่สุดยังหาสาเหตุต้นตอของโรคไม่พบ พอนานวันเข้าหมอกที่ปกคลุมอยู่ก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อย นายอำเภอเหอรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงส่งคำร้องขอให้สำนักกงซินช่วยมาตรวจสอบ
เมื่อสำนักกงซินส่งคนมาตรวจไอหมอกที่ลอยคลุ้งกระจายอยู่ทั่วอำเภอเหอ ก็พบว่ามันเป็นหมอกพิษ ซึ่งเป็นพิษที่แม้แต่สำนักกงซินที่ชื่อว่าวิชาแพทย์ล้ำเลิศก็ยังหาทางแก้มิได้ ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือก ยอมแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากจ้าวเต๋อที่หุบเขาไฉซาง จึงเป็นเหตุให้ซางเหยียนลงมานั้นเอง
"ยังหาทางเข้าไม่ได้เลยขอรับ แต่เมื่อครู่ศิษย์เยว่นางฝ่าหมอกเข้าไปแล้ว" เป็นชายหนุ่มคนเดิมที่เอ่ย
เมิ่งหลานที่หมายถึงที่หมายแล้ว นางไม่สนว่าพวกเขากำลังปรึกษาอะไรอยู่ ร่างบางสาวเท้าเดินเข้าไปยังไอหมอกหนา ทว่ากลับมีคนหนึ่งที่เร็วกว่า คว้ามือนางไว้ได้ทัน
"เจ้าจะไปไหน" ไป๋อีถามขึ้นเสียงเรียบ
หญิงสาวกลอกตามองคนตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า "พี่ใหญ่ ท่านก็ได้ยินแล้วมิใช่หรือ ว่าข้ามาส่งยาให้ซางเหยียน หากไม่เข้าไป แล้วจะส่งของได้อย่างไร"
"แต่นั้นมันเป็นหมอกพิษ"
เมิ่งหลานให้สายตาราวกับมองคนโง่จับจ้องไปยังหนุ่มรูปงามก่อนจะเอ่ยว่า "ท่านมิรู้จักวิชาชำระล้างหรือ"
"แม่นาง พวกข้าฝึกในมรรคากระบี่ ไหนเลยจะรู้วิชาเวทพวกนั้น" เป็นหนึ่งในศิษย์ของสำนักกระบี่จิงเทียนกล่าว
"อ๋อ"
นางลืมไปว่าพวกเขาแน่นฝึกฝนกระบี่ไปหลัก ช่างเถอะ ถือเสียว่าตอบแทนที่เขามาส่งนาง จะพาเข้าไปก็แล้วกัน
ร่างบางลวงหยิบยันต์แผ่นหนึ่งของมาจากถุงเฉียงคุณเอวเอวบาง ก่อนจะหยดเลือดลงไปแล้วร่ายเวท ทันใดนั้นเองสีทองเข้าปกคลุมทั่วร่างของปีศาจสาว นางหันไปมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง "จะไปด้วยจะไปด้วยหรือไม่"
