บทที่4 ลงเขา
หลังจากที่เมิ่งหลานรวบรวมสมุนไพรได้จำนวน วันที่ยี่สิบของทุกเดือนก็จะวนมาถึงอีกครา นางยัดทุกอย่างเข้าไปในถุงเฉียงคุนที่พึ่งได้มาหมาด ๆ เมื่อจัดทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็เตรียมตัวลงเขาทันที
แต่ทว่าเท้าของหญิงสาวยังไม่ทันได้พ้นจากประตู เสียงของจ้าวเต๋อก็ดังขึ้นมาเสียก่อน "ปีศาจน้อย เจ้ากำลังจะลงเขาใช่หรือไม่"
ร่างบางพยักหน้ารับ ก่อนจะถามกลับไปว่า "มีอะไรงั้นหรือ"
"ไหน ๆ ก็ลงเขาแล้ว ข้าฝากยายาขวดนี้ไปให้ซางเหยียนที่อำเภอเหอหน่อย" จ้าวเต๋อส่งขวดหยกขาวให้นาง
เมิ่งหลานมองขวดหยกในอยู่ของผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์นิ่ง พลางครุ่นคิด หลังจากที่นางได้พบกับคนจากสำนักกงซินในวันนั้น ไม่มีวันต่อมาซางเหยียนก็ลงเขาไป เห็นว่าอำเภอเหอเกิดเรื่องประหลาดขึ้น ทางฝั่งนั่นจึงมาขอความช่วยเหลือจากจ้าวเจ๋อ อีกทั้งอำเภอเหออยู่ทิศตะวันออกของเมืองเหลียง ห่างออกไปเพียงยี่สิบลี้[1] นับว่าไม่ไกล หากเดินทางด้วยรถม้าหนึ่งชั่วยาม[2]ก็ถึง แม้ว่านางจะไม่เคยไปเยือนมาก่อน แต่ก็คงไม่ได้ยากเย็นอันใดนัก จึงตัดสินใจรับขวดยามาจากเขา
ทว่าก่อนที่เมิ่งหลานจะไปผู้เป็นอาจารย์ก็ยังอดที่จะกำชับออกมาอีกหลายประโยค
"หนทางด้านหน้ามันอันตราย พวกปีศาจอ่อนกวนไปทั่ว เจ้าระวังตัวด้วย" ว่าแล้วก็ยัดยันต์คุ้มภัยให้นางเพิ่ม
"รู้แล้ว ข้าจะระวังตัว" เอ่ยจบเก็บทุกอย่างใส่ถุงเฉียงคุนและจากไปในทันที
เมืองเหลียงอยู่ทิศตะวันตกของหุบเขาไฉซาง ใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วยาม[3] แรกเริ่มหลังจากที่เมิ่งหลานพึ่งทะลุมิติมาใหม่ๆ ก็เป็นซางเหยียนที่ไปเป็นเพื่อนนาง ต่อมาเมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายใด ๆ จึงลองลงเขามาคนเดียว
แม้ตลอดเส้นไม่จะไม่พบอันตราย อีกทั้งยังมีเทียบเกวียนผ่านทางแทบจะตลอด ทว่าซางเหยียนก็ยังรู้สึกไม่วางใจ แอบตามนางอย่างเงียบๆ แต่สุดท้ายก็ถูกจับได้อยู่ดี
และซึ่งการกระทำนั้นของเขา เมิ่งหลานมองว่ามันน่ารักมาก! จิงทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ชายที่ทั้งหล่อและแสนดีอย่างเช่นซางเหยียน ไม่ควรมีคนเดียวในโลก!
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังขบคิดเรื่องในอดีต เทียบเกวียนที่ใช้ลาเป็นพาหนะก็มาหยุดตรงหน้านาง
"แม่นางจะขึ้นหรือไม่"
"เอ่อ...อืม" ว่าแล้วก็รีบกระโดดขึ้นไปนั่งทันที
จากนั้นชายผู้เป็นสารถีก็สะบัดแส้ในมือบังคับเกวียนให้เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ
เดิมทีเกวียนลาก็เชื่องช้าอยู่แล้ว ผนวกกับถนนไม่ดีนัก ทำให้การเข้าเมืองในครั้งนี้ล่าช้าไปพอสมควร กว่าที่จะไปถึงก็เกือบยามซื่อ[4]เข้าไปแล้ว
เมิ่งหลานควักเหรียญทองแดงส่งให้แก่เจ้าของเทียบเกวียน แล้วเดินตัวปลิวหายเข้าไปในประตูเมืองอย่างอารมณ์ดี
เมืองหลียงมิว่าจะมากี่ครั้งก็ยังคึกคักไม่เปลี่ยน นางสูดลมหายใจเข้าปอด ซึมซับกลิ่นอายความมีชีวิตชีวาของคนในยุคโบราณเข้าสู่กาย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังร้านยาที่อยู่ห่างออกไปถึงสองช่วงถนน
ทันทีที่ร่างบางปรากฏขึ้นในโถงยา เถ้าแก่ร้านยาที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยการมาของหญิงสาวอยู่ค่อนวันเอ่ยก็ทักด้วยความดีใจ "แม่นางเมิ่ง ในที่สุดเจ้ามาเสีย"
ผู้เป็นเจ้าของโถงยาพลันคลี่ยิ้มอย่างประจบประแจง ตัวเขากับเมิ่งหลานซื้อขายสมุนไพรกันมานานหนึ่งปี นับคุ้นเคยกันเป็นอย่างยิ่ง ช่วงนี้ของทุกเดือนนางจะนำสมุนไพรมาขายที่ร้าน ถึงแม้จะเป็นของที่ดาษดื่นหาได้ทั่วไป ทว่าคุณภาพกลับดียิ่งนัก มิว่าจะเป็นลำต้น ราก หรือใบ ต่างก็อยู่ครบถ้วน ไม่ส่วนใดเสียหาย และที่สำคัญกว่านั้นก็คือหญิงสาวผู้นี้มาจากที่หุบเขาไฉซาง ซึ่งเป็นสถานที่มีข่าวลือออกมาว่ามีเซียนอาศัยอยู่ ฉะนั้นแล้วเขาจึงกระตือรือร้นอยากผูกมิตรกับนางเป็นพิเศษ บางทีอาจจะมีวาสนาได้พบกับท่านเซียนที่ว่า
"สมุนไพรรอบก่อนขายหมดแล้วหรือ"
"สมุนไพรที่แม่นางนำมาล้วนแต่เป็นของที่มีคุณภาพดีเยี่ยม พวกหมอในเมืองแย่งซื้อกันให้วุ่น ไม่กี่วันก็หมดแล้ว"
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาหงส์พลันเป็นประกาย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม "โอ้! เช่นนั้นเถ้าแก่ก็ขายได้ราคาสูงเลยล่ะสิ"
ของยิ่งหายากยิ่งราคาดี กลยุทธ์การตลอดเช่นนี้มิว่าจะยุคสมัยไหนก็ยังใช้ได้ดีเสมอ
ผู้เป็นเถ้าแก่ร้านสมุนไพรเห็นท่าทางเช่นนั้นของนางก็กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบากแล้วเอ่ยขึ้น "แน่นอนว่าต้องได้ราคาดีอยู่แล้ว ช้ายังดีว่าหากท่านนำสมุนไพรมาขายอีกยังเพิ่มเงินให้อีกหน่อย"
"เช่นนั้นก็รบกวนเถ้าแก่แล้ว" เมิ่งหลานยิ้มพรายก่อนจะลวงเอาถุงสมุนไพรที่เตรียมออกมา
"เด็ก ๆ เร็วเข้า รีบเอาสมุนไพรของแม่นางเมิ่งไปตรวจสอบ" เขาร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง พลางยกมือขับเหงื่อชื้นบนใบหน้า
เมิ่งหลานนั่งรอดื่มชารออยู่พักใหญ่ ผู้เป็นเถ้าแก่ร้านก็นำเงินมาส่งให้แก่นาง "ทั้งหมดสามสิบเหรียญทอง"
นางพยักหน้าอย่างพอใจ เมื่อรับเงินแล้วก็รีบตรงดิ่งไปตลาดค่าของสดที่อยู่ทางใต้ของเมือง
หลังจากที่หญิงสาวเดินเที่ยวชมตลาดและซื้อของตามที่ต้องการเสร็จ จึงจ้างรถม้าให้ไปส่งที่อำเภอเหอ แต่เมื่อสารถีรู้ว่านางจะไปที่ใดก็ปฏิเสธทันควัน นางจึงเสนอเงินเพิ่มเป็นเท่าตัว "เช่นนั้นข้าให้เป็นสองเท่าเป็นอย่างไร"
อำเภอเหออยู่ห่างออกไปยี่สิบลี้เลยนะ ให้นางเดินไปไม่มีทางเสียหรอก
คนบังคับรถม้าเห็นว่าหญิงสาวยังดื้อดึง เขาจึงโอดครวญขึ้นมา "โถ่แม่นาง มิใช่ว่าพวกข้าไม่อยากได้เงิน ทว่าสถานที่ที่ท่านจะไปนั้น ข้าไปส่งให้ไม่ได้"
"เพราะเหตุใด"
ชายผู้นั้นถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า "เพราะที่นี่เป็นโรคระบาดน่ะสิ"
"โรคระบาดหรือ" นางเลิกคิ้วขึ้นถาม
"ใช่ จู่ ๆ เมื่อสองเดือนคนในอำเภอเหอก็ป่วยเป็นโรคประหลาด แม้แต่หมอยังไร้หนทางรักษา ลือกันว่าสาเหตุของโรคที่ระบาดไปทั่วอำเภอเหอ เป็นฝีมือของปีศาจ" ประโยคสุดท้ายคนบังคับรถม้ากระซิบด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
"แล้วสำนักเซียนไม่ลงมาดูหรือ" หญิงสาวถามกลับ คงมิใช่ว่าที่ซางเหยียนลงเขาในครั้งนี้ เป็นเพราะมีปีศาจอาละวาดหรอกนะ
"มาดูแล้ว เห็นว่าเป็นสำนักกงซิน ทว่าผ่านมาเกือบเดือนแล้วยังแก้ปัญหามิได้เสียที แม่นางหากเจ้าไปอำเภอเหอก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน ข้าไปส่งเจ้าที่นี่ไม่ได้จริงๆ"
และก็เป็นดังที่นางคิดไว้ไม่ผิด ศิษย์สำนักกงซินปรากฏตัวบนเขาไฉซางคงเป็นเพราะหากให้จ้าวเต๋อช่วยแก้ไขปัญหานี้สินะ
หญิงสาวถอนหายใจ ในเมื่อจ้างรถม้าไม่ได้แล้ว คงมีแต่ต้องเดินไปอย่างเดียวแล้ว ร่างบางไม่รอช้า สาวเท้าเดินออกยังไปทิศตะวันออกของเมืองเหลียง
ยี่สิบลี้ระยะทางก็มิใช่ว่าจะไกล้ พลบค่ำแล้วเมิงหลานก็ยังไปไม่ถึงอำเภอเหอ ช่วงกลางของยุคนี้มีเพียงแสงจันทร์คอยส่องแสงในยามค่ำคืน ด้วยความที่ไม่เคยค้างคืนอยู่ด้านนอกมากก่อน ในใจของนางก็พลันหวาดกลัวขึ้นมา มองไปยังทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ใบหญ้าเต็มไปหมด ทั้งมืดมิดและวังเวงเป็นอย่างยิ่ง!
คงไม่มีผีโผล่มาใช่ไหม
เมื่อนึกเรื่องลี้ลับร่างบางพลันสั่นสะท้าน ก่อนจะสบถออกมาเสียงดังว่า "ให้ตายเถอะ! รู้อย่างนี้พักอยู่ที่เมืองเหลียงสักคืนยังจะดีกว่า"
นางเดินมาทั้งวัน เมื่อยขาไปหมด จึงทรุดตัวนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ นั่งพักขาเสียหน่อย รอใหหายเหนื่อยแล้วค่อยหาสถานที่ค้างคืน ที่ปลอดภัยมากกว่านี้
แต่ยังไม่ทันที่นางจะพักให้หายเหนื่อย ก็มีกลุ่มพลังงานสีดำลอยมายังทิศทางที่ร่างบางนั่งพัก ดวงตาหงส์พลันเบิกกว้าง มีผีจริง ๆ ด้วย!
คิดได้ดังนั้นเมิ่งหลานรับหยัดกายลุกและวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะลวงยันต์ปราบวิญญาณร้ายที่จ้าวเต๋อหยัดเยียดให้ตอนที่กำลังลงจากเขาด้วยความลุ้นระลึก หากวิญญาณร้ายตนนั้นลอยมายังทิศทางที่นางซ่อนตัวอยู่ ก็จะใช้ยันต์ผนึกในมือทำให้ร่างมันแตกสลายไปเสีย
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังครุ่นคิดวิธีจัดการกับวิญญาณร้าย ก็พลันมีกระบี่หลายเล่มบินโฉบ ไล่ตามหลังของกลุ่มก้อนพลังงานสีดำนั้นมา
ไม่นานนักเจ้าของกระบี่ก็ปรากฏขึ้น เมิ่งหลานเห็นเช่นนั้นก็พ่นลมหายใจออก พลางยกมือตบหน้าอกตนเองอย่างแผ่วเบา
ที่แท้มิใช่ผี แต่เป็นปีศาจนี่เอง
ศิษย์ทั้งห้าของสำนักเซียนตีวงล้อมปิดล้อมปีศาจที่กำลังหลบหนี เมฆกลุ่มใหญ่ลอยมาบดบังแสงจันทรา ทำให้นางมองไม่ชัดว่าเครื่องแต่งกายของพวกเขาเป็นสำนักไหน ทว่าพอได้เห็นค่ายกลกระบี่ที่ให้กักกันปีศาจที่พวกเขาใช้ นางรู้ทันทีว่าคนเหล่านี้มาจากสำนักกระบี่จิงเทียน
ทางด้านปีศาจร้ายที่เห็นว่าตนไร้ทางหนี ก็พลันเผยร่างจริงออกมา มันพุ่งเข้าโจมตีกับแก่นกลางของค่ายกลอย่างรุนแรง ทำให้ม่านอาคมสั่นสะเทือน เกิดแตกรอยร้าวเล็ก ๆ ขึ้นในจุดที่มันพุ่งชน ทันใดนั้นมันจึงเหยียดยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายและคิดจะเอาตัวพุ่งเข้าใส่กับแกนกลางค่ายกลอีกครา
แต่มีหรือพวกเขาจะยอมให้มันเป็นดังที่ใจหวัง ชายหนุ่มผู้เป็นแกนหลักในการควบคุมค่ายกลก็บังคับกระบี่พุ่งไปแทงทะลุร่างของปีศาจร้าย
เมิ่งหลานที่เห็นมาเหตุการณ์สงบแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แต่เมื่อหันหลังเตรียมที่จะจากไป เท้าที่ไม่นะดีของนางดันไปเหยียบเข้ากับกิ่งไม้แห้งพอดิบพอดี
กรอบ!
"ผู้ใด!"
---------------------------------------------------------------
[1] 1 ลี้ เท่ากับ 500เมตร 20 ลี้ เทียบเท่ากับ 10 กิโลเมตร
[2] 1 ชั่วยาม เทียบเท่ากับ 2 ชั่วโมง
[3] ครึ่งชั่วโมง เทียบเท่ากับ 1 ชั่วโมง
[4] ยามซื่อ คือเวลา 09.00-10.59 น.
