บท
ตั้งค่า

บทที่3 หลอมยา

ปัง!

"ตาเฒ่า! นี่มันหมายความว่าอย่างไร!" เมิ่งหลานฟาดมือลงโต๊ะจนเกิดเสียงดังสนั่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว พานทำให้จ้าวเต๋อที่กำลังนั่งจิบชายามบ่ายพลันสะดุ้งตกใจ

"ไอหยา! ปีศาจน้อยมีสิ่งใดก็ค่อย ๆ พูดกันได้หรือไม่ เจ้าพรวดพราดมาเช่นนี้ คนแก่เช่นข้าก็ได้หัวใจวายตายกันพอดี"

"ตาเฒ่า! ท่านหลอกข้าเรื่องของซางเหยียนงั้นหรือ" ปีศาจสาวหรี่ตามองชายชราตรงหนี้อย่างจับผิด หากเขากล้าโกหกจริงดั่งว่า นางกับเข้าจะได้เห็นดีกัน!

เพราะด้วยความที่มีอารมณ์คุกรุ่นอย่างเต็มอก จึงเผยปล่อยไอปีศาจออกมาอย่างไม่รู้ตัว จ้าวเต๋อที่เห็นเช่นนั้น ก็รีบเอ่ยขึ้นทันทีว่า "นั่นจะเรียกว่าหลอกได้อย่างไร ข้าก็เคยเคล็ดวิชาปรุงยากับหลอมโอสถให้เขาเหมือนกัน ทว่าเจ้าเด็กนั่นช่างไม่มีพรสวรรค์เอาเสียเลย ร่ำเรียนมาตั้งหลายปี เป็นเพียงวิชาฝังเข็มแค่อย่างเดียว แม้แต่ชื่อสมุนไพรก็ยังจำได้ผิด ๆ ถูก ๆ อยู่เลย ไม่ได้เรื่องจริงๆ" เขาแสร้งทำเสียงฟึดฟัดด้วยความโมโห ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องไปอย่างแนบเนียน "ว่าที่เจ้าเถอะ ปีศาจน้อย จุดเตาหลอมได้แล้วหรือยัง"

เมื่อพูดถึงเตาหลอมยา เมิ่งหลานก็ถอนหายใจออกว่ายาวเหยียด ก่อนจะทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้ามของผู้เป็นที่อาจารย์ "นี่ตาเฒ่า...มิใช่ว่าเตาหลอมยาที่ท่านให้ข้ามามันพังแล้วหรอกนะ ถึงได้พยายามจุดอย่างไรก็จุดได้ติดเสียทีน่ะ"

หลังจากที่จ้าวเต๋อได้ยินเช่นนั้นก็โพล่งออกมาทันควันว่า "เจ้าเด็กบ้านี่! พูดจาซี้ซั้วอันใดกัน! เตาหลอมยานั้นตกทอดมาตั้งแต่รุ่นอาจารย์ปู่แล้ว ในแดนมนุษย์มีแค่อันเดียว เป็นของเก่าแก่ที่แสนล้ำค่าเชี่ยวนะ"

"ก็เพราะมันเก่านี่ล่ะ ข้าถึงว่ามันพังแล้วน่ะ"

"ปีศาจน้อย ข้าบอกไว้เลยนะว่า หากเจ้ายังจุดไฟเตาหลอมยานั้นไม่ติด เดือนนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ลงเขา!" จ้าวเต๋อยื่นคำขาด ครั้งนี้เขาโมโหแล้วจริงๆ หาใช่การแสร้งแกล้งทำเหมือนดังเช่นก่อนหน้านี้ไม่

เจ้าปีศาจน้อยนี่ กล้าดีอย่างไรถึงมาดูถูกสมบัติตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษเยี่ยงนี้!

ทันทีที่โดนยื่นคำขาดเมิ่งหลานก็หน้ามุ่ยขึ้นทันใด ทุกวันที่ยี่สิบที่เมืองเหลียงจะมีตลาดใหญ่ นางจะลงเขาไปซื้อของกินของใช้มาเก็บกักตุนเป็นเสบียง หากครั้งนี้ไม่ได้ลงเขาก็ต้องแย่แน่ พวกเขาไม่กินก็ช่างเถอะ ทว่านางยังต้องกินต้องดื่ม เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ร่างบางจึงลุกพรวดขึ้น เดินกลับไปตั้งหน้าตั้งตาจุดเตาหลอมยาต่อ...

และแล้วผลของความพยายามก็ไม่เคยทรยศใคร ในที่สุดเมิ่งหลานก็ใช้เพลิงวิญญาณจุดไฟเตาหลอมได้สำเร็จ

"เยี่ยมมากปีศาจน้อย" จ้าวเต๋อเดินวนรอบเตาหลอมพร้อมกับพยักหน้าอย่างพึงใจ ไม่เสียแรงที่เขาทุ่มเทถ่ายทอดวิชาให้แก่นาง ทว่านี่มันก็แก่เริ่มต้นเท่านั้น เส้นทางยังอีกยาวไกลนัก เขาจึงเอ่ยขึ้นต่อ "เจ้ายังจำสูตรยาถอนพิษไอหมอกแมงป่องหยกได้หรือไม่"

"ก็พอจะจำได้"

"ถ้าเช่นนั้นก็ลองหลอมให้ข้าดูหน่อย หากเจ้าหลอมยาถอนพิษไอหมอกแมงป่องหยกได้ สูตรยาตัวอื่นก็ง่ายแล้ว"

"ได้...งั้นข้อจะลองดู" เอ่ยจบร่างบางก็หายเข้าไปในดงสมุนไพร

ส่วนจ้าวเต๋อก็หานั่งที่ตั้งรอในระหว่างที่หญิงสาวกำลังไปเตรียมสมุนไพรที่จะนำมาปรุงยา เหตุผลที่เขาให้เมิ่งหลานปรุงยาถอนพิษแมงป่องหยก ก็เป็นเพราะต้องการทดสอบเพลิงวิญญาณนาง

คราแรกที่เขาเห็นเมิ่งหลานใช้พลังวิญญาณ ก็รู้ได้ทันทีว่าปีศาจน้อยตนนี้ มีปราณวิญญาณที่เหมาะจะเป็นนักปรุงยาอย่างยิ่ง เพราะด้วยเหตุนี้เขาจึงคะยั้นคะยอให้นางมาร่ำเรียนวิชาแพทย์กับตน แต่เมื่อเมิ่งหลานเริ่มจุดไฟวิญญาณได้ เขาก็รู้สึกว่าเปลวเพลิงของนางนั้นไม่ธรรมดา เขาจึงอยากใช้โอกาสนี้ทดสอบดูเสียหน่อย

ไม่นานนักเมิ่งหลานเก็บสมุนไพรกลับมา หลังจากนั้นนางก็โยนสมุนไพรที่เป็นส่วนผสมของยาถอนพิษเข้าเตาหลอมยา ก็จุดเตาหลอมด้วยเพลิงวิญญาณขึ้นอีกครั้ง

เมื่อเปลวเพลิงลุกโชน จ้าวเต๋อก็พลันลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ สีเพลิงวิญญาณของเมิ่งหลานหาใช่เป็นสีแดงชาดดั่งเช่นสีจิตวิญญาณของนาง แต่กลับเป็นสีดำทมิฬแทน

เพลิงนิลกาฬ!

เท่าที่เขาทราบมา เปลวเพลิงนิลกาฬเป็นของวิหคอัคคีกาล เป็นสัตว์เทพขั้นสูง จ้าวเต๋อหันมองดูเมิ่งหลานด้วยความตะลึง ปีศาจน้อยตนนี้ มีที่ไปที่มาอย่างไรกันแน่!

ในระหว่างที่นักพรตจ้างเต๋อกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด เมิ่งหลานก็ตั้งหน้าตั้งตาหลอมยา เพิ่มเปลวเพลิงให้โหกระหน่ำมากยิ่งขึ้น เพราะมีสมุนไพรบางชนิดที่ไม่สามารถละลายกับอุณหภูมิที่ปกติได้ ฉะนั้นแล้วหากไม่ใช้เปลวไฟที่แรงกล้า ก็จะหลอมยาถอนพิษชนิดนี้ได้สำเร็จ

ร่างบางในยามนี้ เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อชื้น ใบหน้าขาวซีด ผู้เป็นอาจารย์เห็นเช่นนั้นก็ตะโกนออกไปว่า "ปีศาจน้อย! ตายอยากหรือ! รีบหยุดมือเร็วเข้า!"

สิ้นเสียงร้องตะโกนของจ้าวเต๋อ นางจึงยุติการหลอมยา เก็บเพลิงวิญญาณคืนเข้าร่างแล้วหันกลับไปมองผู้เป็นอาจารย์ของตนด้วยท่าทีมึนงง "ทำไมหรือ อีกนิดเดียวก็จะได้แล้วแท้ๆ"

"อีกนิดเดียวเจ้าก็จะไปลงนรกล่ะสิไม่ว่า" จ้าวเต๋อเดินไปจับชีพจรของนาง เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งผิดก็พ้นลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ยังดีที่ยับยั้งไว้ได้ทัน "เมื่อครู่เจ้าน่ะ เกือบจะหลอมมุกวิญญาณไปด้วยแล้วนะ"

เดิมทีเปลวเพลิงของนางก็รุนแรงจนเผาไหม้ทุกสรรพสิ่งให้มอดดับได้ในชั่วพริบตาอยู่แล้ว อีกทั้งพึ่งจะหลอมยาเป็นครั้งแรก ยังไม่สามารถควบคุมเปลวไฟได้ตามใจนึก เป็นเขาที่ผิดเอง เร่งรัดจนเกินไปจนเกือบทำให้นางต้องสูญเสียชีวิต

"เข้าใจแล้ว" เมิ่งหลานขานรับอย่างงุนงง นางแค่ตั้งใจหลอมยาถอนพิษแมงป่องหยก แล้วเหตุใดถึงได้กลายเป็นว่าจะหลอมมุกพลังไปเสียเล่า

จ้าวเต๋อที่เห็นว่านางยังไปเข้าใจอย่างที่พูด จึงได้อธิบายอย่างใจเย็นว่า "เปลวเพลิงวิญญาณของเจ้าคือ เพลิงนิลกาฬ เป็นเปลวเพลิงขึ้นสูง หากเจ้าใช้ไม่ระวัง มันจะเผาทุกสรรพสิ่งจนมอดไหม้ แม้แต่ชีวิตเจ้าเองก็เช่นกัน ต่อไปเจ้าต้องฝึกควบคุมมันให้ดี"

"อ๋อ...ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้นเอง" เมิ่งหลานพยักหน้า นางเข้าใจอย่างแจมแจ้งแล้วว่าเหตุใดชายชราถึงได้ดูตกอกตกใจนัก

แต่เดี๋ยวก่อน! เมื่อครู่นี้ก็ไม่เท่ากับว่า นางเกือบตายแล้วหรอกหรือ!

ดวงตาหงส์เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ใบหน้างามพลันซีดเผือดขึ้นทันใด จ้าวเต๋อเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับท่าทางเซ่อซ่าของนาง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า "วันที่ก็พอแค่นี้เถอะ เจ้ากลับไปพักผ่อนได้แล้ว"

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งหลานก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะคิดจะหันขอบคุณผู้เป็นอาจารย์ ใกล้จะถึงวันที่ยี่สิบแล้ว นางต้องไปหาสมุนไพรเข้าไปขายในเมืองเหลียง จึงแม้ตัวนางจะไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง เพราะมีซางเหยียนหยิบยื่นให้ไม่ขาด แต่จะใช้ของเขาไปตลอดก็รู้สึกเกรงใจ อีกทั้งตัวนางก็รู้วิชาแพทย์กับสมุนไพร ยามว่างหลังจากฝึกฝนก็ตระเวนไปทั่วหุบเขา เก็บสมุนไพรสะสมไว้ รอตอนที่ลงเขาแล้วคอยนำไปขายที่ร้านยา

เหตุที่นางไม่นำสมุนไพรในสวนไปขาย ก็เป็นเพราะว่าสมุนไพรทุกต้นเป็นของที่ไม่มีในแดนมนุษย์ หรือบางชนิดก็หายากและราคาแพง หากของพวกนั้นไปปรากฏอยู่บนโลกเบื้องล่าง ก็คงวุ่นวายน่าดู เพื่อจะตัดปัญหาที่น่ารำคาญเหล่านั้น นางจึงเลือกเก็บแต่สมุนไพรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แม้บางต้นจะมีอายุมากหน่อย ทว่ามันก็ไม่ได้ล้ำค่าอันใด

ระหว่างที่เมิ่งหลานสะพายตะกร้าออกไปหาสมุนไพร ก็พบเข้ากับคนของสำนักเซียนที่พึ่งร่อนกระบี่ลงจอด ทันทีที่คนผู้นั้นเห็นนางจึงได้เอ่ยทักขึ้น "แม่นาง ผู้อาวุโสจ้าวเต๋ออยู่หรือไม่"

"ตาเฒ่านั้นน่ะหรือ อยู่ในกระท่อมนั่นล่ะ" นางตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ปกติแล้วก็มีคนจากสำนักเซียนมาหานักพรตเจ้าอยู่ตลอด

"เอ่อ..." ชายหนุ่มผู้นั้นอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ "แม่นาง ไม่ทราบว่ากระท่อมที่ท่านว่าไปทางไหนหรือ"

"อ้อ...ท่านคงจะมาเป็นครั้งแรกสินะ" เมิ่งหลานมองสำรวจชายตรงหน้าอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าเขาอาภรณ์ที่เขาสวมอยู่นั่นเป็นของสำนักกงซิน ก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ

แต่เดิมสำนักเซียนกงซินแห่งนั้นก็ขึ้นชื่อด้านการปรุงยาและสมุนไพรอยู่แล้ว จึงแทบจะมาเหยียบที่หุบเขาไฉซาง ไฉนวันนี้ถึงได้โผล่มาที่นี่ได้ แม้ในใจจะนึกสงสัย แต่กระนั้นแล้วนางก็ยังชี้ทางให้แก่เขาอยู่ดี

"ขอบคุณแม่นาง" ชายผู้นั้นโค้งตัวเพื่อขอบคุณ

ส่วนเมิ่งหลานที่ไม่เคยสนใจกับมารยาทนัก นางเพียงโบกมือไปมา ก่อนจะหายลับเข้าไปในชายป่า...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel