บทที่2 เรียนวิชา
หลังจากที่ขบคิดอยู่นานหลายเดือน ในที่สุดเมิ่งหลานก็หาวิธีทำให้ผมของนางกลายเป็นสีดำได้แล้ว วิธีว่านั้นก็คือ การย้อมดำ!
หากเป็นในยุคที่นางจากมา การย้อมสีผมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ทว่าในเวลานี้มันต่างออกมา นางหลุดมาอยู่ในยุคสมัยที่ล้าหลัง จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้โดยง่าย
นับว่ายังดีที่สวรรค์มิได้ใจร้ายกับนางมากนัก อาจจะเป็นเหตุบังเอิญหรือชะตาลิขิต ทำให้จ้าวเต๋อนำนางกลับมาที่หุบเขาไฉซางแห่งนี้ เพราะมิว่าจะเหลียวมองไปที่ใด ก็ล้วนแต่มีพืชสมุนไพรอยู่เต็มไปหมด นางจึงไม่ต้องกังวลว่าจะหาสมุนไพรมาทดลองไม่ได้!
หลังจากที่ต้องนางลองผิดลองถูกอยู่เป็นเดือน ทดลองผสมสมุนไพรชนิดแล้วชนิดเล่ามาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้สีย้อมผมอย่างที่ต้องการ
"เสี่ยวหลาน เจ้าย้อมผมมาอีกแล้วหรือ" ซางเหยียนที่พึ่งร่อนกระบี่ลงสู่พื้นดินก็เอ่ยทักขึ้นทันทีที่เห็นนางเดินกลับมาจากลำธาร
"ใช่แล้ว ช่วงนี้มีคนจากสำนักเซียนมาเยือนที่หุบเขาไม่เว้นวัน ป้องกันไปดีกว่า" นักพรตจ้าวเต๋อเป็นทั้งหมอและนักผู้ปรุงยา สำนักเซียนส่วนใหญ่จะมารับตัวยาสมุนไพรกับเม็ดยาโอสถกับเขา ซางเหยียนเคยเล่าให้ฟังว่า นอกจากบรรดาศิษย์ของสำนักเซียนที่เกลียดชังมารปีศาจแล้ว ก็ยังมีคนอีกจำพวกหนึ่งที่หมายมุ่งเข้าสู่เส้นทางมาร พวกเขาเหล่านั้นไม่แยกแยะถูกผิด ไล่สังหารปีศาจแย่งชิงมุกพลัง เพื่อนำเอาไปใช้เพิ่มพูนตบะในการบำเพ็ญวิชามาร
เพราะด้วยเหตุนี้ปีศาจที่มีพลังอ่อนด้อยเช่นนางจำเป็นต้องระวังตัวให้มาก แม้ที่ในหุบเขาจะกางเขตอาคมไว้แล้วก็ตาม ทว่าก็ยังไม่อาจประมาทได้ นักพรตจ้าวเต๋อผู้ซึ่งเป็นคนเก็บนางกลับมา จึงมอบกำไลวิญญาณที่สามารถช่วยปกปิดพลังปีศาจให้แก่เมิ่งหลานได้สวมใส่ติดตัวไว้ ทำให้บรรดาศิษย์ของสำนักเซียนรวมไปถึงพวกที่บำเพ็ญนอกรีต จับกลิ่นอายปีศาจบนตัวนางไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นสีผมขาวของนางก็ยังโดดเด่นสะดุดตาอยู่ดี เป็นเหตุให้ต้องย้อมสีผมเป็นประจำ ถึงแม้จะอยู่ในหุบเขาก็ตาม
"ดีแล้ว รอบคอบไว้เป็นดีที่สุด" ซางเหยียนยิ้มตอบ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่สามารถละลายหัวใจของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี ทว่าเป็นที่น่าเสียดายที่ชายหนุ่มผู้นี้มีคนรักแล้ว และสตรีที่คู่ครองของเขาก็เป็นถึงยอดหญิงงามเสียด้วย
"ท่านไปหาแม่นางเยว่เหยามาอีกแล้วล่ะสิ" นางเอ่ยขั้นอย่างรู้ทัน
เมื่อถูกคนตรงหน้าจับได้ ถึงซางเหยียนจะอายุร่วมร้อยปีแล้ว ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเขินอาย เขากระแอมขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยื่นกล่องขนมให้นาง
"ข้าซื้อมาระหว่างทาง ให้เจ้า" ว่าแล้วก็ยัดกล่องขนมให้ปีศาจสาวแล้วรีบเดินหนีไป
เมิ่งหลานเห็นท่าทางรีบร้อนจากไปของซางเหยียน ก็ไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา อายุก็ร้อยปีเข้าไปแล้ว ยังทำตัวเหมือนกับเด็กหนุ่มไร้เดียงสาอยู่อีก นางส่ายหัวไปมา พลางจะหยิบขนมเข้าปากและเดินหายลับไปในดงสมุนไพร
สวนสมุนไพรแห่งนี้ จ้าวเต๋อเป็นคนปลูกด้วยตนเอง สมุนไพรบางต้นก็มีอายุปีสามร้อยปี เกือบเท่ากับอายุจริงของเขาเลยทีเดียว
ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่เมิ่งหลานอาศัยอยู่บนหุบเขาไฉซางแห่งนี้ นางก็ไม่ได้อยู่เฉย หลังจากที่ว่างเว้นจากการฝึกปรือ ก็มาช่วยเขาดูแลแปลงสมุนไพร ในระหว่างนั้นยังคอยเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับยุคสมัยนี้ไปด้วย
เดิมทีแดนมนุษย์ก็สงบ มนุษย์กับปีศาจต่างคนต่างอยู่ เป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งน้ำคลอง แต่มิรู้เป็นเพราะเหตุอันใด ช่วงสามสี่ร้อยปีมานี้ กลับมีปีศาจออกมาทำร้ายมนุษย์ ดูดกลืนพลังชีวิตเพิ่มพูนตบะ เพื่อมุ่งเข้าสู่วิถีมาร
เยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ปีศาจอาละวาด ก็มิได้มีแค่มนุษย์ปุถุชนเพียงเท่านั้น ยังมีเหล่าผู้บำเพ็ญและศิษย์ของสำนักเซียนรวมอยู่ด้วย มันจึงเป็นชนวนเหตุให้พวกเขาเกลียดชังมารปีศาจ พบเจอที่ไหนพวกเขาก็จะสังหารทันที และเพราะเหตุนี้เมิ่งหลานจึงหลีกเลี่ยงในยามที่มีแขกมาเยือน หนีมาคลุกตัวอยู่ที่สวนสมุนไพรแทน
"มาคลุกอยู่ที่แปลงสมุนไพรอีกแล้วหรือ"
"ก็ข้าไม่มีสิ่งใดทำนี่นา" เมิ่งหลานหันไปตอบจ้าวเต๋อที่กำลังนั่งขุดสมุนไพรเพื่อนำไปปรุงยา ยุคนี้มิได้เหมือนกับในยุคสมัยที่นางจากมา ไม่มีสิ่งบันเทิงเช่นโทรศัพท์มือถือ เกม หรือทีวี กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวันมันช่างน่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง
แรกเริ่มอะไรต่อมิอะไรก็น่าตื่นตาไปหมด นางเดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมไปทั้งหุบเขา ทว่าพอนานวันเข้าก็เริ่มเบื่อหน่าย จึงเปลี่ยนเข้ามาอยู่ในดงสมุนไพรคั่นเวลาไปจนกว่าจะหมดวัน
"หากเจ้าชอบสมุนไพรถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่มาเรียนวิชาแพทย์กับข้าเล่า"
"ท่านผู้เฒ่า ท่านมีซางเหยียนเป็นลูกศิษย์ยังไม่พออีกหรือ เหตุใดถึงอยากได้ข้าเป็นศิษย์อีกเล่า ลืมไปแล้วหรือว่าตัวข้านั้นเป็นปีศาจ" นี่มิใช่ครั้งแรกที่นักพรตจ้าวเต๋อมาคะยั้นคะยอให้นางร่ำเรียนวิชาแพทย์กับตน
"จะเป็นมนุษย์หรือมารปีศาจมันต่างกันที่ใด เป็นมนุษย์แต่หากมีพฤติกรรมชั่วช้าสามานย์แล้วมันต่างอันใดกับมารผู้ชั่วร้าย ปีศาจที่มีจิตใจดีก็มีให้เห็นถมเถไป เจ้าน่ะ คิดมากเกินไปแล้ว"
"ถ้าเช่นนั้นท่านผู้เฒ่า ไหนลองบอกข้อดีของวิชาแพทย์ของท่านมาหน่อยว่าเหตุใดข้าถึงต้องเรียนกับท่าน" เมิ่งหลานกอดอกเชิดหน้ามองไปที่ชายชราผมขาว
"อย่างเช่น..." จ้าวเต๋อหยิบยันต์อักขระแผ่นหนึ่ง ก่อนจะร่ายเวทอาคมลงไป จากกระดาษยันต์ พลันแปลงเปลี่ยนเป็นสายฟ้า พุ่งโจมตีออกไปยังพื้นหญ้าอันว่างเปล่า จากนั้นจึงหันกลับมาเอ่ยกันหญิงสาวข้างกายว่า "เป็นอย่างไร เท่าก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าเรียนวิชาแพทย์จากข้าแล้วหรือไม่"
จ้าวเต๋อหรี่ตามองไปยังร่างของเมิ่งหลานที่ตอนนี้ยังคงทึ้งกับอิทธิฤทธิ์ที่ตนแสดง ตัวของเขาก็พอจะรู้ว่าบ้างว่านางสนใจวิชาอาคมพวกนี้ ฉะนั้นแล้วจึงนำเอาวิชาเวทออกมาสำแดงให้นางดูเล็กน้อย ปรากฏว่าผลลัพธ์ที่ออกมาตามที่เขาคาดการณ์ไว้ เพราะดูเหมือนปีศาจน้อยผู้นี้จะหลงกลเข้าเต็มเปา!
"หากข้าเรียนวิชาแพทย์กับท่านแล้ว จะทำได้เช่นนี้จริงหรือ" เมิ่งหลานที่ยังไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังถูกผู้เฒ่าตรงหน้านี้หลอกก็ถามขึ้นด้วยความกระตือรือร้น
"ก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น"
"ได้ ข้าตกลง!"
หญิงสาวตอบรับโดยไม่คิดเฉลียวใจเลยว่าตนนั้นได้ตกลงสู่กับดักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
จ้าวเจ๋อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วล้วงเอาตำราสมุนไพรเล่มหนาออกมาจากถุงเฉียงคุน ก่อนจะส่งให้แก่นาง "ก่อนอื่นเจ้าจะต้องท่องจำสมุนไพรในตำราเล่มนี้ให้หมดเสียก่อน แล้วค่อยเริ่มเรียนขั้นถัดไปได้"
เมิ่งหลานเอื้อมมือได้รับตำราจากชายชรา ในใจก็พลางคิดว่า 'เอาว่ะ! อ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังเยอะกว่านี้มาก แค่ตำราเล่มหนาเล่มเดียวมันจะสักเท่าไรกันเชี่ยว!'
แต่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เมิ่งหลานก็ได้รู้ซึ้งแล้วว่านรกที่แท้จริงมันเป็นเช่นไร รายชื่อสมุนไพรในตำราที่นักพรตจ้าวเต๋อมอบให้มามันมิเหมือนกับสมุนไพรในยุคที่นางจาก ด้านในนั้นมีแต่ของแปลกพิสดารอย่างหลุดโลก อาทิ ดอกขนหงส์เก้ากลีบ ต้นพิกุลกาล ยางต้นน้ำแข็งทมิฬ ทั้งหมดทั้งมวลนี้นางล้วนแต่มิเคยได้เห็นและไม่เคยได้ยินทั้งสิ้น
ไหนจะต้องฝึกพลังวิญญาณเพิ่มพูนตบะ หลอมโอสถ วัน ๆ หนึ่งแม้แต่เวลาจะนั่งดื่มน้ำดี ๆ ยังไม่มี แถมยังโดนตาเฒ่านั่นเคี่ยวเข็ญจนแทบจะกระอักเลือดอยู่รอมร่อ!
"เป็นอย่างไรบ้าง จุดเตาหลอมยายังมิได้อีกหรือ" ซางเหยียนเดินเข้ามาหาหลังจากที่เขาฝึกสมาธิในช่วงเช้าเสร็จ
"นี่มันยากเกินไปแล้ว" เมิ่งหลานทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นหญ้าด้านล่างอย่างหมดแรง นางลองใช้เพลิงวิญญาณจุดหม้อหลอมยามาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จเสียที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามผู้มีศักดิ์เป็นศิษย์พี่ของตนว่า "นี่ซางเหยียน ยามท่านจุดเตาหลอมยาครั้งแรกก็ลำบากเช่นนี้หรือ"
ทันทีที่ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็พลันยิ้มแห้งแล้วเอ่ยว่า "ตัวข้าร่ำเรียนวิชาแพทย์จากท่านอาจารย์ก็จริง แต่เรื่องจุดเตาหลอมยานั้น...ถึงตอนนี้ก็ยังทำมันไม่ได้เลย"
"..."
เมิ่งหลานถึงกับพูดไม่ออกชั่วขณะ ที่ตาเฒ่านั้นพูดกรอกหูนางอยู่ทุกวันว่าซางเหยียนเป็นเลิศในศาสตร์ปรุงยา ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
นี่นาง...ถูกตาเฒ่านั้นหลอกหรือเนี่ย!
