บทที่1 ปีศาจน้อยเมิ่งหลาน
เฮือก!
ร่างบางที่นอนหลับอยู่บนเตียงกว้างพลันสะดุ้งตื่น หญิงสาวยกมือลูบคลำร่างตัวเองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของตนแห้งสนิท ก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
ที่แท้ตนก็ฝันไปนี่เอง
ทว่ามันช่างเป็นความฝันที่เหมือนจริงยิ่งนัก ทรมานเกือบจะขาดอากาศหายใจ ราวกับว่าตัวเธอได้จมน้ำตายไปจริงอย่างไรอย่างนั้น
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ประตูก็ถูกเปิดออก ปรากฏว่าเป็นชายชราผมขาวผู้หนึ่งที่เดินเข้ามา บนร่างของชายผู้นั้นสวมชุดแบบโบราณ คล้ายกับในละครย้อนยุคที่เคยให้เห็นบ่อย ๆ ในทีวี! เมื่อก้มมองสำรวจร่างของตนเอง ก็พบว่าตนนั้นได้สวมใส่แต่งกายคล้ายคลึงกับชายชราตรงหน้าไม่ผิดเพี้ยน ทำให้นางตกอยู่ในห้วงแห่งความสับสนไปชั่วขณะ
"เจ้าตื่นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ"
เสียงทุ้มลึกของชายชราดังขึ้น ทำให้หญิงสาวที่มัวแต่ตกตะลึงกับสถานการณ์ตรงหน้าก็พลันได้สติ จึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า "ที่นี่ที่ไหน แล้วคุณ...เป็นใคร"
"นามของข้าคือจ้าวเจ๋อ เป็นนักพรต ข้าเห็นเจ้านอนหมดสติอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เลยเก็บเจ้าขึ้นมา"
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ร่างบางก็พลันลุกพรวดขึ้นจากเตียง พร้อมกับผลักประตูแล้ววิ่งออกไปด้านนอก
วิวทิวทัศน์ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของหญิงสาวคือ ภาพของขุนเขาน้อยใหญ่ที่ถูกล้อมรอบด้วยธารน้ำอันใสกระจ่าง ไร้ซึ่งมลพิษ ซึ่งดูแตกต่างในยุคสมัยของนางมากนัก
นี่!...นางทะลุมิติมางั้นหรือ
ดวงตาหงส์พลันเบิกกว้างกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัว ไม่คิดไม่ฝันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ในนิยาย จะมาเกิดกับตนเช่นนี้
ในระหว่างที่ร่างบางกำลังตกตะลึงกับเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้น น้ำเสียงกระจ่างใสของชายหนุ่มก็ดังมาจากด้านหลัง "ปีศาจน้อย เจ้าฟื้นแล้วหรือ"
เมื่อนางหันไปยังทิศทางของเสียง ก็พบกับหนุ่มหล่อรูปงาม งามจนทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้าก็แทบไม่ติด หล่อเหลาจนชวนให้น้ำลายสอ!
ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเสียงไม่รู้ตัวเลยว่าหญิงสาวผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ กำลังคิดอกุศลกับตนอยู่ เขาหลงคิดไปว่านางพึ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วย สติที่มีก็ยังไม่ตื่นเต็มที่นัก จึงได้เอ่ยเรียกอีกครั้ง "ปีศาจน้อย...ปีศาจน้อย..."
หลังจากที่หญิงสาวได้ยินคำว่าปีศาจ ก็กระโดดเข้าหลบไปหลังชายหนุ่มด้วยความกลัวพร้อมกับตะโกนออกมาว่า "ปีศาจ!..ไหนปีศาจ มันอยู่ที่ไหน!"
สิ่งลี้ลับประเภท ภูต ผี ปีศาจ วิญญาณชั่วร้าย ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ นางกลัวเป็นที่สุด!
"ก็เจ้าเองมิใช่หรือที่เป็นปีศาจ"
"ข้านี่นะ เป็นปีศาจ..." หญิงสาวชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความงุนงง
"หากมิใช่เจ้า แล้วจะให้เป็นข้าหรือไร" ชายหนุ่มยิ้มขันกับท่าทางที่หวาดกลัวเกินเหตุของนาง ระหว่างนั้นสายตาของเขาเหลือบเห็นผู้เป็นอาจารย์เดินเข้ามา "ท่านอาจารย์"
จ้าวเต๋อพยักหน้ารับคำทักทายของผู้เป็นศิษย์แล้วจึงหันมาเอ่ยกับหญิงสาวที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังศิษย์รักของตน "แม่นาง พวกเรามาคุยกันหน่อย"
หลังจากที่ทั้งสองกลับเจ้ามากระท่อมเรียบร้อยแล้ว จ้าวเต๋อก็ได้เอ่ยขึ้น "เจ้าจำสิ่งใดได้บ้าง"
สิ้นเสียงของชายชรา หญิงสาวก็พยายามขุดคุ้ยความทรงจำของเจ้าของร่าง ทว่ามันกลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลย ร่างบางพลันส่ายหน้าแทนคำตอบ จ้าวเต๋อจึงหยิบจี้หยกห้อยเอวออกมาแล้วยื่นให้แก่นาง
"ข้าพบมันหล่นอยู่ข้างตัวเจ้า"
นางหลุบตามองหยกขาวเนื้อเนียนละเอียดอยู่ในมือ ก่อนจะจับมันพลิกไปมาอย่างสำรวจ ในระหว่างนั้นสายตาของนางก็สะดุดเข้ากับตัวอักษรขนาดเล็กที่ถูกสลักไว้ทางด้านหลัง จึงพึมพำออกมาเสียงเบาว่า "เมิ่งหลาน"
"มันน่าจะเป็นชื่อของเจ้า" จ้าวเต๋อเอ่ยขึ้นอีกครา พลางทอดมองไปยังหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสนแล้วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา "อาจจะเป็นเพราะตอนที่เจ้าผลักตกลงในแม่น้ำ หัวของเจ้ากระแทกเข้ากับโขดหิน ทำให้สูญเสียความทรงจำก่อนหน้านี้ไปหมด แต่ไม่เป็นไร หากเจ้ายังไม่มีที่ไป ก็อยู่กับพวกเราไปก่อน ความทรงจำของเจ้ากลับมาแล้วเราก็มาว่ากันอีกที"
จ้าวเต๋อไม่รอให้หญิงสาวตอบรับหรือปฏิเสธ หลังจากที่เขาเอ่ยจบก็เดินออกไปจากในทันที ปล่อยให้นางนั่งคิดทบทวนกับสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้น เรื่องบางอย่างก็ยากจะเอื้อนเอ่ยออกมาได้ ให้นางค่อย ๆ ขบคิดไปก็แล้วกัน...
คล้อยหลังจากที่ชายชราจากไปแล้ว หญิงสาวก็นั่งเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเริ่มทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า คราแรกนางยังคิดว่าตนเองฝันไป แต่มันกลับมิใช่ ในตอนที่ช่วยคนตกน้ำ นางได้จมน้ำตายไปแล้วจริง ๆ จากนั้นวิญญาณก็มาอยู่ในร่างผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเจ้าของร่างดันเป็นปีศาจ แถมยังปีศาจที่อยู่ในที่อยู่ในนิทานปรัมปรา ที่ถูกเล่าขานต่อ ๆ กันมานับตั้งยุคอดีต!
หากอิงตามนิยายหลายเรื่องที่นางเคยอ่าน คนอื่นเขาทะลุมิติไปเป็นนางเอก ชายาอ๋อง ฮูหยินแม่ทัพ แต่นางกลับทะลุมิติมาอยู่ในร่างของปีศาจ ทั้งยังเป็นปีศาจที่ความจำเสื่อมอีกด้วย ของวิเศษติดตัวก็ไม่มีสักอย่าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องพลังวิญญาณอะไรเทือกนั้น แม้แต่ความทรงจำก็ยังไม่มี แล้วจะเอาพลังมาจากที่ไหนกัน!
เฮ้อ! แค่คิดก็กลุ้มแล้ว
หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมานวดคลึงที่ขมับของตน หากแม่รู้ว่านางตายแล้วจะเป็นอย่างไร ต้องเสียใจมากเป็นแน่ ความเศร้าหมองพลันถาโถมของมาถ่ายในจิตใจไม่หยุด หวังเพียงว่าเงินประกันที่นางทำไว้ จะพอให้คุณแม่ผู้เป็นที่รักใช้ชีวิตได้โดยที่ไม่ต้องลำบากอย่างที่เป็นมา...
ในขณะที่เมิ่งหลานกำลังกลัดกลุ้มกับชะตากรรมของตนเองอยู่นั้น อีกด้านหนึ่งหลังจากที่จ้าวเต๋อออกมาจากกระท่อมที่พัก ซางเหยียนผู้เป็นศิษย์ก็เดินเข้ามา "อาจารย์ ท่านจะให้ปีศาจน้อยพักอยู่กับพวกเรามันจะดีหรือ"
แม้ที่หุบเขาไฉซางแห่งนี้จะมีเขากับอาจารย์อาศัยอยู่กันแค่สองคน ทว่าก็ยังมีผู้บำเพ็ญคอยแวะเวียนมาไม่ขาดสาย คนเหล่านั้นเห็นปีศาจเป็นดังสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้าย หากพวกเขาพบเห็นปีศาจน้อยนางนั้นล่ะ คงไม่แคล้วหาทางกำจัดนางเป็นแน่
"เรื่องนั้นข้าให้นางอยู่ ย่อมต้องมีวิธีรับมือ เจ้าไปทำความสะอาดห้องว่างทิศตะวันตกให้นางสักห้องเถิด"
"ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ" ในเมื่อท่านอาจารย์ของตนมีวิธีแก้ปัญหา เขาก็ไม่อยากถามให้มากความ จากนั้นซางเหยียนโค้งตัวให้แก่ผู้เป็นอาจารย์ แล้วรีบไปทำตามของคำสั่งทันที
คล้อยหลังจากที่ศิษย์รักจากไปจ้าวเต๋อก็ทอดสายตามองวิวทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้าอยู่เหม่อลอย ย้อนนึกถึงครั้งที่เขาเจอกับปีศาจน้อยเมิ่งหลาน
วันนั้นเขาไปลงไปนำสมุนไพรไปขาย ระหว่างทางกลับพบกับนางที่นอนสลบอยู่ริมลำธาร คราแรกที่เห็นผมขาวโพลนทั้งศีรษะของนาง ก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นปีศาจ
เดิมทียังคิดว่าพอเมิ่งหลานได้สติแล้วก็จะให้นางจากไป แต่หลังจากที่เขาได้ใช้เนตรทิพย์ตรวจสอบดวงจิตของนาง ผลปรากฏดวงจิตของปีศาจสาวนางนี้เป็นดวงจิตใสสะอาด บริสุทธิ์ยิ่งกว่ามารปีศาจทุกตนที่เขาเคยเห็น อีกทั้งตัวของนางก็จำอะไรไม่ได้ เขาจึงได้เปลี่ยนความคิด รั้งให้หญิงสาวอยู่ด้วยกันต่อ ถ้าหากว่าความทรงจำกลับไปแล้ว คิดอยากจะไปก็แล้วแต่นางจะตัดสินใจ...
หลังจากซางเหยียนที่เก็บกวาดห้องพักฝั่งตะวันตกตามที่ท่านอาจารย์ของตนเสร็จเรียบร้อย เขาก็รีบตามปีศาจน้อยตนนั้นไปยังห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้
"เป็นอย่างไรบ้างปีศาจน้อย พออยู่ได้หรือไม่"
นางมองสำรวจห้องพักใหม่ของตน ก่อนจะพยักหน้า แม้เครื่องเรือนจะดูเก่าไปบ้าง ทว่าก็ทำมาจากไม้เนื้อดีทั้งหมด ส่อถึงกลิ่นอายของยุคโบราณได้เป็นอย่างดี นางจึงหันกลับไปมองหนุ่มหล่อผู้นั้นอีกครั้ง
"ข้าชื่อเมิ่งหลาน" หญิงสาวเอ่ยบอกชื่อที่ตนพึ่งได้มาหมาดๆ ให้แก่เขา
"อ้อ...เช่นนั้นข้าก็เรียกข้าว่าซางเหยียนก็พอ" ชายหนุ่มยิ้มตอบก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ "เจ้าสลบไปหลายวัน เกรงว่าเจ้าคงจะหิวแล้ว ข้าต้มโจ๊กเอาไว้ วางอยู่ด้านนั้นในแล้ว"
"แล้วท่านไม่กินด้วยหรือ"
"ไม่ล่ะ...ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ฝึกจนถึงขึ้นตี้เซียน[1]แล้ว ไม่ต้องกินก็อยู่ได้"
"เช่นนั้นท่านก็เป็นเซียนงั้นหรือ" เมิ่งหลานตาเบิกกว้าง มิคิดว่าตนจะได้เห็นเทพเซียนตัวเป็นๆ
ซางเหยียนส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า "ยังนับว่ามิใช่ เป็นแค่ครึ่งเซียน ผู้ที่จะเป็นเซียนได้นั้นต้องหลอมแก่นกระดูกเซียนมาให้ได้เสียก่อน เมื่อได้กระดูกเซียนมาแล้วก็ต้องพบกับทัณฑ์อัสนีสามสาย เพื่อหลอมกายเนื้อขึ้นมาใหม่ ถึงจะขึ้นไปที่แดนสวรรค์ได้"
"อ้อ.." เมิ่งหลานขานรับด้วยความผิดหวัง กว่าจะเป็นเซียนได้ช่างลำบากโดยแท้
ซางเหยียนเห็นสีหน้าที่แสนจะผิดหวังของนางก็เอ่ยขึ้น "ผู้บำเพ็ญไม่กลัวความลำบาก เจ้าก็ไปกินเถอะ หากเย็นแล้วมันจะไม่อร่อย"
"อืม" เมิ่งหลานพยักหน้า เดินเข้าไปตักโจ๊กกินอย่างไม่เกรงใจ ทางด้านซางเหยียนที่เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วก็หันหมุนตัวจากไป
ทันทีที่ท้องอิ่ม ในหัวก็พลันคิดได้ในหลาย ๆ อย่าง ยิ่งไปกว่านั้นคือ นางยังไม่รู้เลยว่าเจ้าของร่างนี้รูปโฉมเป็นเช่นไร รู้เพียงว่าเป็นคนที่เอวบางร่างน้อย ส่วนหน้านั้นยังไม่เคยเห็นมาก่อน คิดได้ดังนั้น ก็พาร่างน้องน้อยของตนเดินเข้าไปหยุดกระจกทองเหลืองบานใหญ่ที่อยู่ตรงมุมห้อง
ร่างหญิงสาวชุดแดงพลันส่องสะท้อนอยู่ในเงาของกระจก ทำให้นางตะลึงจนพูดไปออก!
เมิ่งหลานผู้นี้ หน้าตาสะสวย คิ้วโก่ง ดวงตาหงส์ นัยน์ตาพลันคมกริบ ริมปากกระจับเป็นสีแดงระเรื่อ ผิวพรรณเนียนนุ่มไร้จุดด่างดำ ที่โดดเด่นสุดเห็นทีจะเป็นเรือนผมสีขาวยวงของนาง
หากออกไปปรากฏตัวข้างนอก เห็นแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นปีศาจ!
-----------------------------------------------------------
[1] ตี้เซียน คือมนุษย์ที่บำเพ็ญเพียรถึงระดับหนึ่ง เมื่อพลังหยินเปลี่ยนเป็นพลังหยาง ร่างกายอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหาร ดื่มน้ำ ไม่รู้สึกร้อน ไม่รู้สึกหนาว หรือเรียกว่า บรรลุขั้นปี้กู่ นั้นเอง
