บทที่ 7 เสี่ยงที่จะลงไปยังตลาด
“เด็กโง่ เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น..และต่อให้เจ้ามิใช่ลูกของข้า แต่ข้าก็รักเจ้าเท่าชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจงเลิกน้อยใจในวาสนาของตัวเอง คุณชายซีเหรินเป็นบุรุษที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา หรือแม้แต่ตระกูลที่สืบทอดเชื้อสายมาจากกษัตริย์องค์ก่อน ดังนั้นไม่แปลกหรอก หากจะมีผู้หญิงมากมายในเมืองหลวงหมายปองเขา” เมื่อพูดถึงตรงนี้ไป่หลานก็ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง
“ท่านพ่อ...” น้ำเสียงคล้ายกับไม่สบายใจบางอย่างเอ่ยเรียกชายกลางคน ก่อนเขาจะขานรับพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะนางด้วยความเมตตา
“เรียกข้าเช่นนี้...มีเรื่องอันใดไม่สบายใจ นอกจากเรื่องของคุณชายซีเหรินใช่ฤาไม่” ก่อนไป่หลานจะเงยหน้ามองบิดาแล้วตัดสินใจพูดบางอย่างที่เก็บไว้ออกไป
“ท่านสัญญากับข้าได้ฤาไม่ ว่าท่านจะรักและเมตตาข้าเช่นนี้ไปตลอด ข้ากลัวว่าวันหนึ่งท่านจะเมตตาข้าน้อยลง” หญิงสาวสวมกอดบิดา พร้อมกับสายตาแห่งความไม่มั่นใจฉายวาวออกมา
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น ข้าเลี้ยงเจ้ามากับมือ เจ้าคือดวงใจของพ่อกับแม่ ไม่มีวันที่ข้าจะรักเจ้าน้อยลง” หลังจากใต้เท้าตงซันพูดจบ หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง
“ข้ารู้ว่าท่านพ่อยังไม่ลืมลูกสาวตัวจริง...ข้าแอบได้ยินเรื่องที่ท่านสั่งให้คนออกตามหานางอยู่ตลอดเวลา”
“เจ้าเห็น? ” ใต้เท้าตงซันชะงักนิ่งไป อย่างไม่คาดคิด หลังจากไป่หลานตัดสินใจพูดความจริงที่ออกมา มือของเขาที่โอบกอดนางอยู่ ค่อย ๆ คลายออกช้า ๆ ดวงตาคมจับจ้องไปยังใบหน้าของนางด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะพยายามตั้งสติแล้วถอนหายใจออกมาด้วยความสับสน จำใจยอมรับความจริงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ข้าเคยคิดว่าจะหยุดตามหานาง...เพราะเจ้าเข้ามาเติมเต็มความสุขของข้ากับเยว่ซิน เจ้าเป็นเด็กดีและเชื่อฟังพ่อกับแม่มาตลอดนับจากเด็กจนโต ไม่เคยทำให้ข้าเสียใจเลยสักครั้ง แต่ยิ่งเห็นเจ้าเป็นเด็กดีมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งคิดถึงนางมากเท่านั้น...มิอาจรู้ได้ว่านางมีชีวิตเช่นไร ข้ายอมรับว่ามิอาจตัดใจวางเรื่องนี้ลงได้ ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจข้าก็จะไม่หมดหวัง” เขาสังเกตเห็นสีหน้าของไป่หลานที่เครือบไปด้วยความกังวลใจ จึงยิ้มออกมาด้วยความเมตตาพลางยกมือลูบศีรษะนาง
“ส่วนเจ้า..เจ้าเป็นดังดวงใจของพ่อกับแม่ อย่าได้น้อยใจในวาสนา ให้รู้ไว้ว่าข้าเลี้ยงเจ้ามาด้วยความรัก จะอย่างไรข้าก็รักเจ้าเท่าชีวิตของข้า” เขาพูดปลอบใจนาง พร้อมยังคงลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู ก่อนที่ไป่หลานจะพยักหน้าปล่อยยิ้มออกมา พร้อมกับเกี้ยวที่แบกทั้งสองเดินทางกลับจวน
ท่ามกลางหุบเขาอันห่างไกลเมือง สายลมยังคงพัดไหวยอดไม้เหวี่ยงไปมาอ่อน ๆ พร้อมหมอกจางที่ต้องกับแสงดวงอาทิตย์สะท้อนเป็นสีหลากหลาย ส่องวาววับกระทบทาบลงมากับสายน้ำ ภายในศาลเจ้าร้าง ยังคงเป็นที่หลบซ่อนตัวของหลันฮวาเช่นเดิม หากแต่วันนี้เสบียงอาหารที่หญิงสาวตุนไว้เริ่มร่อยหรอ นางนั่งกระดิกนิ้วขึ้นลงอย่างใช้ความคิด พลางเลื่อนสายตามองอาหารที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนักด้วยความกังวล
“หากข้าออกไปที่ตลาดยามนี้ มีหวังโดนจับได้เป็นแน่ ประกาศจับพร้อมรางวัลมากมายเช่นนั้น เสี่ยงเกินไปที่ข้าจะลงยังไปตลาดแห่งนั้นอีก” หญิงสาวคู้เข่าเข้าหากันนึกท้อใจอยู่นาน ก่อนสายตาหวาน จะหันไปเห็นคันเบ็ดที่ทำขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยฝีมือของนางเอง ร่างบางค่อย ๆ ขยับกายลุกขึ้น แล้วแย้มยิ้มออกมาพร้อมเลื่อนมือหยิบคันเบ็ด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะไม่ยอมอดตายง่าย ๆ หรอก” เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงตัดสินใจมุ่งตรงไปยังธารน้ำ ที่ไหลลงมาจากภูเขาสีเขียวขจี สองเท้าเดินตามร่องทางเล็ก ๆ ที่นางใช้เดินแต่ผู้เดียวมานานหลายปี สายลมยังคงพัดไหว พร้อมความโดดเดี่ยวอ้างว้างที่เก็บซ่อนไว้ หากแต่เสียงนกและสัตว์ตัวเล็กพากันส่งเสียงร้อง ให้นางรับรู้ว่ามิได้อยู่คนเดียวบนโลกนี้
ก่อนสองเท้าจะหยุดชะงักนิ่ง เมื่อหญิงสาวทอดสายตาไปเห็นลูกนกตัวน้อยตกมาจากรัง มันอ้าปากส่งเสียงร้องราวกับกำลังขอชีวิต หลันฮวาค่อย ๆ ย่อตัวลงแล้วจับมันขึ้นมาด้วยความระวัง
“เหตุใดเจ้ามาอยู่ตรงนี้แต่ผู้เดียว” นางถามพร้อมกับเสียงร้องยังคงดังอยู่ตลอดเวลา หลันฮวาหันซ้ายหันขวา พลันนึกบางอย่างได้จึงเงยหน้าขึ้น แล้วเลื่อนสายตามองหารังที่สร้างอยู่เกือบสุดยอดไม้ ในขณะที่มันยังคงส่งเสียงร้องอยู่ในอุ้งมือน้อย ๆ ของนาง
“บ้านของเจ้าอยู่บนนั้นใช่ฤาไม่ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะพาเจ้ากลับขึ้นไปเอง” ว่าแล้วนางก็พยายามปีนป่ายกิ่งไม้ ไต่ขึ้นไปบนยอดด้วยความลำบาก พร้อมกับเสียงร้องของนกตัวน้อยที่ส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา
ไม่นานนักนางก็ปีนมาถึงจุดหมายที่ว่า หลันฮวาปาดเหงื่อไปหนึ่งครั้ง พลันมองลงไปในรังนั้น พบว่ายังมีพี่น้องของมันอยู่อีกสองตัว นางจึงค่อย ๆ วางนกในมือกลับคืนอย่างระวัง ก่อนรอยยิ้มหวานจะคลี่ออกมาด้วยความยินดี
“ข้าพาเจ้ากลับมาพบครอบครัวแล้วนะ คราต่อไปก็อย่าซนจนตกลงไปด้านล่างอีกล่ะ” หลันฮวาพูดจบจึงปล่อยยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ
