2
“ใครกัน” อัปสรรู้สึกหงุดหงิดที่เจ้าหล่อน เรียกความสนใจจากเขาไปได้แบบตาแทบไม่กระพริบ จึงรีบกอดแขนเขาแน่นขึ้น
แต่เหมือนเตือนให้เขาได้สติ...และแกะมือเธอออกพร้อมก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
“พี่ซันคะ! พี่ซัน...” เธอเรียกเขาได้ไม่เต็มเสียงนัก เพราะอับอาย ได้แต่ยืนถอยหลังหลบออกมา เพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่าถูกทิ้งไว้กลางทาง
“ไหนบอกว่าจะไม่มา” เสียงคมนิ่งของเขา ทำเอาใบหน้าหวานเชิดขึ้นอย่างมั่นใจ เหลือบมองเขาเพียงครู่..ก่อนเปรยยิ้มออกมาแบบเรียบๆ
“ฉันบอกคุณแบบนั้นหรือคะ?” ผู้หญิงสุภาพอยู่ในทีแบบเธอ ช้อนสายตามองเขาเชื่องช้าเป็นจังหวะ...แต่มีชั้นเชิง
ผู้คนในงานรวมถึงนักข่าว...เริ่มมีเสียงฮือฮามากขึ้น และแสงวูบวาบก็ลั่นไปทั่วทั้งงาน
“ผมถามว่าคุณจะมางานกับผมไหม แต่คุณบอกว่าไม่มา” เขาทวนให้เธอฟังเบาๆแบบกระซิบข้างหู การมาเผชิญกันของคู่หมั้นที่ใครหลายคนต่างจับตามองมาตลอดนั้น ทำให้ความสนใจที่มีต่อเธอและเขาจึงมากมายเกินกว่าดาราที่มีชื่อเสียง
“ฉันหมายถึง...ไม่มางานกับคุณน่ะค่ะ” คำตอบของเธอเอาเขาพยักหน้า ก่อนหันไปมองนักข่าวที่กำลังเก็บภาพของเขาอยู่ด้วยท่าทีสบายไม่เดือดร้อน
“เห็นทีว่า...คำปฏิเสธของคุณจะไม่มีผลในตอนนี้” แล้วเอวคอดกิ่วที่เว้าไปตามผ้าเนื้อดีของชุดจากห้องเสื้ออันดับหนึ่ง ก็ถูกฝ่ามือหนาคว้าให้ร่างระหงส์มาแนบชิด แม้เธอจะขืนตัวเอาไว้เล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจจะต้านทานแรงบุรุษอย่างเขาได้
แล้วคนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งอย่างเธอ ก็เลือกที่จะยิ้มหวานเคียงข้างการเดินไปกับเขา...สู้กล้องในฉบับที่เธอไม่เคยทำมาก่อน
“เยี่ยม”เขายิ้มให้กล้องและหันมากระซิบข้างหูเธอด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ขอรางวัลตุ๊กตาทองนะ” เขาหรี่ตามองเธอเล็กน้อย ก่อนกระชับเอวบางให้แน่นขึ้น มุ่งหน้าเข้าสู่งานแบบสบายใจ โดยที่ลืมไปเลยว่า..ได้ควงสาวเซ็กซี่ที่สุดในประเทศมาด้วย!
“บ้าจริง! ทำแบบนี้กับเราได้ยังไง!” อัปสรไม่อาจจะทนเดินเข้าไปในงานมองภาพเคียงคู่ของเขากับคู่หมั้นสาวได้ เธอจึงเลือกที่จะออกจากงานไปตั้งหลักก่อน...และทิ้งความเจ็บใจเอาไว้ แบบหาวันเอาคืนทีหลัง เพราะในเงื่อนไขของการเป็นคู่ควงเล่นๆของเขา เธอไม่มีสิทธิไปโวยวายหรือเรียกร้อง
“ปากก็พูดว่าอยากถอนหมั้น...แต่แต่งตัวยั่ว ตัวสั่นมาหาเขาถึงที่ ยัยดาราตุ๊กตาทอง!” เธอทิ้งท้ายไว้แค่นั้น โดยที่ไม่เห็นว่ามีสายตาเรียบเฉยคู่หนึ่ง...มองมาที่เธอแบบไม่เข้าใจ
“คนดีๆอย่างริน...ไม่น่ามาเจอผู้ชายมักมากแบบนายอภิสรรค์เลย” เขาคิดแล้วก็แอบเจ็บใจ...ที่ตัวเองไม่กล้าพอ ไม่อย่างนั้นคนที่จะเดินเคียงข้างเธอเข้าไปในงาน ก็คงจะเป็นเขาไปแล้ว
“ว้าว ริน สวยมากเพื่อน...ตายแล้วนี่แต่งชุดให้เข้ากันมาขนาดนี้ ร้านเดียวกันปะคะเนี่ย?” เสียงแซวจากเจ้าของงานและผู้เป็นเพื่อนรักของเธอด้วยนั้น ทำเอาอภิสรรค์ผู้ไม่ได้สังเกตชุดตัวเองกับเธอ ถึงกับอึ้งเล็กน้อย...ก่อนหันไปมองใบหน้าหวานที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่
“เป็นไงงานเรียบร้อยดีไหม” น้ำเสียงและแววตาของรีวาริน เหมือนผู้ใหญ่ถามเด็กเพิ่งเริ่มต้นมากกว่า..เธอเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจให้เพื่อนรัก อีกทั้งยอมลงหุ้นช่วยเพื่อนโดยที่อภิสรรค์ไม่เคยรู้เรื่องราวของเธอมาก่อน
“เรียบร้อยดีสิ ตอนนี้มีลูกค้าที่อยากจะคุยกับแกโดยตรงด้วยนะ ไปทำความรู้จักด้วยกันเลยดีกว่า...ขอตัวเพื่อนแปบนะคะ” แล้วคนรู้ใจเพื่อนอย่างไอยา ก็รีบดึงเพื่อนรักออกจากอ้อมกอดกรายๆของคู่หมั้นหนุ่มของเพื่อนทันที
เธอปลื้มความหล่อเหลาและความสามารถของ อภิสรรค์ก็จริง แต่...ความเจ้าชู้ของเขาและความผูกมัดทางผู้ใหญ่ ทำให้เพื่อนเธอไม่มีความสุข...เธอก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำ
“ตั้งใจเลือกชุดให้เข้ากับผมใช่ไหม” เขาเอ่ยถามหลังจากที่ขับรถออกจากงานมาได้สักพัก... โดยสงวนท่าทีเอาไว้พอควร เขาผู้ไม่ชินกับบุคลิกสวยสง่าของเธอนี้...รู้สึกไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน
เพราะปกติเธอจะคือยัยป้าเฉิ่มเชยที่มีเครื่องประดับบนตัวเพียงอย่างเดียวคือ แว่นตาผู้สูงวัยกรอบทอง...
“ถ้าฉันบอกว่าใช่ คุณจะรู้สึกยังไงเหรอคะ”
“รู้สึกว่าคุณเป็นผู้หญิงฉลาดมากๆยังไงล่ะ...”
“อันนั้นฉันรู้ค่ะ ว่าตัวเองไม่เคยโง่” อภิสรรค์ยิ้มกว้าง...พร้อมหันไปมองเธอเต็มตาแบบไม่อยากจะเชื่อ
ว่าผู้หญิงอย่างเธอจะฝีปากร้ายใช่เล่น!
“แล้วคุณทำแบบนี้...เพราะอยากให้ผมรู้สึกอะไรล่ะ?” เขาหยอดเธอด้วยเสียงอ่อนตามแบบฉบับคนเจ้าชู้ จนเธอส่ายหัวให้
“รู้สึกว่าอยากจะถอนหมั้น...มั้ง”
“ทำไม...ทำไมถึงอยากถอนนักหนา...และดูเหมือนว่าคุณก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายถอนก่อนด้วย”
“ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องถอน...เพราะฉันจะไม่ยอมเสียของกำนัลคืนให้คุณแน่ๆ”
“ถ้าคุณไม่มีความจำเป็น...ก็ไม่เห็นจะต้องมาขอให้ผมถอนเลยนี่” รีวารินหันผินหน้าหนีคำพูดเห็นแก่ตัวนั่นพร้อมแววตาขุ่น
“แต่ฉันว่าคุณมีความจำเป็นนะ...”
“ผมเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรกับการมีศรีภรรยาสวยๆแบบคุณนะ” น้ำเสียงแสนเจ้าเล่ห์นั่น...เธอรู้ดีว่าเขามันไม่เคยจริงใจกับใคร
“ก็ดี แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” ดวงหน้าหวานเชิดขึ้นเล็กน้อย จนทำให้คนแอบมองอมยิ้ม...เขารู้ว่าเธอฉลาดพอที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อกดดันเขา
แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ...เขามันพวกทนแรงกดดันได้สูงจนไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยแหละ
“ให้ผมเข้าไปส่งในบ้านไหม” ทันทีที่รถหรูแล่นมาจอดในตัวคฤหาสน์สุดหรูของเธอแล้วนั้น เขาก็ทำดีแสร้งถามเธออย่างเป็นกันเอง ราวกับว่า...ได้มาเข้านอกออกในบ้านเธอเป็นว่าเล่นเสียอย่างนั้น
“อย่าเลยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคนในบ้านฉันเขาจะเข้าใจผิดว่าเราเข้ากันได้ดี” สิ้นประโยค...ฝ่ามือเรียวบางก็กำลังจะผลักประตูออกไปได้สำเร็จ หากแต่พ่อคุณจอมเจ้าเล่ห์ก็คว้ามือเธอที่กำลังเปิดประตูเอาไว้เสียก่อน
กิริยาโน้มห้ามนั้น...ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มถึงกับต้องเกยคลอเคลียใกล้ใบหน้าหวานชนิดลมหายใจรดต้นคอกันเลยทีเดียว
“เรายังไม่เคยได้ลองเข้ากันเลยสักครั้งเนอะ...คุณว่ามั้ย” น้ำเสียงทุ้มที่เธอมองว่าแสนจะเจ้าเล่ห์...ทำเอาเธอถอนหายใจหนัก
“ปล่อยมือฉันได้แล้ว” ท่าทีที่ไม่ได้ขยับออกห่างหรือเกรงกลัวต่อเสน่ห์ของเขานั้น ทำเอาลมหายใจอุ่น...พ่นเข้าออกเชิงขำ
เธอพยศไม่ใช่เล่น...จนเขาชักเริ่มจะชอบใจ
“แล้วจะหาเวลามาจับให้นานกว่านี้” เมื่อมือบางเป็นอิสระเธอก็ผลักประตูพร้อมก้าวออกไปแบบไม่มีคำร่าลาหรือขอบคุณจากการมาส่งครั้งนี้
ทันทีที่ได้พ้นจากเขา...ดวงตาขลับกลมโตฉายแววความรู้สึกพึงพอใจบางอย่าง
การปรากฏตัวในงานในรูปแบบนี้ของเธอในวันนี้...มีจุดประสงค์บางอย่างแน่นอน เธอจะไม่ยอมเป็นแค่หุ่นเชิดที่เขาเอาไว้บังหน้าหรือเอาไว้บนหิ้งประดับบ้านเฉยๆแน่
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” เธอมองตามรถหรูที่แล่นออกไปด้วยความเร็วสูง...ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก งานนี้เธอต้องเหนื่อยไม่ใช่เล่นแน่ๆ
