บทที่ 6 ภายในสถานบันเทิง
“ถ้าเท่านี้ ผมคุ้มครองให้ได้สองเดือนเท่านั้นนะ”
“แค่สองเดือนงั้นเหรอ” เตมินทร์ต่อรอง ก่อนอีกฝ่ายจะถอนหายใจออกมาแล้วให้เหตุผล
“สองเดือนนี้ คุณก็ขยันหาเงินหน่อยละกัน แต่หลังจากนี้ไปถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ต้องทำตามหน้าที่ อย่าลืมนะว่าสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน ไม่ใช่แค่คุณ ผมก็เสี่ยงด้วยเหมือนกัน” ชายหนุ่มนั่งนิ่งทบทวนอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ พลันยกบุหรี่ขึ้นมาสูบ
“งั้นก็ขอให้เป็นไปตามที่ตกลงกัน” เขาพูดจบ ตำรวจนายนั้นก็รับเงินแล้วจากไป พร้อมเตมินทร์จะเอนกายพิงเก้าอี้พลางถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
“วันนี้ปิดกี่โมงดีครับ” การ์ดคนหนึ่งเดินมาถามด้วยท่าทางนอบน้อม
“ตีห้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อ่อ...ส่วนลูกค้าจะพกอะไรมา หรือจะเมาอะไรก็ปล่อยไปเลยนะ ไม่ต้องไปตรวจสอบ หลังจากนี้เลิกเข้มงวดปล่อยให้ลูกค้าสนุกเต็มที่ไปเลย” ก่อนการ์ดจะน้อมกายลงรับคำสั่ง แล้วเดินจากไปทำหน้าที่
ภายในสถานบันเทิงของเตมินทร์ยังมีห้องเล็ก ๆ อีกนับสิบซ่อนอยู่ สำหรับลูกค้าต้องการเปิดเป็นกรณีพิเศษ และภายในสถานบันเทิงแห่งนี้ เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวราตรีว่าเป็นที่มั่วสุมและเปิดกว้างทางเพศแบบครบวงจร เป็นอาณาจักรเล็ก ๆ ที่เตมินทร์สร้างขึ้นเพื่อพิสูจน์ให้บิดาเห็นว่าคนเกเรอย่างเขา ก็สามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่ง้อบริษัทบ้า ๆ นั้น ก่อนเสียงมือถือของชายหนุ่มจะดังขึ้น พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปล่อยกว้าง เมื่อเห็นว่าเป็นสายเข้าของบิดา
“ไม่คิดเลยนะครับ ว่าพ่อจะคิดถึงลูกชายมาก จนต้องโทรหาผมด้วยตัวเองแบบนี้” คำพูดกวน ๆ ทำให้อีกฝ่ายเอ่ยถามทันทีด้วยความโกรธ
“แกเอาเงินที่ไหนไปเปิดสถานบันเทิง พวกนั้น ตอบฉันมา” เตมินทร์แสยะยิ้มแล้วใช้มือเคาะโต๊ะเบาๆ ก่อนจะตอบชายกลางคนไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ทองแท่ง นาฬิกาหรู แล้วก็เพชรเม็ดใหญ่ของคุณแม่ไงครับ” สิ้นเสียงของลูกชาย ไตรภพถึงกับทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ ด้วยความผิดหวังอย่างถึงที่สุด เขาถนอมเลี้ยงดูเตมินทร์อย่างดีมาตั้งแต่เล็ก เป็นความหวังให้สืบทอดธุรกิจในอนาคต แต่นับวันชายหนุ่มกลับทำตัวเหลวแหลก ยิ่งกว่านักเลงข้างถนน
“ทำไมถึงทำตัวแบบนี้เตมินทร์ แกอยู่บริษัทของฉัน แกก็ขายข้อมูลบริษัทให้คู่แข่ง ฉีกหน้าทินธรต่อหน้าฝ่ายต่าง ๆ ทำเหมือนคนไม่ได้รับการศึกษา ทั้งที่ฉันดูแลส่งเสียแกอย่างดี ทำไมถึงทำแบบนี้” น้ำเสียงผิดหวังของบิดาทำให้ชายหนุ่มแสยะยิ้มมุมปาก
“ขอโทษละกัน ที่ผมเกิดเป็นลูกพ่อ ในเมื่อพ่อไล่ผมออกมาจากบ้านแล้ว พ่อจะโทรมาทำไม อ่อ..หรือพ่ออยากรู้ว่าผมจะอยู่แบบหมาข้างถนนไหม อยากรู้ว่าผมจะมีชีวิตยังไง จะได้สมน้ำหน้าผมใช่ไหม ขอโทษนะครับที่ผมฉลาด เอาของในตู้เซฟติดมือมาได้เล็ก ๆ น้อย ๆ พอให้ทำทุน”
“ทำไมแกเลวแบบนี้เตมินทร์”
“คำนี้พ่อควรไปพูดกับสองแม่ลูกนั่น ไม่ใช่ผม”
“เตมินทร์!” ชายกลางคนตะคอกเสียงดังด้วยความโกรธ ก่อนลูกชายยังคงทำเสียงไม่สะท้าน
“พ่อจะเรียกตำรวจมาจับผมก็ได้นะ ฐานลักทรัพย์ ถ้ากล้าพอ!”
“แกคิดว่าฉันไม่กล้างั้นเหรอ ไอ้ลูกสารเลว”
“ถ้าพ่อเรียกตำรวจมาจับผม พ่อก็คิดให้ดีละกัน ว่าถ้าข่าวหลุดออกไปว่าลูกชายตระกูลวายุภักษ์ ขโมยของในบ้านออกมา มันจะฉาวโฉ่ขนาดไหน ชื่อเสียงบริษัทที่พ่อรักหนักหนาจะป่นปี้ยังไง ก็สุดแล้วแต่พ่อจะตัดสินใจก็แล้วกัน เท่านี้นะครับ” ว่าแล้วเต มินทร์ก็กดวางสายบิดาไป พลันโยนมือถือทิ้งยังโซฟา ด้วยสายตามุ่งมั่น ก่อนฝีเท้าของการ์ดจะวิ่งเข้ามารายงานบางอย่าง
“มีอะไร” เขาหันมาถามลูกน้องด้วยน้ำเสียงแปลกใจ หากแต่อีกฝ่ายมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
หลังจากแพรวาขับรถมาส่งนาราแล้ว หญิงสาวจึงเดินขึ้นห้องพักไปพร้อมกับความเหนื่อยล้า หลายวันมานี้เธอส่งใบสมัครไปหลายที่ แต่ก็ยังไร้วี่แววการติดต่อกลับ หญิงสาวเปิดดูเงินในบัญชีแล้วถอนหายใจออกมา
“ถ้าเดือนหน้ายังไม่ได้งานอีก ลำบากแน่แล้ว” นาราวางกระเป๋าลงแล้วหันไปหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกาย พร้อมความคิดมากมายในสมอง รู้สึกเป็นห่วงทินธรอย่างบอกไม่ถูก ด้วยท่าทางและกิริยาของเตมินทร์ดูร้ายกาจอย่างมาก คนดี ๆ อย่างทินธรไม่มีทางต่อกรกับคนนิสัยเสียแบบนั้นได้ สายตากังวลของหญิงสาวยังคงฉายออกมาเป็นระยะ พยายามหาทางช่วยแฟนหนุ่มให้พ้นจากภัยที่จะเกิดขึ้น
เสียงโครมครามดังลั่นอยู่ภายในร้าน เป็นกลุ่มนักดื่มที่เมาแล้วเริ่มส่งเสียงโวยวายเพื่อแย่งผู้หญิง เตมินทร์ยืนดูความชุลมุนครู่หนึ่ง ก่อนเสียงปืนของเขา จะหยุดความวุ่นวายทุกอย่างในทันที
“กฎของร้านเราแจ้งชัดเจนแล้วนะ ว่าห้ามมีเรื่องในร้านของผม และถ้าใครกล้า ผมจะให้มันชดใช้ค่าเสียหายด้วยเงินเต็มจำนวน ในเมื่อพวกคุณยอมรับและเข้ามาใช้บริการแล้ว ก็ต้องทำตามกฎของร้านด้วยเช่นกัน” เขาพูดจบ จึงหันไปสั่งการ์ดพาตัวกลุ่มก่อเหตุออกไปยังหลังร้านทันที ท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นจากลูกค้าคนอื่น
