บทที่ 5 เจอคุณเตมินทร์
“หล่อใช่ไหม” เสียงของแพรวาทำให้นาราได้สติกลับมา
“นั่นอะ เจ้าของร้าน ได้ข่าวว่าเขาเก่งเรื่องธุรกิจสีเทา นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักหรอก มีดีอย่างเดียวเรื่องหน้าตานั่นแหละ คนอะไรหล่อบรรลัยเลย...ข่าวว่าจบจากเมืองนอกมา แต่มีปัญหาครอบครัว แม่ตาย พ่อแต่งงานใหม่ โดนไล่ออกจากบ้าน เลยขาดความอบอุ่น กลายเป็นคนเทา ๆ ไปเลย น่าเสียดายชะมัด แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าครอบครัวเขาเป็นใคร” นาราฟังเพื่อนรักพูดอย่างเงียบ ๆ ก่อนเผลอเอ่ยออกมา
“คนนิสัยไม่ดี หาข้ออ้างเรื่อย โทษนั่นโทษนี่ ไม่ยอมโทษตัวเอง”
“เธอว่าอะไรนะ” แพรวาทำท่างง
“เปล่าหรอก” นาราเปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะตักอาหารเข้าปากช้า ๆ พลันเปิดข้อความไลน์จากแฟนหนุ่มอ่าน
“นอนหรือยังครับ”
“ยังค่ะ”
“ทำไมยังไม่นอน”
“นาออกมาข้างนอกกับแพรวา พอดีเพื่อนทะเลาะกับแฟนน่ะค่ะ” ไม่นานนัก เสียงมือถือของนาราก็ดังขึ้น เธอตัดสินใจกดรับอย่างไม่ปิดบัง
“มีเสียงดนตรีด้วย นาราอยู่ที่ไหน” ทินธรถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“เดี๋ยวฉันมานะ” นาราหันไปบอกยังเพื่อนรัก แล้วเลี่ยงเดินออกมาด้านนอก พลันยกมือถือขึ้นมาคุยต่อด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
“สถานบันเทิงเปิดใหม่ค่ะ ไม่ไกลจากห้องพักของนาเท่าไหร่ พี่ทินไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ นาดูแลตัวเองได้” หญิงสาวพูดด้วยถ้อยคำสุภาพ ก่อนอีกฝ่ายจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“พี่ทินโกรธนาหรือเปล่าคะ ที่ออกมาแล้วไม่ได้บอกพี่ทินก่อน” คำถามของเธอทำให้ปลายสายตอบกลับ
“พี่ไม่โกรธหรอก แต่พี่เป็นห่วงมากกว่า ถ้ารู้ว่านาจะออกไปแบบนั้น พี่คงไม่รีบกลับบ้าน”
“เดี๋ยวรอให้แพรวาใจเย็นอีกหน่อย นาก็จะกลับแล้วค่ะ”
“ถ้าหากว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาร่วมโต๊ะด้วย ให้รีบปฏิเสธ หรือไม่ก็รีบโทรหาพี่เลยนะ คนสมัยนี้ไว้ใจยาก พี่เป็นห่วง” น้ำเสียงอบอุ่นของแฟนหนุ่มทำให้หญิงสาวยิ้มบางเบาออกมา
“นาจะพยายามเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาค่ะ”
“ดีมากครับ” หลังจากนั้นเขาและเธอคุยกันต่ออีกสักระยะ ก่อนชายหนุ่มเตรียมจะวางสาย นารานึกบางอย่างได้จึงเอ่ยเรียกเขาคล้ายมีบางอย่างในใจ
“พี่ทินคะ...เดี๋ยวก่อนค่ะ” หญิงสาวหยุดพูดไปครู่หนึ่ง
“มีอะไรเหรอ” ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“นาเจอคุณเตมินทร์ด้วยค่ะ”
“เจอมันที่ไหน ที่ร้านเหรอ” ทินธรถามด้วยความอยากรู้
“ค่ะ แต่เขาไม่เห็นนาหรอก เดินเข้าหลังร้านไปพร้อมกับการ์ดของเขา ท่าทางดูน่ากลัวบอกไม่ถูก พี่ทินอย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะคะ แพรวาบอกว่าเขาเป็นคนนิสัยไม่ดี แถมยังเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาด้วย นาเป็นห่วงพี่ทินค่ะ” หลังจากนั้นปลายสายนิ่งเงียบไป จนเธอขมวดคิ้ว
“พี่ทินฟังนาอยู่หรือเปล่าคะ”
“นาอย่าเข้าใกล้มันเด็ดขาดนะ” น้ำเสียงเข้มทำให้เธอพยักหน้าแล้วตอบรับเขา
“นาไม่ยุ่งกับคนแบบนั้นอยู่แล้วค่ะ ห่วงก็แต่พี่ทิน คนแบบคุณเตมินทร์ นาเชื่อว่าเขาทำอะไรได้มากกว่าที่คิด หากพี่ทินไม่ให้นายุ่งกับเขา พี่ก็ทินก็ต้องอยู่ห่างเขาเหมือนกันนะคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานทำให้เขารับรู้ถึงควาเป็นห่วงของอีกฝ่ายได้ดี
“พี่ไม่ยุ่งกับเขาคงไม่ได้หรอก ทุกการกระทำของเตมินทร์มักจะมีผลกระทบต่อคุณพ่อเสมอ มีแค่พี่คนเดียวที่หยุดการกระทำเลว ๆ ของเขาได้ พี่ไม่อยากให้คุณพ่อต้องคิดมากเพราะมันอีก แล้วนารารู้ไหม ว่ามันไปทำอะไรที่นั่น” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนเธอจะตัดสินใจพูดความจริงออกมาทั้งหมด
“แพรวาบอกว่าเขาเป็นเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนี้ค่ะ” สิ้นคำพูดของหญิงสาวเท่านั้น มือหนากำแน่นขึ้นมาด้วยความเจ็บใจอย่างถึงที่สุด พยายามข่มความรู้สึกไว้ภายใน ก่อนจะตัดสินใจวางสาย แล้ววิ่งลงไปหามารดาในทันทีด้วยความรีบร้อน
“แม่ครับ”
“อะไร” วีรดาหันมายังลูกชายด้วยใบหน้าไม่พอใจเท่าไหร่ เพราะยังโกรธที่เขาพาผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้าเข้าบ้าน
“เตมินทร์มันไม่ได้ร่อนเร่ อย่างที่พวกเราคิด ตอนนี้มันเปิดสถานบันเทิงใจกลางเมือง โกยเงินวันละไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพ่อสนับสนุนมัน คนอย่างมันจะมีเงินไปเปิดสถานบันเทิงหรูหราแบบนั้นได้ยังไง”
“แกไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน” สายตาสับสนถามลูกชายด้วยความอยากรู้
“ไม่สำคัญหรอกครับ สำคัญที่ว่า ตอนนี้มันมีเงินเปิดสถานบันเทิงหรูหราแบบนั้นได้ แสดงว่ามันไม่ธรรมดาอย่างที่เราคิด มันเพิ่งโดนไล่ออกจากบริษัท ไล่ออกจากบ้านไปได้ไม่กี่เดือนแต่สามารถทำได้ขนาดนั้น บางทีเราอาจโดนคุณพ่อหลอกอยู่ก็ได้ ต่อหน้าเราเขาก็ทำอย่าง แต่ลับหลังเรา เขาก็หอบเงินไปให้ลูกชายเขา อย่าให้รู้ละกันว่าหลอกใช้ผมบริหารบริษัทแทนเตมินทร์” ชายหนุ่มพูดจบ จึงหันไปหยิบกุญแจรถ แล้วออกจากบ้านไปด้วยความโกรธ
เตมินทร์เข้าไปนั่งในห้องลับด้านหลัง พร้อมตำรวจยศใหญ่ท่านหนึ่งนั่งรออยู่ก่อน สถานที่อึมครึมนั้นเป็นสถานที่เจรจาข้อตกลงบางอย่างของชายหนุ่มกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“ผมจ่ายให้เท่านี้ คุณตำรวจช่วยทำมองไม่เห็นหน่อยละกัน” เตมินทร์วางเงินจำนวนหนึ่งให้ ก่อนอีกฝ่ายจะเอื้อมมาจับเงินหมุนไปมาแล้วยิ้มอย่างพอใจ
