บทที่ 4
การได้มาซึ่งข้อมูลแต่ละครั้งต้องแลกมาด้วยชีวิตอันล้ำค่าของคนในทีม งานนี้ทิเชษให้สาบานกับตัวเองและกับเพื่อนที่กลายเป็นผู้เสียสละว่าจะไม่ยอมให้ใครมาจบชีวิตเพราะงานชิ้นนี้อีกต่อไปแล้ว เริ่มแรกทิเชษมีลูกทีมเพื่อสืบคดีนี้เกือบสิบชีวิต เมื่อสูญเสียใครไป ชายหนุ่มไม่ขอรับคนเพิ่มและยื่นข้อเสนอให้สมาชิกคนเก่าที่เหลือว่าสามารถลาออกได้ แต่ทุกคนก็ยังยึดมั่นที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จ และพวกเขาก็ค่อยๆ หายไปทีละคนๆ จนกระทั่งตอนนี้เหลือเขากับลูกน้องคนสนิทเพียงสองคนเท่านั้น
ทิเชษไม่มีคำว่าท้อถอย ทุกย่างก้าวของการทำงานเขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อส่วนร่วมและคนที่จากไปโดยทิ้งความหวังให้เขาตามจับคนร้ายรายนี้ให้จงได้ ข้อมูลลับที่ชายหนุ่มได้มาขณะนี้ใกล้สาวถึงตัวคนร้ายเข้าไปทุกขณะ อันดามันคือคีย์เวิร์ดคำแรก แต่จะพยายามตามสืบมากแค่ไหน ข้อมูลก็ยังว่างเปล่าแทบคว้าน้ำเหลวด้วยซ้ำ คีย์เวิร์ดที่สองคือคำว่าดาวประดับบ่า นี่แสดงให้เห็นว่าคนร้ายที่ซุกซ่อนตัวในเงามืดทมิฬนั่นคือคนในเครื่องแบบ สิ่งที่ได้รับรู้นี้ทำให้ทิเชษรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง ผู้ซึ่งให้ศักดิ์ปฏิญาณว่าจะรักษากฎหมายกลับทำลายกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วยตัวเอง คีย์เวิร์ดที่สามคือล่องหน คำๆ นี้ชายหนุ่มก็ยังไม่เข้าใจถึงความหมายอันแท้จริงเช่นเดียวกัน และคีย์เวิร์ดที่สี่เป็นคีย์เวิร์ดคำล่าสุดที่เขาได้รับจากลูกน้องที่เพิ่งเสียชีวิตไป คือ เส้นผมบังภูเขา
“แกเป็นใครกันแน่” นี่คือคำถามที่มักวนเวียนในหัวคิด จนบางครั้งชายหนุ่มถึงกับนอนไม่หลับครุ่นคิดแต่เรื่องงานลับและคีย์เวิร์ดทั้งสี่ตัวที่ได้มา ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ข้างตัวจะดังขึ้น เวลาตีสี่ดึกดื่นใกล้รุ่งสางเช่นนี้ใครกันที่โทรหาเขา แถมยังไม่โชว์หมายเลขโทรศัพท์เสียด้วย ทิเชษชั่งใจอยู่ไม่นานก็กดรับ
“แกกำลังตามหาตัวฉันอย่างนั้นเหรอ” เสียงที่ถูกดัดจนแหบแห้งเอ่ยถามคล้ายพญามัจจุราช สติของทิเชษตื่นตัวเต็มที่ เพราะไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเขาเช่นนี้ พวกมันรู้ว่าเขาเป็นใคร นายตำรวจหนุ่มรีบกดปุ่มบันทึกเสียงในโทรศัพท์พร้อมทั้งเลื่อนไปกดปุ่มดาวเทียม ซึ่งเป็นเครื่องตรวจสอบสถานที่ปลายทางของสายที่กำลังโทรเข้ามาหา เพราะไม่แน่เขาอาจจะรู้ที่อยู่มันก็ได้ แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะง่ายดาย
“แก…อย่าคิดว่าโทรมาแบบนี้ฉันจะกลัว ฉันจะตามจับแกให้จงได้” ทิเชษพยายามหาทางที่จะถ่วงเวลาเพื่อจะคุยสายได้นานขึ้น เพราะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งนาทีกว่าระบบดาวเทียมจะประมวลผลระบุสถานที่ปลายทางของสายที่เขากำลังคุยอยู่
“หึหึ…ถ้าอยากจับกันมากก็ได้ เพราะเราต้องได้เจอกันแน่ ฉันก็อยากรู้ว่าแกจะเก่งสักแค่ไหน เก่งแต่ปากเหมือนไอ้พวกลูกน้องของแกที่ฉันฆ่ามากับมือหรือเปล่า”
“ไอ้บัดซบ” ชายหนุ่มไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาพูด ความโกรธเกรี้ยวคับแน่นจนจุกในอก
“หึหึ…ลูกน้องคนสุดท้ายของแกนี่ชื่ออะไรนะ”
“อย่าบอกนะว่าแกจับตัวเขาไป” สิ่งที่ได้ยินทำให้ทิเชษกำหมัดขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน แววตากร้าวจนน่ากลัว อนุชา ลูกน้องที่เหลือเพียงคนเดียวของเขาถูกจับตัวไปอย่างนั้นเหรอ
“ใช่ ฉลาดเหมือนกันนี่”
“พี่ ไม่ต้องห่วงผม ผมไม่ได้บอกอะไรมันทั้งนั้น” อนุชาตะโกนผ่านไปให้ทิเชษได้ยิน ตั้งแต่ถูกจับตัวมาเขาไม่ได้พูดอะไรจริงๆ ต่อให้ตายก็ไม่มีวันพูด
“แลกเปลี่ยนกันหน่อยไหม...ว่าไง” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยต่อรอง เรื่องจวนจะสาวมาถึงตัวเขาแล้ว มีหรือจะนอนอยู่นิ่งๆ โดยไม่คิดจะทำอะไรเลย
“บอกมาว่าต้องการให้ฉันไปพบที่ไหน” ขณะพูดสายตาก็เหลือบไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังทำหน้าที่ประมวลผลสถานที่ปลายทางของสายที่กำลังคุยอยู่ เหลืออีกสิบวินาที
“สถานที่นัดไว้ฉันจะส่งข้อความไปให้อีกที ไว้เจอกัน” พูดจบก็วางสายไปก่อนหนึ่งนาทีเหมือนรู้ว่าทิเชษกำลังใช้ดาวเทียมตรวจหาพิกัดตน
“เดี๋ยว...เดี๋ยวสิ” ทิเชษขว้างโทรศัพท์ในมือลงบนที่นอนอย่างแรงจนโทรศัพท์เด้งลงไปกองกับพื้นคอนโดมิเนียม ก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งบนขอบเตียงยกมือขึ้นกุมขมับอย่างใช้ความคิด ฝั่งตรงข้ามรู้แล้วว่าเขาเป็นใครและกำลังตามสืบคดีอะไรอยู่ เขาไม่มีที่ให้ซ่อนตัว ไม่มีที่ให้หลบหนี ทางเดียวที่จะทำต่อจากนี้คือสู้ไม่ถอย แม้จะรู้ว่าเขาถูกล่อให้ออกไปพบจุดประสงค์เพื่อหวังฆ่าปิดปาก!
