บทที่ 6 บุตรสาวตระกูลหลินถูกลักพาตัว
ฟ้าหลังฝนโปร่งใสในเช้าวันเดินทาง ลมต้นฤดูรินผ่านยอดไม้ราวจะปลอบประโลมใจ แต่ในรถม้าของตระกูลหลินกลับแน่นอึดอัด
หลินเจิ้งหาวสั่งให้บุตรสาวทั้งสามไปวัดจิ่วเหอ เพื่อขอพรเป็นสิริมงคล อวี้เซียนนั่งนิ่งข้างหน้าต่างมองทิวทัศน์เลื่อนผ่านไปทีละช่วง ภายนอกคือแสงแดดอุ่นแต่ภายในคือเยียบเย็นระยะห่างระหว่างนางกับพี่น้องร่วมสายเลือด
อวี้เยี่ยนนั่งอ่านหนังสือนิ่งขณะที่อวี้หนิงพลิกพัดในมืออย่างหงุดหงิดสุดท้ายก็อดที่จะบ่นออกมาไม่ได้
“ทำไมต้องนั่งด้วยกันด้วย รถม้าจวนเราก็มีเยอะแยะอึดอัดจะตายอยู่แล้ว” เสียงนั้นสูงแหลมเหมือนตั้งใจให้ได้ยินทั้งคันรถ
อวี้เซียนปรายตามองเพียงครู่ ก่อนเบือนหน้าออกไปข้างนอก ไม่แม้ตอบคำเดียว
“หึ ข้ามองพี่รองแล้วดูไม่รู้สึกผิดอันใดเลยนะ อย่างน้อยสำนึกผิดบ้างก็ดี”
อวี้หนิงพูดอีกแต่ก็ไร้คำตอบใดเช่นเคย ฉับพลันเสียงดังจากนอกรถม้าก็กลบทุกคำ จังหวะฝีเท้าม้าที่เคยสม่ำเสมอเริ่มสับสนก่อนมีเสียงตะโกนลั่นสับสนไปหมด
“ระวัง! โจรดักปล้น!”
เสียงแหลมร้องของม้าลั่นกรีดอากาศ รถม้าสะเทือนอย่างรุนแรง ร่างทั้งสามเอนกระแทกผนังไม้ บ่าวสาวพากันกรีดร้อง ก่อนเสียงปะทะกันของคมดาบและเกราะเหล็กจะกลืนทุกสิ่งพร้อมสติด้วย...
ยามเมื่อลืมตาอีกครั้ง ความมืดและกลิ่นดินชื้นโอบรอบ พวกนางถูกพามาไว้ในกระท่อมที่มากด้วยความชื้นและกลิ่นดินและหญ้าที่เคล้าทั่วอากาศ พื้นเย็นจนฝ่าเท้าชา
พวกนางถูกพวกโจรร้ายจับมามัดไว้ที่ในกระท่อมกลางป่าแห่งหนึ่งแน่นอน ที่น่าแปลกคือพวกมันจับพวกนางสามคนมาไร้วี่แววของบ่าวคนอื่น
อวี้เซียนขยับตัวเล็กน้อย ข้อมือถูกมัดแน่นขยับจนหนังถลอก ด้านข้างมีเสียงสะอื้นเบา ๆ อวี้เยี่ยนที่กลัวจนตัวสั่น ส่วนอวี้หนิงร้องไห้สะอึกสะอื้นจนเสียงดังสะท้อนในห้องเล็ก ๆ ตั้งแต่ฟื้นมาจากผงยาสลบ
“ใครก็ได้ช่วยด้วย ข้าไม่อยากตาย!” เสียงแหลมเล็กของอวี้หนิงนั้นสั่นพร่า
อวี้เซียนสูดลมหายใจยาว ปล่อยให้ลมหายใจเย็นค้างในอกเพื่อไล่ความวูบวาบในหัว ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก กลิ่นฝุ่น กลิ่นเชือก กลิ่นความกลัวของคนอื่น มันพาให้นางย้อนกลับไปยังห้องมืดที่เคยถูกจับเป็นตัวประกันในช่วงชีวิตก่อน ครั้งนั้นนางอายุสิบเจ็ดก็ยังรอดกลับมาได้ ตอนนี้ก็ต้องรอดเช่นเดียวกัน
“เงียบ” เสียงอวี้เซียนต่ำติดดินนักแน่นจนพอให้ทั้งสองชะงักโดยในทันที
“เจ้าบอกให้ข้าเงียบได้ยังไง!” อวี้หนิงร้องสวน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกสีหน้าต่อต้านสุดใจ “พวกมันจะฆ่าเราอยู่แล้วนะ!”
“อยากให้มันรู้ว่าพวกเราตื่นอยู่หรือไร?” อวี้เซียนหันมาช้า ๆ ดวงตาคมวาวในความมืด เสียงของนางเยียบเย็นจนแม้แต่ฝนข้างนอกยังดูอุ่นลง “ถ้าอยากตาย ก็ช่วยตะโกนต่อไปให้พวกมันเข้ามาจัดการเลย”
อวี้หนิงชะงักทันที เสียงสะอื้นขาดห้วงเห็นด้วยแต่ไม่อยากแสดงออกเท่านั้นเอง
เมื่อในกระท่อมเงียบลงแล้ว อวี้เซียนก็ใช้โอกาสนี้โน้มตัวไปข้างหน้าหูแนบผนังไม้ ให้เสียงนอกกระท่อมแผ่วผ่านฝนเข้ามา
พวกมันสนทนากันหลายเรื่องรวมถึงพูดถึงพวกนางด้วย
“เราเพียงเฝ้าไว้เท่านั้นห้ามทำร้ายพวกนางจนถึงแก่ชีวิตเด็ดขาด... อีกเดี๋ยวถึงเลยคืนนี้ไปก็ค่อยmตามแผนขั้นถัดไป...”
เสียงชายพูดคุยพลางหัวเราะ อวี้เซียนนับได้ว่ามีทั้งหมดสี่คนจากเสียงพูดที่แตกต่างกัน
จากที่พวกนั้นพูดแปลว่าพวกนางจะปลอดภัยแน่ ๆ ตลอดคืน แต่พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปไหนหรือถูกทำอันใด เช่นนั้นแล้วต้องรีบหนีออกไปให้ได้เร็วที่สุด
อวี้เซียนขยับข้อมือที่ถูกเชือกรัดแน่นแต่เท่าที่ประเมินดูปมไม่ซับซ้อนเกินไป นางน่าจะสามารถแก้ปมนี้ได้เมื่อคิดได้ดั้งนั้นสายตาคมก็มองหาสิ่งที่พอช่วยได้ทันที จนกระทั่งสายตาปะทะปิ่นปักผมเงินที่ปักจนหัวของอวี้เยี่ยน
“อวี้เยี่ยน เจ้าก้มตัวลงมาให้ใกล้มือข้ามากที่สุดที”
“นั่นเจ้าจะทำอะไรพี่สาม!”
เสียงอวี้หนิงอีกเช่นเคยยังดีที่นางลดเสียงลงตอนที่อวี้เซียนปรายตามอง “หากเจ้าไม่หยุดแหกปากพวกโจรด้านนอกได้เข้ามาแน่”
อวี้หนิงกระซิบเสียงแผ่ว “เจ้าทำอะไรของเจ้า จะเล่นอะไรก็เลือกเวลาให้ดีกว่านี้สิ!”
“ไม่ได้เล่น ข้าแค่จะขอปิ่นนั่นมาใช้ในการแก้ปมเชือกก็เท่านั้น” พูดจบก็หันมองอวี้เยี่ยนที่มีแววตาลังเล นางนิ่งอยู่นานก่อนจะพยายามเอนหัวลงมาจนกระทั่งอวี้เซียนได้ปิ่นเงินนั่นมาแล้วในที่สุด
ปิ่นเงินถูกหยิบขึ้นอย่างเงียบเชียบ นางแทงปิ่นเข้าไว้ปลายหนึ่งแล้วเริ่มสะกิดปมอย่างชำนาญ นิ้วเรียวขยับเป็นจังหวะ เงียบเหมือนกำลังไขกลไกนาฬิกา เชือกเริ่มคลาย เสียงเสียดเบา ๆ สุดท้ายก็สามารถคลายปมเชือกของตนเองได้
เมื่อเชือกคลายตัว นางหมุนข้อมือเบา ๆ แล้วหันมามองสองสาวที่มองนางด้วยสายตาผสมระหว่างดีใจและหวาดระแวง
“ข้าจะช่วยแก้ปมเชือกพวกเจ้าแต่ต้องรับปากว่านับจากนี้ต้องเชื่อฟังข้า เข้าใจไหม”
นางเอ่ยเสียงเรียบนิ่งมองสองคนให้พยักหน้ารับปาก เมื่อได้รับสัญญาณที่ดีแล้วก็ยื่นมือไปช่วยอวี้เยี่ยนก่อนแล้วค่อยแก้เชือกให้อวี้หนิง เมื่อเสร็จแล้วก็สั่งให้พวกนางนั่งนิ่ง ๆ ส่วนตัวเองนั้นเดินเท้าเบาสำรวจรอบกระท่อม
ที่แห่งนี้ไม่เหมาะสมใช้เป็นที่เก็บตัวประกันไว้นานเพราะเต็มไปด้วยช่องโหว่ หน้าต่างก็เพียงปิดไว้ไร้ความรอบครอบ ไหนจะการเฝ้ายามของพวกโจรลักพาตัวที่ดูหละหลวมเกินกว่าที่คาดไว้อีก อวี้เซียนมีข้อสันนิฐานว่าพวกมันอาจถูกจ้างมาอีกทอดให้จับพวกนางมาขังไว้ ไม่ได้เป็นโจรลักพาตัวเรียกเงินมืออาชีพหรอก ส่วนเรื่องใครจ้างนั้นไว้มีชีวิตรอดไปได้ค่อยว่ากันอักที
เสียงฝนหนักยังไม่หยุดเป็นประโยชน์เมื่อพวกนางแอบเปิดช่องหน้าต่างไม้และกระโดดออกกมาแม้เกิดเสียงดังแต่ก็ถูกเสียงฝนกลบหมดอยู่ดี ไหนจะการที่ฝนตกจะช่วยอำนายให้พวกมันละเว้นการเฝ้าระวังรอบบ้านเพราะเอาแต่ไปหลบฝนรวมกันที่บริเวณหนึ่งแทนอ่ะล่ะ ทพให้บัดนี้สตรีสามคนนำโดยอวี้เซียนวิ่งหนีจากกระท่อมเข้าสู่ป่าได้
“เร็วอีกหน่อย”
อวี้เซียนกระซิบขณะก้มหลบกิ่งไม้ขณะเคลื่อนผ่านเนินหินเตี้ย “ไปไกลพวกมันอีกหน่อยค่อยพักสักรอบ”
อวี้เยี่ยนพยักหน้าอย่างว่าง่าย เงียบและเชื่อฟัง ต่างจากอวี้หนิงที่เอ่ยพูดปนเสียงหอบออกมา
“ข้าไม่ไหวแล้ว...”
อวี้เซียนหันมาขมวดคิ้ว “หยุดบ่นถ้าไม่อยากให้คนพวกนั้นตามทันก็อดทนหน่อย”
อวี้เซียนคิดว่าอีกไม่นานพวกนั้นก็คงรู้ตัวแล้วก็ตามมา แม้ฝนจะช่วยชะล้างรอยเท้าได้บ้างแต่ร่องรอยที่พวกนางวิ่งเหยียบจนหญ้าจนพับงอนั้นไม่อาจช่วยกลบได้ ท้องฟ้าที่มืดครึ่มทำให้การเดินทางของสตรีในห้องหอยากมากขึ้นไปอีกจนกระทั่งอวี้หนิงที่ขาอ่อนแรงทนไม่ไหวในที่สุด นางล้มลงเนื่อจากสะดุดรากไม้หนึ่ง
“ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว!”
อวี้เยี่ยนรีบไปช่วยพยุงน้องสาวขึ้นมาก่อนเงยหน้ามองพี่สาวด้วยสายตาเว้าวอน “พี่รอง เราพักก่อนดีหรือไม่ ข้าว่า...”
“พวกเจ้ารีบไปทางนั้น” นางชี้ไปยังแนวหินสูงทางขวาที่มีหินสองก้อนทำมุมเป็นที่บังฝนอยู่ “พวกเจ้าสองคนไปซ่อนตรงนั้นก่อน”
“แล้วพี่รองเล่า?”
อวี้เยี่ยนถามทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัวเพราะเห็นที่พึ่งเดียวของพวกนางทำท่าจะเดินย้อนไปตรงกันข้ามกับที่ชี้ให้พวกนางไป
“ข้าจะย้อนกลับไปกลบร่องรอยของพวกเรา” เสียงของอวี้เซียนเรียบเย็นราวพูดถึงเรื่องธรรมดา “หากข้าไม่กลับมาก่อนดวงจันทร์ดวงนั้นขึ้นกลางฟ้าให้พวกเจ้าวิ่งเดินหน้าไปให้เร็วที่สุด”
“เจ้าโกหกแน่!” อวี้หนิงสวนทันควันอย่าลืมความเหนื่อย “เจ้าคิดจะหนีคนเดียวใช่ไหม!”
อวี้เซียนปรายตามองนิ่ง ดวงตาเยือกเย็นจนอีกฝ่ายต้องเผลอกลืนคำลง “แล้วแต่เจ้าจะคิดเลย”
ไม่มีเวลาคิดแล้ว นางหันหลับกลับไปทางที่จากมาทันใด ยังดีที่อวี้เยี่ยนเชื่อคำนางรีบพาอวี้หนิงไปซ่อนหลังหินก้อนใหญ่ทำให้อวี้เซียนไม่ต้องเปลืองแรงในเรื่องไร้ประโยชน์อีกต่อไป
เมื่อแน่ใจว่าทั้งคู่ซ่อนดีแล้ว อวี้เซียนก็ถือไม้ไว้ไล่ปิดร่องรอยหญ้าและไล่ปาดรอยเท้าบนพื้นดินให้หายระหว่างเดินย้อนกลับไป จากนั้นเดินย้อนกลับไปทางเสียงฝีเท้าพวกโจร เสียงฝนพรำแรงขึ้น เหงื่อเย็นเกาะแผ่นหลังยามนางมองเห็นแสงรำไรจากตะเกียงที่พวกมันถือมา
เงาดำสี่คนโผล่จากแนวไม้ “รอยมันหายไปแถวนี้!”
อวี้เซียนเงยหน้าขึ้นให้แสงไฟหันไปอีกทางก่อนนางจะออกวิ่งเบี่ยงตัวออกวิ่งกลับไป เสียงตะโกนดังตามหลังมาทันใด “อยู่ตรงนั้น! จับมันไว้!”
“อยู่ตรงนั้น! จับมันไว้!”
ฝนโปรยไม่แรงแต่พอทำให้พื้นลื่น อวี้เซียนวิ่งหลบเข้าทางลาดต่ำที่มีตะไคร่น้ำเขียวบนหิน นัยน์ตาคมที่ชินกับที่ที่มีแสงน้อยอาศัยเพียงแสงจันทร์นำทางมาตลอดเหลือบมองร่องรอยกับดักนายพรานที่ตอนนางเดินผ่านคราแรกเกือบหลบไม่ทัน
เสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามา “เห็นรอยเท้าอีกแล้ว! ทางนี้แน่!” พวกมันสามคนถือคบเพลิงพุ่งเข้ามาตรงทางลาดที่นางเพิ่งวิ่งผ่านมา
อวี้เซียนฉวยจังหวะนั้น คว้าก้อนดินขึ้นมาเต็มมือกะระยะแล้วกำมือดินเปียกปาใส่ไปในตะเกียงอย่างแม่นยำ ไฟดับพรึบ เหลือเพียงฝนและความมืดทันใด
“แม่ง! ไฟดับ!” หนึ่งในนั้นสบถเสียงดัง พวกโจรลนลานควานหาทางท่ามกลางฝนที่โปรยไม่หยุด
อวี้เซียนก้าวออกจากหลังต้นไปตรงหน้าพวกมัน ระหว่างพวกมันและนางคือกับดักนายพราน
นางที่สายตาชินกับความมืดแล้วกับพวกที่พึ่งแสงสว่างนำทางมาตลอด เดิมพันเถอะว่าใครจะรอดไป...
